18 ก.ค. เวลา 01:04 • นิยาย เรื่องสั้น

คดีสุดท้ายของคันนากิ อูโรมุ

เห็นมานานเมื่อปีที่แล้วในห้องสมุด เห็นปกและอ่านปกหลังคร่าว ๆ คิดอยู่นานอ่านดีไหม เปิดอ่านคำนำก็ยังสองจิตสองใจ เหมือนไม่ตรงจริตเราเท่าไร แต่ในคราวที่ไม่รู้จะอ่านอะไรดีก็เลยยืมติดมือมา
เล่มนี้คนที่ชอบแนวตัวละครออกไปทางอนิเมะหน่อยน่าจะชอบมาก เพราะตลอดเรื่องถูกเขียนมาให้มีความเป็นนิยายแบบผสมความแสดงออกเกินจริงของตัวละครในทุกอณู ดังนั้นคนที่ไม่ชอบแนวแฟนซี (แฟนซีจริง ๆ นะ ไม่ใช่แฟนตาซี) เพ้อฝันหลุดโลกหน่อย น่าจะชอบได้ยาก ส่วนผมขอบอกความรู้สึกตัวเองช่วงท้ายนะครับ
#คดีสุดท้ายของคันนากิอุโรมุ
สนพ.ไดฟุกุ พิมพ์ปี 2567
ผู้เขียน คนโนะ เทนริว
ผู้แปล เมธี ธรรมพิภพ
328 หน้า 359 บาท
เนื้อหาโดยย่อ
เซเซรากิ ฮากูโตะ หนุ่มนศ.เภสัชปี2มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสมาชิกจำยอมของชมรมยอดนักสืบ ที่มีด้วยกันทั้งหมด4คน บังเอิญเช่าอยู่ในอะพาร์ตเมนต์โทรม ๆ หลังเดียวกับรุ่นน้องเภสัชสาวปี1 หน้าตาน่ารักนามคูรูซุ ชิกิ แถมยังอยู่ห้องติดกัน และเธอมักจะชอบมาพูดคุยสนิทสนมกับฮากูโตะ รวมถึงทำข้อตกลงสลับกันทำอาหารเย็นเลี้ยงอีกฝ่ายเพื่อความประหยัด แต่ไม่ได้เป็นแฟนกัน เป็นความสัมพันธ์ฉันรุ่นพี่รุ่นน้องอันเย้ายวนและยากจะบ่งบอกอะไรให้ชัดเจน
📕
วันหนึ่งทั้งสองได้พบกับหญิงสาวสวยที่ถือหนังสือเล่มหนึ่งในมือ และรำพันพร่ำเพ้ออะไรบางอย่างแล้วเป็นลมหมดสติที่เบื้องนอกอาคาร ด้วยความมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนของคูรูซุ จึงขอร้องฮากูโตะให้ปฐมพยาบาลจนสาวคนนั้นฟื้น แล้วจู่ ๆ เธอก็ขอให้ช่วยพาไปหาใครที่เป็นยอดนักสืบให้ที
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองซึ่งเป็นสมาชิกชมรมยอดนักสืบ จึงพาเธอไปพบกับอัจฉริยะสาวยอดนักสืบที่เป็นเหมือนหัวหน้าหรือประธานชมรม ที่มีชื่อว่าคงโกจิ คิระ และพบกับชายที่เป็นเพื่อนฮากูโตะและเป็นหนึ่งในสมาชิกอีกคนชื่อ ฮิบาริ โคซูเกะ เมื่อเจอหน้ากันสาวปริศนาจึงแนะนำตนเองว่าชื่อ มิตสึรูกิ ยูอิ เป็นนศ.ชั้นปี2รุ่นเดียวกับฮากูโตะ และเป็นลูกสาวของอดีตนักเขียนนิยายดัง มิตสึรูกิ มาซารุ เจ้าของผลงานชุดคันนากิ อุโรมุ ที่มีทั้งหมด 12 เล่ม และเล่มสุดท้ายชื่อว่า "คดีสุดท้ายของคันนากิ อูโรมุ"
📕
ยูอิขอร้องให้หัวหน้าชมรมหรือคิระ ช่วยไขคดีและปริศนาในหนังสือเล่มสุดท้ายที่พ่อเขียน เพราะในเนื้อหานั้นคดีไม่ถูกเฉลย ปริศนาเกี่ยวกับกล่องที่เป็นวัตถุพยานชิ้นสำคัญในนิยายยังไม่มีใครรู้ว่าความจริงที่ซ่อนในนั้นคืออะไร ที่สำคัญคือดราม่าในโลกอินเทอร์เน็ตที่มีกระแสว่าเรื่องราวที่เขียนขึ้นไม่ใช่ความจริง และตัวของยอดนักสืบคันนากิ อูโรมุ ก็ไม่มีอยู่จริง ทำให้พ่อของยูอิถูกประฌามเมื่อเกือบ20ปีก่อน
อีกทั้งแม่ก็ทิ้งพ่อกับเธอไปตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ยูอิยอมรับไม่ได้ ทั้งโกรธแค้นแม่ตัวเองและอยากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงว่าเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไรแน่ โดยขอให้ช่วยสืบหาให้ได้ภายในอีก4วันข้างหน้า ก่อนเธอจะมีอายุครบ 19 ปีบริบูรณ์ คิระสนใจในสิ่งที่ยูอิบอก จึงตกลงช่วยและขอให้ ฮากูโตะ กับฮิบาริ ที่เป็นสมาชิกกลับไปอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้ววิเคราะห์เพื่อนำเสนอข้อสันนิษฐานที่มีต่อคดีในเรื่องด้วย โดยคูรูซุเองก็มีความสนใจ และได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ช่วยของฮากูโตะอีกคน
📕
เนื้อหาในหนังสือเล่าถึง กลุ่มนักสืบนำโดยคันนากิ อุโรมุ ที่เป็นยอดนักสืบไขคดีมาแล้วมากมาย ได้รับจดหมายเชิญจากราชาจอมโจร คูอนจิ ชารากุ ผ่านทางผู้สังเกตการณ์ และเป็นผู้เขียนบันทึกเล่าเรื่องของคันนากิ คือมิตสึรูกิ มาซารุ ให้ไปเป็นแขกพิเศษยังอาคารลับของราชาจอมโจร คนอื่นในทีมไม่อยากให้ไปแต่คันนากิ ตอบรับคำเชิญ ในคืนนั้นเอง หลังจากได้สนทนากันพอสมควรแล้ว เมื่อคูอนจิให้สาวกของตนนำพาคณะนักสืบไปพักยังห้องที่จัดเตรียมไว้รับรองที่ชั้น2
ปรากฏว่าหลังเที่ยงคืนมีเสียงเพลงประจำห้องของราชาจอมโจรดังขึ้น ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยของอาคาร มีคนสี่คนจากทั้งฝั่งนักสืบและคูอนจิไปที่ห้องอันเป็นต้นเสียง พบชายที่คาดว่าอาจเป็นคูอนจินอนเสียชีวิต มีบาดแผลเลือดไหลที่ท้อง ทั้งที่เป็นห้องปิดตายเพราะต้องนำกุญแจสำรองเปิดเข้าไป ในขณะที่คนอื่น ๆ อยู่กันที่ชั้น2 และการจะขึ้นมายังชั้น3ที่เกิดเหตุได้ ต้องขึ้นลิฟต์จากชั้น1เท่านั้น จึงเป็นปริศนาว่าคูอนจิตายจากสาเหตุใด ใครเป็นคนทำ
โดยช่วงก่อนหน้านั้นที่สนทนากันก่อนแยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย คูอนจิได้ให้กล่องปริศนาเล็ก ๆ ที่ระบุว่ามีข้อความที่จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรม ที่เขาคิดขึ้นและชักชวนให้ทุกคนร่วมเล่นไว้กับคันนากิ เพื่อให้เขาหาทางเปิดให้ได้ ขณะทุกคนกำลังตกใจและสงสัยในการตายอันน่าเคลือบแคลงของชายในห้อง เสียงสัญญาณเตือนภัยไฟไหม้ได้ดังขึ้น ทุกคนจึงต้องรีบออกจากอาคารโดยเร็ว ทว่าเมื่อนับจำนวนคนหลังออกมากันหมดแล้วขาดไป 1 คน คันนากิและคนในทีมอีกหนึ่งคนได้วิ่งฝ่าไฟที่กำลังไหม้เพื่อเข้าไปช่วย แต่..
