17 ก.ค. เวลา 11:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ปัญหาเชิงโครงสร้างกดทับเศรษฐกิจ เสี่ยงถูกเหมารวมสินค้าจีนโดยภาษีสหรัฐ

ส.อ.ท. ชี้ปัญหาเชิงโครงสร้างกดทับเศรษฐกิจไทย เสี่ยงถูกเหมารวมกับสินค้าจีนจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ เสนอเจรจาแยกอัตราภาษี หวังลดผลกระทบส่งออก
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในงานสัมมนา iBusiness Forum 2025: Decode 2025 ว่า แม้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศบางกลุ่ม แต่ผลประโยชน์ยังไม่กระจายสู่ฐานรากอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะรายได้จากนักท่องเที่ยว ซึ่งมีพฤติกรรมใช้จ่ายแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ส่งผลให้บางกลุ่มตลาดยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในงานสัมมนา iBusiness Forum 2025: Decode 2025
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลคือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังคงกดทับเศรษฐกิจไทย ทั้งหนี้ครัวเรือนที่ทะลุระดับ 80% ของ GDP ขณะที่รายได้ของประชาชนกลับไม่มีความมั่นคงเหมือนในอดีต ทำให้ขาดความสามารถในการชำระหนี้อย่างยั่งยืน ขณะที่ภาคธุรกิจเองยังต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าไฟฟ้าและค่าแรง ซึ่งแม้เป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังขาดเทคโนโลยีหรือเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพมารองรับอย่างเพียงพอ
นายวิวรรธน์สะท้อนว่า ประเทศไทยยังติด “กับดัก” การพึ่งพาการผลิตแบบรับจ้าง ไม่มีสินค้าและนวัตกรรมที่เป็นของตัวเอง ส่งผลให้ขาดอำนาจต่อรองในเวทีโลก และเปราะบางต่อมาตรการกีดกันการค้า หากไม่มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเร่งสร้างจุดแข็งของตนเอง จะทำให้ไทยเผชิญภาวะเสี่ยงในระยะยาว
วันนี้ไทยยังพึ่งพิงต่างประเทศมากถึง 80% ซึ่งเศรษฐกิจเราเติบโตได้จากภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ก็มีสัดส่วนเพียง 15-20% ที่เราไม่มีสินค้าที่มีนวัตกรรมเป็นของตนเอง
พร้อมกันนี้ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายประการ โดยเฉพาะ 8 ปัจจัยสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่
1. มาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์
2. ปัญหาสินค้าทุ่มตลาดและการสวมสิทธิ์ส่งออก
3. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามอิสราเอล-อิหร่าน
4. ข้อพิพาทพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
5. หนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจที่สูงขึ้น
6. ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
7. แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
8. ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ขณะเดียวกัน แม้การส่งออกครึ่งปีแรกยังขยายตัว โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างอินเดีย สหรัฐฯ และจีน แต่ช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะชะลอตัวลงจากหลายปัจจัย รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงจากจีนที่กำลังเร่งผลิตสินค้าจำนวนมากและราคาถูก (China Flooding) ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการไทยโดยตรง ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับ สถานการณ์ดังกล่าว นายวิวรรธน์แนะว่า ไทยควรหันมามองจีนในฐานะตลาดมากกว่าคู่แข่ง โดยมุ่งเน้นการส่งออกสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร หรือสินค้าในกลุ่มไบโออีโคโนมี ที่จีนยังมีความต้องการสูง
ส่วนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทย นายวิวรรธน์เสนอว่า ให้ทีมไทยแลนด์เจรจาเพื่อแยกอัตราภาษีออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
• สินค้าจากจีนที่ผ่านไทย: ควรคงอัตราภาษีที่ 40% เทียบเท่ากับเวียดนาม
• สินค้าของไทยที่มีสัดส่วนการผลิตในประเทศสูง (Local Content 50-60% ขึ้นไป): ควรลดภาษีเหลือ 20-25%
โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าไฮเทค เช่น ฮาร์ดดิสก์ ชิป หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตโดยบริษัทข้ามชาติในไทย ซึ่งสามารถเจรจาเพื่อขอโควตาพิเศษจากสหรัฐฯ เป็นรายกรณีได้
ทั้งนี้ สำหรับข้อพิพาทไทย-กัมพูชากระทบการค้าชายแดนหลักแสนล้าน ในบรรดา 8 ปัจจัยเสี่ยง นายวิวรรธน์ระบุว่า ข้อพิพาทพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นความเสี่ยงเฉพาะที่ไทยต้องเผชิญ และมีผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาล เนื่องจากมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชามากถึงแสนล้านบาท
จึงเสนอให้ภาครัฐแยกแยะชัดเจนระหว่างกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น คาสิโนหรือสแกมเมอร์ กับการค้าขายทั่วไปที่ควรสนับสนุน เพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจชายแดนและประชาชนทั้งสองประเทศ อีกทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง ก็เป็นปัจจัยภายในที่ประเทศไทยต้องเร่งแก้ไข เพราะถึงแม้จะสามารถรับมือกับปัจจัยต่างประเทศได้ดี แต่หากปัจจัยภายในยังไม่นิ่ง เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวยากขึ้นเรื่อยๆ
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา