17 ก.ค. เวลา 14:35 • ธุรกิจ

อวสานยุค “Made in Japan”? กับ 3 ทหารเสือจีนโค่นบัลลังก์เครื่องใช้ไฟฟ้าญี่ปุ่น-เกาหลี

เคยมีอยู่ยุคหนึ่ง ที่คำว่า “Made in Japan” เปรียบเสมือนเครื่องหมายรับประกันคุณภาพสูงสุดในโลกของเครื่องใช้ไฟฟ้า แบรนด์อย่าง Sony, Panasonic, หรือ Sharp คือเจ้าแห่งนวัตกรรมที่ทุกคนต่างให้การยอมรับและหมายปอง
บัลลังก์ของพวกเขาดูแข็งแกร่งและไม่มีวันสั่นคลอน แต่แล้วเมื่อกาลเวลาผ่านไป ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้อย่าง Samsung และ LG ก็ก้าวขึ้นมาท้าชิงบัลลังก์นั้นอย่างสมศักดิ์ศรี สงครามเครื่องใช้ไฟฟ้าดูเหมือนจะเป็นการขับเคี่ยวกันของสองมหาอำนาจนี้ไปอีกนานแสนนาน
แต่ใครจะไปคาดคิดว่า ท่ามกลางสมรภูมิรบอันดุเดือด จะมีม้ามืดสามตัวจากแผ่นดินจีน ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ รอวันที่จะพลิกกระดานและเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาล
นี่คือเรื่องราวของ Haier, Midea และ TCL สามทหารเสือผู้เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยกลยุทธ์ที่พลิกตำราและบทเรียนทางธุรกิจมูลค่าหลายล้านล้านบาท ที่จะทำให้เราต้องหันกลับมามองยักษ์ใหญ่จากจีนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในทศวรรษ 1980 ช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังครองโลก แต่แล้วจุดเปลี่ยนที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้นในปี 1985 เมื่อข้อตกลงที่ชื่อว่า Plaza Accord ได้บังคับให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นอย่างมหาศาล
ผลลัพธ์คือสินค้าญี่ปุ่นที่เคยว่าแพงอยู่แล้ว กลับมีราคาพุ่งสูงขึ้นไปอีกจนคนธรรมดาแทบจะเอื้อมไม่ถึง และณ จุดนี้เอง ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นได้ตัดสินใจเดินหมากที่ผิดพลาดที่สุดในประวัติศาสตร์
พวกเขาทอดทิ้งตลาดระดับกลางและล่างทั้งหมด แล้วหันไปมุ่งเน้นการทำของ “พรีเมียม” สุดหรูสำหรับลูกค้าระดับบนเท่านั้น พวกเขามองว่าตลาดล่างเป็นเรื่องไร้สาระและไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาด้วย
ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์นี้ ได้เปิดประตูต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่จากประเทศจีนอย่างไม่รู้ตัว
ที่เมืองชิงเต่า มีโรงงานตู้เย็นของรัฐที่ใกล้จะล้มละลายอยู่แห่งหนึ่ง จนกระทั่งชายที่ชื่อ Zhang Ruimin เข้ามารับตำแหน่ง เขาได้ทำในสิ่งที่โลกต้องจดจำ เมื่อเขาสั่งให้คนงานนำตู้เย็นที่มีตำหนิ 76 เครื่องมาทุบทิ้งต่อหน้าพนักงานทุกคน
การกระทำที่ดูบ้าบิ่นนี้ คือการประกาศก้องว่าแบรนด์ที่ชื่อว่า Haier จะไม่ยอมประนีประนอมกับเรื่องคุณภาพเด็ดขาด แม้จะต้องเจ็บปวดในตอนเริ่มต้นก็ตาม
ในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่เมืองกว่างโจว ชายชื่อ He Xiangjian กำลังก่อตั้งโรงงานเล็กๆ ที่ชื่อว่า Midea เพื่อผลิตฝาขวดพลาสติก พวกเขาไม่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่มีสัญชาตญาณที่เฉียบคมในการมองหาว่า “ตลาดต้องการอะไร” และทำมันออกมาในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้
และที่เมืองฮุ่ยโจว รัฐวิสาหกิจชื่อ TTK ที่ผลิตเทปคาสเซ็ท กำลังถูกบริษัทญี่ปุ่นอย่าง TDK ฟ้องร้องเรื่องชื่อที่คล้ายกันเกินไป พวกเขาจึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น TCL และหันไปทำธุรกิจโทรศัพท์บ้านแทน การโดนฟ้องร้องในวันนั้น กลายเป็นบทเรียนที่บังคับให้พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวในเวทีโลกตั้งแต่เนิ่นๆ
ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นกำลังหลงระเริงอยู่บนยอดเขา มีมดงานสามกลุ่มกำลังก่อร่างสร้างตัวจากตีนเขาอย่างเงียบๆ กลุ่มหนึ่งเน้นคุณภาพ, กลุ่มหนึ่งเน้นความคุ้มค่า, และอีกกลุ่มเน้นการปรับตัว รอวันที่จะปีนขึ้นไปโค่นบัลลังก์ของยักษ์ที่กำลังหลับใหล
เมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 1990 และ 2000 สามทหารเสือจากจีนก็เริ่มเปิดฉากสงครามด้วยกลยุทธ์ที่แยบยลและแตกต่างกันไป แต่มีหัวใจเดียวกันคือการทำในสิ่งที่ยักษ์ใหญ่ละเลย
อาวุธสำคัญอย่างแรกที่พวกเขาใช้เหมือนกันคือ “วิศวกรรมย้อนกลับ” หรือ Reverse Engineering พวกเขาไม่ได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อวิจัยเทคโนโลยีใหม่ แต่เลือกที่จะซื้อสินค้าของคู่แข่งมาหนึ่งชิ้น แล้วชำแหละมันออกมาเพื่อศึกษาและเรียนรู้
พวกเขาค้นหาว่าอะไรคือส่วนที่ดี อะไรคือส่วนที่แพงเกินความจำเป็น แล้วจึงสร้างผลิตภัณฑ์เวอร์ชันของตัวเองขึ้นมา โดยตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพดีพอในราคาที่ถูกจนน่าตกใจ
TCL ได้ยกระดับเกมนี้ไปอีกขั้นด้วยอาวุธลับที่สอง นั่นคือ “การบูรณาการในแนวดิ่ง” หรือ Vertical Integration
ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ เลือกที่จะซื้อชิ้นส่วนจากหลายๆ ที่มาประกอบเป็นสินค้า แต่ TCL เลือกที่จะ “ทำเองทั้งหมด” ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
พวกเขาไม่ได้เป็นแค่โรงงานประกอบทีวี แต่ยังมีบริษัทลูกชื่อว่า CSOT ซึ่งเป็นโรงงานผลิต “หน้าจอ” ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเรื่องที่น่าทึ่งที่สุดคือ โรงงานแห่งนี้ยังผลิตและส่งหน้าจอให้กับแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ อีกด้วย
ความได้เปรียบในการควบคุมต้นทุนและซัพพลายเชนนี้เอง ที่ทำให้ TCL สามารถตั้งราคาที่น่าดึงดูดใจได้โดยไม่ต้องลดทอนคุณภาพในส่วนที่สำคัญ
ในขณะเดียวกัน Haier ก็สร้างความแตกต่างด้วยอาวุธที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือ “นวัตกรรมการจัดการ” Zhang Ruimin ได้สร้างโมเดลการบริหารที่ชื่อว่า “เหรินตันเหออี” ขึ้นมา
โมเดลนี้คือการทลายโครงสร้างบริษัทขนาดใหญ่ แล้วแบ่งพนักงานหลายหมื่นคนออกเป็นองค์กรขนาดเล็กๆ นับพันแห่ง แต่ละแห่งมีอิสระในการตัดสินใจและรับผิดชอบผลกำไรขาดทุนของตัวเอง นี่คือการเปลี่ยนพนักงานให้กลายเป็น “ผู้ประกอบการ” ที่มีความรับผิดชอบและกระตือรือร้น
ส่วน Midea เลือกใช้กลยุทธ์ที่ดุดันและรวดเร็วที่สุด นั่นคือ “การเติบโตผ่านการซื้อกิจการ” พวกเขาไล่ซื้อคู่แข่งในประเทศจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่เครื่องใช้ไฟฟ้าครบวงจร และก้าวไปอีกขั้นด้วยการซื้อ KUKA บริษัทหุ่นยนต์อันดับหนึ่งของเยอรมนี
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณว่า Midea ไม่ได้มองแค่ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกต่อไป แต่มองไปถึงอนาคตของโลกอุตสาหกรรม หรือ Industry 4.0
3
และแล้ว จุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งให้ม้ามืดทั้งสามตัวนี้พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างฉุดไม่อยู่ก็มาถึง นั่นคือ “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008”
วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนั้นได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปตลอดกาล ผู้คนทั่วโลกเริ่มมองหาความ “คุ้มค่า” มากกว่าความหรูหรา สินค้าราคาแพงจากญี่ปุ่นกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ
แต่นี่คือนาทีทองของแบรนด์จีน สินค้าคุณภาพดีพอใช้ในราคาที่จับต้องได้ของพวกเขากลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวที่ทุกคนตามหา มันคือช่วงเวลาที่โลกได้รับรู้ว่า… ยุคสมัยของยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นได้จบสิ้นลงแล้วอย่างแท้จริง
เมื่อยักษ์ญี่ปุ่นล้มลง สมรภูมิจึงเหลือแค่ยักษ์เกาหลีกับมังกรจีน แต่ดูเหมือนว่ามังกรจากจีนจะเติบโตเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิด
Haier ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกในปี 2016 ด้วยการประกาศเข้าซื้อกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าของ General Electric หรือ GE ในอเมริกา… แบรนด์ในตำนานที่ครั้งหนึ่ง Zhang Ruimin เคยยกให้เป็นต้นแบบ บัดนี้กลับถูกลูกศิษย์จากจีนซื้อกิจการไปอย่างสมบูรณ์แบบ
TCL ก็ผงาดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขาใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนและคุณภาพที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสามารถโค่น LG ลงจากตำแหน่งผู้ผลิตทีวีอันดับสองของโลกได้สำเร็จในปี 2022 และตอนนี้กำลังหายใจรดต้นคอเบอร์หนึ่งอย่าง Samsung
ส่วน Midea ก็ได้กลายเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว อาณาจักรของพวกเขาไม่ได้มีแค่แอร์หรือตู้เย็น แต่ยังครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่ล้ำสมัย
ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นล้มลงเพราะความหยิ่งทะนง การยึดติดกับภาพความสำเร็จเก่าๆ และการไม่ยอมปรับตัวเข้าหาความต้องการที่แท้จริงของตลาดส่วนใหญ่
ในขณะที่สามทหารเสือจากจีนเริ่มต้นจากศูนย์ พวกเขาไม่มีอะไรจะเสีย พวกเขาจึงต้องรับฟังลูกค้า ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว และต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นร้อยเท่าพันเท่า
พวกเขาไม่ได้ชนะเพราะเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีที่เก่งกาจที่สุด แต่พวกเขาชนะเพราะเป็น “ผู้บูรณาการที่ฉลาดที่สุด” พวกเขารู้วิธีนำเทคโนโลยีที่มีอยู่ มาทำให้มันดีพอและเข้าถึงได้สำหรับคนส่วนใหญ่
พวกเขาชนะเพราะเป็น “ผู้ที่เข้าใจลูกค้าได้ดีที่สุด” พวกเขามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่จับต้องได้อย่าง “ความคุ้มค่า” และ “การใช้งานได้จริง” ไม่ใช่ลูกเล่นที่หวือหวาหรือนวัตกรรมที่ไกลเกินเอื้อม
เรื่องราวของ Haier, Midea, และ TCL คือมหากาพย์การต่อสู้ทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มันคือบทเรียนที่สอนให้เรารู้ว่า ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากจุดที่เล็กแค่ไหน แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง กลยุทธ์ที่เฉียบคม และความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้… คุณก็สามารถโค่นยักษ์ใหญ่และเปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นกัน
References : [hbr, forbes, reuters, bloomberg, lcdtvthailand]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา