17 ก.ค. เวลา 10:55 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

รีวิว Superman - การกลับมาของซูเปอร์แมนที่เต็มเปี่ยมด้วยความบันเทิงจากสไตล์ผู้กำกับนามว่าเจมส์ กันน์

1) นี่คือไข่ใบแรกของจักรวาลซุปเปอร์ฮีโร่ DC โฉมใหม่ ที่เปลี่ยนชื่อย่อจนเกือบจำไม่ได้ว่า DCU (DC Universe) แน่นอนสิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่เพียงแค่ตัดตัว E จากชื่อเดิม (DCEU: DC Extended Universe) ออกเท่านั้น แต่การตึงตัวผู้กำกับอย่าง เจมส์ กันน์ (James Gunn) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Guardians of the Galaxy ทั้ง 3 ภาค กับค่ายคู่แข่งอย่าง MCU มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับและ CEO ของ DC Studio เพื่อวางรากฐานจักรวาลใหม่นี้อย่างอิสระ
คงเป็นการบ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวของชายผู้นี้มากอย่างที่สุด แต่กลับกันก็เป็นการสร้างความกดดันในระดับมหาศาลเช่นกัน
Superman (2025)
2) นับเป็นครั้งที่เกินจำนวนนิ้วมือทั้งสิบแล้วที่เราได้เห็นซูเปอร์แมนปรากฏบนจอภาพยนตร์ ทั้งในฐานะของหนังเดี่ยว หนังรวมฮีโร่ และไปปรากฏตัวในหนังฮีโร่เรื่องอื่น นั่นทำให้ Superman ของเจมส์ กันน์ ในครั้งนี้มีความสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะ “ทำซ้ำ” กับบรรดาหนังรุ่นพี่ที่ผ่านๆ มา และยอมรับว่านึกไม่ออกเหมือนกันว่าเขาจะสร้างความสดใหม่ให้กับฮีโร่ผู้มาพร้อมผ้าคลุมและกางเกงในสีแดงสดนี้ได้อย่างไร นอกจากทวงคืนกางเกงในที่หายไปในเวอร์ชั่นของ “แซค สไนเดอร์” (Zack Snyder) กลับมาแค่นั้น
Superman (2025)
3) แต่กลายเป็นว่าการมีอยู่ของ Man of Steel (2013) เป็นตัวสร้างความชอบธรรมให้กับการรีเทิร์นในเวอร์ชั่นของเจมส์ กันน์ สามารถหวนคืนสู่ความ “ดั้งเดิม” ตามต้นฉบับคอมมิคได้อย่างไม่เคอะเขิน หลังจากถูกตีความให้มืดทั้งเนื้อหาและงานภาพจนหลายคนบ่นกันระงม(แต่ก็มีคนปลื้มแบบสุดๆ) ในที่สุด Superman (2025) ก็กลับมาคืนความสดใสและความสว่าง(ของภาพ)ให้กับตัวละครนี้จนกลับมาเป็นที่รักของผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว
Superman (2025)
4) หากซูเปอร์แมนของแซค สไนเดอร์ ที่รับบทโดย “เฮนรี่ คาวิลล์” (Henry Cavill) เป็นดั่งพระเจ้าผู้มาโปรดมนุษย์ มีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจประหนึ่งเหล็กกล้า ไร้ซึ่งความอ่อนแอที่น่าสมเพศแบบมนุษย์โสมมแล้วละก็ ซูเปอร์แมนของเจมส์ กันน์ ที่รับบทโดย “เดวิด คอเรนสเวต” (David Corenswet) ก็เป็นขั้วตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เขาเหมือนพนักงานบริษัทที่มีงานอดิเรกเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ มีเพื่อนฝูง มีคนรักเหมือนมนุษย์ปกติทั่วไป
