17 ก.ค. เวลา 12:26 • สิ่งแวดล้อม

Tourism vs Nature | ท่องเที่ยวปัง ธรรมชาติพัง (?)

การสนับสนุนการท่องเที่ยวตามกระแส อาจส่งผลร้ายต่อธรรมชาติกว่าที่คิด บูมเที่ยวอย่าลืมลิมิต ระวังจัดการผิด สิ่งแวดล้อมพังซ้ำรอย
จากการเข้าฉายของภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World: Rebirth (2025) ไปเมื่อเร็วๆ นี้ นอกจากจะทำรายได้อย่างถล่มทลายบน Box Office แล้ว ยังได้ก่อให้เกิดกระแสการพูดถึงอย่างล้นหลามบนโลกออนไลน์ โดยหนึ่งสิ่งที่กำลังได้รับการพูดถึงและชื่นชมเป็นอย่างมากนั่นก็คือ ความสวยงามของงานภาพ อันเป็นผลมาจากการรังสรรค์สถานที่ถ่ายทำตามธรรมชาติ ให้กลายเป็นอาณาจักรโลกล้านปีที่มีไดโนเสาร์อาศัยอยู่ได้อย่างน่าทึ่ง
ซึ่งในโจทย์นี้ Gareth Edwards ผู้กำกับของเรื่องได้เลือกแล้วว่า ที่ที่ดีที่สุดที่เขาจะใช้กล้องฟิล์มถ่ายทอดบรรยากาศของความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติได้เฉกที่จินตนาการไว้ก็คือ ประเทศไทย
ความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติและความรุ่มรวยทางภูมิทัศน์ของประเทศไทย ได้กลายเป็นฉากพื้นหลังให้กับภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาแล้วนับเรื่องไม่ถ้วน ตั้งแต่ The Man with The Golden Gun (1974) มาจนถึง The Creator (2023) ของผู้กำกับคนเดียวกันที่ก็ได้ยกกองไปถ่ายทำทั่วทุกภาค
ขณะที่ในเรื่อง Jurassic World: Rebirth นี้เอง ก็ได้ใช้สถานที่ในจังหวัดกระบี่ พังงา และตรังในการถ่ายทำ โดยได้นำมาซึ่งเม็ดเงินการลงทุนกว่า 400 ล้านบาท การจ้างงานกว่า 2,000 คน และมูลค่าจากการประชาสัมพันธ์สถานที่ในประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก ทางภาครัฐเองก็มีความคาดหวังอย่างยวดยิ่ง ที่จะใช้ Soft Power นี้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากกระแสการท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์จากทั้งในและต่างประเทศ
Infographic จาก Thailand Film Office
เมื่อภาพยนตร์ได้รับความนิยม การท่องเที่ยวตามสถานที่ถ่ายทำเป็นสิ่งที่คาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นเป็นอย่างแน่นอน ไม่มากก็น้อย ในแง่ดี อิทธิพลเหล่านี้ก็แปรสภาพเป็นเม็ดเงินสู่ชุมชน แต่ในทางกลับกัน การบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ อาจนำมาซึ่งความสูญเสียทางทรัพยากรธรรมชาติอันยากจะหวนคืนกลับ ภาพยนตร์เรื่อง The Beach (2000) คือหนึ่งในตัวอย่างอันไม่พึงประสงค์นั้น
Leonardo DiCaprio จากภาพยนตร์เรื่อง The Beach
ภาพการถวิลหาชายหาดสวยงามดั่งสรวงสวรรค์ของ Leonardo DiCaprio ได้ทำให้อ่าวมาหยา เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ กลายเป็น Tourist Destination ยอดนิยมแห่งหนึ่งของไทย โดยมีปริมาณนักท่องเที่ยวมากกว่า 5,000 คนกับเรือมากกว่า 100 ลำต่อวันที่หาดเล็กๆ แห่งนี้ต้องรองรับ
สิ่งที่ตามมาคือแนวปะการังที่พังทลายไปกว่า 80%, สัตว์ทะเลน้อยใหญ่ที่เคยปรากฏในพื้นที่ สูญหาย เฉกเช่นเดียวกับหน้าทรายขาวละเอียดที่เคยทอดตัวยาว, เศษขยะปะปนถมถืดอยู่ตามเกาะ, ทุกสิ่งบ่อนเซาะระบบนิเวศที่เคยสมบูรณ์จนแทบไม่เหลือเค้าเดิมดังก่อนสปอตไลต์ดวงจ้าจะเบนฉายมายังสถานที่แห่งนี้
นี่ยังไม่นับรวมถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐในสมัยนั้นก็ปล่อยปละละเลยหลวมตัวไปรับสินบนจนทีมงานถ่ายทำสามารถปรับเปลี่ยนสถานที่ตามอำเภอใจกันแบบสุด Exclusive ส่งผลให้ระบบนิเวศเดิมต้องเสียสมดุลอย่างมีนัยสำคัญอีกต่างหาก
ถึงแม้ว่าจะได้มีการตัดสินบทลงโทษและมอบความสงบสุขคืนแก่ธรรมชาติให้หลัง แต่การกระทำชำเราสิ่งแวดล้อมตรงนั้นอยู่นานกว่าร่วม 2 ทศวรรษ ก็ชวนให้นึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยมากมายที่ต้องสูญสิ้นไป กว่าที่สังคมและผู้มีอำนาจจะเริ่มตระหนักถึงปัญหาและเริ่มมองหามาตรการแก้ไข ธรรมชาติบางอย่าง อาทิ ปะการังบางชนิด ก็ไม่ได้สามารถฟื้นตัวกลับได้ในระยะเวลาอันสั้น
การที่รากของปัญหานี้ส่วนหนึ่งมาจากการคอร์รัปชันและการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการท่องเที่ยวที่ขาดประสิทธิภาพ โน้มเอนเข้ารับใช้ทุนนิยมมากกว่า ‘คนตัวเล็ก’ และสิ่งมีชีวิตที่พูดไม่ได้ ละม้ายคล้ายกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์
แต่ทว่าปัญหาที่นั่นนั้นรุนแรงกว่ามาก
นักท่องเที่ยวบนเกาะมาหยาก่อนปิดเกาะ
จังหวัดปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นอีกหนึ่งดินแดนท่องเที่ยวยอดนิยมของโลก จากความงามตามธรรมชาติของชายหาด ท้องทะเล ภูมิประเทศ และสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์ ปาลาวันเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอย่างยิ่ง เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น (endemic species) และสัตว์ใกล้สูญพันธุ์มากกว่าหลายร้อยชนิด ทั้งยังถือเป็นพื้นที่ป่าไม้กว่า 10% ของทั้งฟิลิปปินส์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ปราการทางระบบนิเวศแห่งสุดท้าย” ของประเทศ
ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาตินี้กำลังหดหายไปอย่างน่าใจหาย ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ป่าไม้ในปาลาวันลดลงไปกว่า 475,000 ไร่ โดยมีสาเหตุมาจากการถางป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการค้าและถนนหนทางเพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง ทำรีสอร์ตโรงแรมและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกการท่องเที่ยว ปลูกพืชเศรษฐกิจ และการลักลอบตัดไม้เถื่อน
ซึ่งแม้ว่าจะมีความพยายามในการปกป้องผืนป่าและต่อต้านการทำลายสิ่งแวดล้อมโดยภาคประชาสังคมและกลุ่มอนุรักษ์ (NGOs) แต่พวกเขากลับต้องเผชิญแรงต่อต้านอย่างหนักจากนายทุน และที่แย่ไปกว่านั้น คือเมื่อนายทุนอยู่ในคราบนักการเมือง
จังหวัดปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์
จังหวัดปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์
ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Delikado (2022) ได้เข้าไปติดตามประเด็นสถานการณ์นี้ และถ่ายทอดความดุเดือดของสมรภูมิรบในหมู่เกาะและผืนป่า อันนำมาซึ่งความสูญเสียจริง เมื่อภาครัฐ(จงใจ?) ไม่เหลียวแลและอ่อนแอเกินกว่าจะมีมาตรการป้องกันการรุกล้ำธรรมชาติ ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นมาหน้าที่เสียเอง
กลุ่มนักอนุรักษ์เล็ก ๆ นาม “Palawan NGO Network Inc. **(**PNNI)” ที่มีจำนวนสมาชิกเพียงไม่ถึงครึ่งร้อย กลับต้องดูแลพื้นที่ผืนป่ากว่า 1.87 ล้านไร่ (จากพื้นที่กว่า 14 ล้านตร. กม. ของจังหวัดปาลาวัน) และยอมเสี่ยงอันตรายออกลาดตระเวนแต่วันยังค่ำเพื่อหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่าและทำประมงผิดกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่อาวุธที่พวกเขามีนั้นได้แก่แค่มือเปล่า ที่กอบกุมความตั้งใจในการประยุกต์ใช้ข้อบังคับเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม ไปสู้กับกลุ่มคนลักลอบอาวุธครบมือ
ถึงขั้นที่ว่าฉากเปิดของเรื่องที่พาเราไปติดตามการบุกยึดเลื่อยยนต์เถื่อนกลางป่า หัวหน้าของกลุ่มฯ หันกลับมาพูดกับทีมงานว่า “ถ้าคนดูต้นทางเห็นเราก่อน เราโดนยิงตายแน่”
ตลกร้ายที่สถานการณ์นั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา
เมื่อกลุ่มผู้มีอำนาจไม่ต้องการสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตน องคาพยพเผละใหญ่นี้ไม่เพียงแต่สามารถสร้างแคมเปญไร้มูลป้ายสีนักการเมืองน้ำดีฝ่ายตรงข้ามและทนายความที่พยายามคัดค้าน แต่ยังอาจหาญถึงขั้นให้ใบสั่งประหัตประหารนักสู้มือเปล่าตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ได้อย่างอำมหิต เพียงเพราะพวกเขาเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากกว่าเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ และไม่อยากให้ทุนนิยมสาดพิษใส่น้ำทะเลสีใสและต้นไม้ใบเขียวจนซีดเซียวบิดเบี้ยวไปมากกว่านี้
ภาพจากสารคดีเรื่อง Delikado
เมื่อกลุ่มผู้มีอำนาจไม่ต้องการสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตน องคาพยพเผละใหญ่นี้ไม่เพียงแต่สามารถสร้างแคมเปญไร้มูลป้ายสีนักการเมืองน้ำดีฝ่ายตรงข้ามและทนายความที่พยายามคัดค้าน แต่ยังอาจหาญถึงขั้นให้ใบสั่งประหัตประหารนักสู้มือเปล่าตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ได้อย่างอำมหิต เพียงเพราะพวกเขาเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากกว่าเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ และไม่อยากให้ทุนนิยมสาดพิษใส่น้ำทะเลสีใสและต้นไม้ใบเขียวจนซีดเซียวบิดเบี้ยวไปมากกว่านี้
กลุ่มอนุรักษ์เหล่านี้รู้ตัวดีว่าไม่มีอะไรจะไปสู้ได้กับรัฐพันลึกที่ผูกโยงผลประโยชน์ไปจนถึงระดับผู้นำประเทศ
พวกเขารู้ดีว่าสู้ไปก็ยิ่งเป็นภัยต่อกับชีวิตและครอบครัว จะโดนอุ้มหายขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ขนาดจะส่งนักการเมืองดี ๆ ที่มีจิตสำนึกเข้าไปช่วยสู้ ก็ยังโดนซื้อเสียงจนแพ้เลย
แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะสู้ เพราะพวกเขายังเชื่อว่านี่คือ “บ้าน” ไม่ใช่แค่สถานตากอากาศของใครบางคน
ภาพจากสารคดี Delikado
แม้นว่าการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเปรียบได้ดัง “สมบัติของบ้าน” ในบ้านเรานั้นอาจมิได้มีดีกรีความดุเดือดรุนแรงเทียบเท่าอย่างในฟิลิปปินส์ และถึงแม้ว่าสถานการณ์การบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์-ท่องเที่ยวในประเทศไทยในระยะหลังมานี้จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แต่กรณีที่อินฟลูฯ นักอนุรักษ์ทะเลถูกสั่งปลดอย่างน่าตั้งคำถามเมื่อเร็ว ๆ นี้ กรณีการสร้างบ้านพักและรีสอร์ตรุกป่าของนักการเมืองและทุนจีน ไปจนถึงการออกโฉนดที่ดินในเขตแดนที่ชวนสงสัยในที่มาที่ไป ก็สะท้อนให้เห็นรูปเงาเค้าลางของการคอร์รัปชันและรับใช้ทุนนิยมปรากฏอยู่ไม่ไกลนัก
ฉะนั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป สิ่งที่ทุกภาคส่วนพึงต้องตระหนัก คืออดีตได้สอนเราแล้วว่า ถ้าเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่คัดค้านการรุกรานของทุนใหญ่ และไม่บริหารจัดการการท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพ ภาพสรวงสวรรค์ที่ดูเหมือนจะงดงามอยู่เสมอ ก็พร้อมจะสลายสิ้นไปจนไม่เหลืออะไรได้ในชั่วพริบตา
เที่ยวได้ เทรนด์ได้ แต่การอนุรักษ์เพื่อความยั่งยืน ก็พึงต้องอยู่ควบคู่ไปด้วยเฉกกัน แล้วเช่นนั้น ความสมดุลก็จะเกิดขึ้นเอง
มาร่วมถอดบทเรียนจากภาพยนตร์สารคดี Delikado ได้แล้ววันนี้ ทาง www.VIPA.me และ VIPA Application 📺
หรือคลิกที่ https://watch.vipa.me/xlA8ZBdXQUb 🔗
อ้างอิงข้อมูล
- Thailand Film Office
- Conde Nast Traveler
- Travel and Leisure Asia
- LillaGreen
- Palawan News
- Lexel
- มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร
- ประชาสัมพันธ์ จังหวัดกระบี่
โฆษณา