เหมือนประโยคพากย์ไทยสุดโด่งดังที่บอกว่า “ฉันก็เป็นมนุษย์เหมือนกับทุกคน ฉันรัก…ฉันกลัวเป็น” ซึ่งบ่งบอกตัวตนของ “คลาร์ค เคนท์” (Clark Kent) เวอร์ชั่นนี้ได้ดีที่สุดแล้ว
Superman (2025)
5) แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่ตรงไหน ฮีโร่ที่ใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนแบบเขามีอยู่ถมไป จนก็ยังรู้สึกไม่ได้ว่าความเป็นซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นนี้มันดีกว่าอย่างไร ทันใดนั้นเมื่อชื่อของเจมส์ กันน์ ถูกอ่านอีกครั้งก็สามารถบรรลุได้ทันทีว่า “ก็นี่คือหนังของเจมส์ กันน์” ชายผู้ที่เก่งกาจนักหนาในเรื่องของการสร้างตัวละครและฉากแอคชั่น
Superman (2025)
6) Superman (2025) ไม่ได้สนุกตรงที่เราได้เห็นการตีความแบบใหม่ๆ หรือเนื้อเรื่องที่สดใสขึ้น แต่มันสนุกเพราะเป็นหนังของเจมส์ กันน์ นี่แหละ และมันคงเป็นเหตุผลที่เขาได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวเรือใหญ่เพื่อกอบกู้จักรวาลซุปเปอร์ฮีโร่ของ DC ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากถูกไล่ออกจาก Disney เพราะวีรกรรมที่เคยทำไว้(จากความคะนองในอดีต) แต่ด้วยความที่คนมันมีของในที่สุด Disney ก็ยังต้องกลืนน้ำลายตามเจมส์ กันน์ กลับไปทำ Guardians of the Galaxy Vol.3 (2023) เพื่อให้จบไตรภาค
Superman (2025)
7) หากเหล่าตัวละครรองบ่อนใน Guardians of the Galaxy ถูกเจมส์ กันน์ ปั้นให้โด่งดังและไปที่รักได้ขนาดนี้ นับประสาอะไรกับซุปเปอร์ฮีโร่อันดับหนึ่งตลอดกาล สิ่งที่ผู้กำกับผู้หลงใหลในคอมมิคฮีโร่มาทั้งชีวิตถ่ายทอดลงไปในภาพยนตร์โดยใช้วิธีคิดที่ว่า “อะไรที่ดีแล้วก็อย่าไปเปลี่ยนมัน” ใจความสำคัญ Superman จึงยังคงอยู่กับประเด็นของการพิสูจน์ตนเองที่ว่า “เราเลือกที่จะเป็นอะไรตามใจปรารถนา ไม่ใช่ให้ใครมาบอก”
คลาร์ค เคนท์ ที่เติบโตมา(อย่างอบอุ่น)ในฐานะมนุษย์โลกจึงต้องหาคำตอบว่าเขาเกิดมาเพื่ออะไรและควรจะทำอย่างไรต่อไป
Superman (2025)
8) ซึ่งคำตอบของมันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่เกินคาดหรือหักมุม แต่มันเป็นคำตอบเดิมๆ ที่ถูกบอกเล่าอย่างอบอุ่นและจริงใจต่างหากที่ทำให้เราเปิดใจให้กับซูเปอร์แมนคนใหม่นี้อย่างรวดเร็ว ยังไม่นับรูปร่างหน้าตาของเดวิด คอเรนสเวต ที่ดูสดใสและหนุ่มแน่นกว่าฉบับก่อนหน้า แน่นอนว่าบทนี้ทำให้เขาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยรับบทในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Twisters (2024) มาแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยคงถามว่า หมอนี่อยู่ตรงส่วนไหนของเรื่อง?
Superman (2025)
9) ตัวละครที่น่าสนใจจริงๆ และโดดเด่นขึ้นมากลับเป็น “มิสเตอร์เทอร์ริฟิก” (Edi Gathegi) ฮีโร่ในแก๊งค์ Justice Society ที่เข้าทฤษฏีปั้นตัวละครโนเนมของเจมส์ กันน์ อีกแล้ว พูดได้เลยว่านี่เป็นตัวละครฝั่งฮีโร่ที่หากคุณไม่สนใจเขา เขาจะกลายเป็นตัวละครแบบใช้แล้วทิ้งได้ง่ายๆ แต่เจมส์ กันน์ ปั้นให้ชายผู้ที่ไม่มีพลังพิเศษ มีแต่ความฉลาดเป็นอาวุธใช้สร้างเทคโนโลยีเพื่อเป็นฮีโร่ในแบบของเขา ให้ยืนอยู่แถวหน้าของเรื่องได้อย่างน่าอัศจรรย์
ในขณะที่ “กรีน แลนเทิร์น” (Nathan Fillion) ผู้เป็นหัวหน้าทีมได้แต่มองตาปริบๆ (แต่ก็ยังมีฉากได้ชูหน้าชูตาในจุดสำคัญของเรื่องอยู่นะ)
Superman (2025)
10) นักข่าวสาวผู้เป็นดวงใจของซูเปอร์แมน “ลูอิส เลน” (Rachel Brosnahan) ยังคงมีบทบาทคอยซัพพอร์ตแต่ไม่โอนอ่อนแบบวิถีของ “หญิงแทร่” ฉากที่ลูอิสสัมภาษณ์เคนท์ในอพาร์ทเมนต์เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงคำว่า “อย่าคุยเรื่องงาน ถ้าไม่อยากทะเลาะกัน” ได้ดีที่สุด แม้จะเป็นแฟนซูเปอร์แมน แต่เมื่อสวมวิญญาณนักข่าวลูอิส เลน ก็ถามจิกจนอีกฝ่ายหัวร้อนปุดๆ ได้
และเจมส์ กันน์ ตั้งใจวางฉากนี้ไว้หลังจากที่ “เล็กซ์ ลูเธอร์” (Nicholas Hoult) กำลังหาวิธีว่าเขาจะจับซูเปอร์แมนมานั่งสัมภาษณ์ถึงกรณีที่เข้าไปยุ่งในความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่างไร ในขณะที่ลูอิส เลน นั่งสัมภาษณ์สบายๆ หลังอาหารเย็นที่ห้องของเธอเอง เป็นการบ่งบอกพลังของอิสตรีที่เหนือกว่าผู้ใดทั้งหมดได้อย่างทรงพลังโดยไม่ต้องไปสู้กับใครให้เหงื่อออก
Superman (2025)
11) แน่นอนว่าจะลืมชายหัวโล้นผู้เครียดแค้นซูเปอร์แมนจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างเล็กซ์ ลูเธอร์ ไปไม่ได้เด็ดขาด เรารู้ดีว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่หาญกล้าวางแผนโค่นล้มมนุษย์ต่างดาวจอมพลังไร้เทียมทาน และมักจบลงด้วยความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติ ในครั้งนี้ “นิโคลัส เฮาลต์” มอบการแสดงที่น่าจดจำอีกครั้ง นี่คือเล็กซ์ ลูเธอร์ ที่กล้าประจันหน้ากับซูเปอร์แมนได้อย่างสงบนิ่งและเหยียบย่ำจิตใจของฮีโร่ผู้นี้ได้เกือบจมมิด
ในฉากที่ต้องปะทะคารมกันในออฟฟิศของลูเธอร์ เขายียวนกวนประสาทซูเปอร์แมนที่กำลังเดือดสุดๆ แม้จะอยู่ต่อหน้าชายที่สามารถเป่าตึกทั้งหลังให้หายได้ในพริบตา แต่กลับไร้ซึ่งความกลัวใดๆ เป็นการบ่งบอกตัวตนของเขาได้ดีที่สุดแล้ว
Superman (2025)
12) กลวิธีต่อกรกับซูเปอร์แมนของลูเธอร์ก็ทันสมัยดีเหมือนกัน กับการใช้ประโยชน์ของโซเชียลมีเดียสร้างความเกลียดชัง เป็นการบ่งบอกถึงพลังของข้อมูลและข่าวสารที่ครอบงำผู้คนได้ทุกยุคทุกสมัย แน่นอนว่ามันอาจจะดูง่ายและรวดเร็วไปหน่อย เพราะนี่ไม่ใช่ Spotlight (2015) หรือ The Post (2017) ที่ต้องมานั่งเจาะลึกวิธีการทางสื่อสารมวลชนอย่างละเอียดยิบ แต่แค่นี้ก็พอจะอนุมานถึงสังคมของเราได้แล้ว
แม้ผู้คนในโลกของ Superman ถูกบิดให้ดูบื้อเกินจริงไปสักหน่อย หรือว่าพวกเขาอาจจะชินชากับการที่เห็นบ้านเมืองถูกรุกรานแล้วก็เป็นได้ และสังเกตได้ว่าไม่มีคำขอบคุณจากปากประชาชนในเรื่องสักครั้งเลยยามที่พวกเขาถูกช่วยชีวิตโดยเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่(มันน่าช่วยมั้ยเนี่ย)
Superman (2025)
13) นอกจากการพัฒนาตัวละครที่ช่ำชองแล้ว อีกด้านหนึ่งที่ส่งเสริมกันอย่างแยกไม่ออก คือ การออกแบบฉากแอคชั่นที่น่าตื่นตา อย่าลืมว่า Superman ก็คือหนังแอคชั่น ถ้ามันไม่มีฉากแอคชั่นที่ดีและอัดแน่นเข้ามาอย่างเต็มอิ่ม(ซึ่งมีคนไม่ปลื้ม)แล้วก็เปลี่ยนไปทำหนังสยองขวัญดีกว่า ในรายของซูเปอร์แมนเขาได้ปะทะร่างกายกับศัตรูตลอดทั้งเรื่อง ความดีงามของงานสร้างและการออกแบบฉากแอคชั่นที่ลื่นไหลจนเวลา 2 ชั่วโมง 9 นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
Superman (2025)
14) การเห็นตัวละครบินบนฟ้าอาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เมื่อมันอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสม เราก็พร้อมจะร้อง “ว้าว” ออกมาทันใด ยิ่งแท็กทีมกับเจ้า “คริปโต” สุนัขพลังช้างสารด้วยแล้ว ความบันเทิง(บรรลัย)ก็ยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก (แน่นอนนอกจากตัวละครสัตว์เลี้ยงแล้ว เจมส์ กันน์ก็ไม่ลืมจะใส่ไคจูมาด้วย)
Superman (2025)
15) แต่ถ้าจะให้ยกฉากแอคชั่นที่น่าจดจำที่สุดของเรื่องกลับเป็นฉากแอคชั่นของ Mr. Terrific กับโดมสีแดงของเขา ซึ่งเป็นการออกแบบฉากแอคชั่นที่ว้าวมากๆ การผสานมุมกล้องเข้ากับฉากแอคชั่นแล้วเคล้าด้วยเพลงประกอบเหมือนกำลังร่ายรำท่ามกลางสนามรบอันเป็นลายเซนต์ของเจมส์ กันน์ โดยแท้จริง
ซึ่งยังรวมไปถึงความสามารถในการถ่ายทอดเนื้อหาที่เยอะแต่ดูรู้เรื่องได้ง่ายๆ ดึงรสชาติให้เหมือนมาจากคอมมิคเกือบจะทั้งหมด สอดแทรกมุกตลกที่ทำขำทั้งเจ็บจี๊ดได้ถูกจังหวะ จึงไม่แปลกใจถ้า Superman (2025) จะเป็นไข่ใบแรกของ DCU ที่ตั้งได้อย่างมั่นคง และพร้อมฝ่าฟันอุปสรรคอีกมากมายในอนาคต ที่แน่นอนว่าจักรวาลเพื่อนบ้านอย่าง MCU ก็เผชิญอยู่ในขณะนี้เช่นกัน
Superman (2025)
Story Decoder
โฆษณา