📕
ในวันนัดหมาย ทุกคนมาพร้อมกันที่ห้องชมรม ต่างนำเสนอสิ่งที่ตนคิดไล่ไปจากฮากูโตะเป็นคนแรก ตามด้วยฮิบาริ และคิระ ซึ่งแต่ละคนก็ทำให้คนอื่น ๆ ต้องทึ่งในแนวความคิดอันไม่น่าเชื่อ ทว่าสุดท้ายแล้วข้อสันนิษฐานมากมายจะช่วยให้ความขุ่นข้องหมองใจของยูอิ เจือจางบางเบาลงได้หรือไม่ หรือจะนำไปสู่ความจริงอันน่าเจ็บปวดที่ไม่สมควรไปยุ่งตั้งแต่แรก
ความจริงไหนคือความจริงที่ถูกต้อง และตัวละครหนึ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศและความรู้สึกของทุกคนอย่างใหญ่หลวง ที่ให้ผลลัพธ์สวนทางกลับสิ่งที่ตัวละครอื่นวิเคราะห์นั้นจะสามารถไขปริศนาทุกอย่างได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่
ถ้าเริ่มอยากรู้แล้ว ลองไปหาอ่านกันได้ครับ
จบแล้วรู้สึกอย่างไร🔎
1. คนเขียนน่าจะชื่นชอบส่วนตัวเกี่ยวกับนิยายสไตล์การ์ตูนหรือเรื่องเบา ๆ ที่นิยมในกลุ่มคนญี่ปุ่นจำนวนมากที่เติบโตมาในยุคที่มีการเกิดขึ้นของงานเขียนประเภทไลท์โนเวล ที่ไม่เน้นการบรรยายฉากหลังมากมาย ไม่ใส่รายละเอียดของสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ปกติจะต้องมีในนิยายทั่วไป
พื้นที่ส่วนใหญ่ในหนังสือจะให้ความสำคัญของบุคลิกลักษณะตัวละครที่มักมีการแสดงออกทางกาย วาจา เกินเลยจากคนทั่วไปอย่างมาก รวมถึงการสนทนาที่มีประโยคที่คนปกติไม่ค่อยใช้กันในชีวิตประจำวัน และค่อนข้างมีเนื้อหาออกไปในทางแฟนซีหรือฟรุ้งฟริ้ง จินตนาการเพ้อฝันสูง ซึ่งทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมา คนที่เคยอ่านแนวนี้คงจะเช้าใจดี และก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ
.
ถ้าให้วิจารณ์ก็ขอบอกตามตรงว่าพอนำเสนอออกมาลักษณะนี้ ทำให้ลดน้ำหนักความสมจริงของเรื่องราวลงไป บรรยากาศโดยรวมให้ความรู้สึกในเชิงสร้างความบันเทิงที่ไม่ขึ้นกับโลกความเป็นจริงเท่าไรนัก แม้แต่ชื่อตัวละครต่าง ๆ ยังออกเสียงแปลก ๆ เหมือนชื่อที่หรูหราไปทางลิเก แม้กระทั่งชื่อสถานที่อย่างอะพาร์ตเมนต์ที่ตัวเอกพักก็ยังอ่านยาก มีความการ์ตูนแฟนซีสุดติ่ง ยังพวกชื่อเรียกที่เป็นฉายานามอีกเล่า
ยิ่งรวมกับการใช้สัญลักษณ์แทนความหมายที่ใส่เข้ามาตลอดเรื่องอย่าง << >>ที่ผมมองว่ารกเลอะเทอะเกินพอดี ก็ยิ่งทำให้มองเรื่องนี้ว่าคือโลกของจินตนาการไร้พรมแดนที่ไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบของโลกจริงเท่าใดนัก
.
2. ผู้เขียนเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลักในมุมมองบุคคลที่ 1 แต่มีลูกเล่นเพิ่มเข้ามาคือการให้ตัวเอกต้องอ่านนิยายที่ชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง เพื่อศึกษาเนื้อหาในนั้นจะได้นำมาวิเคราะเป็นข้อสันนิษฐาน
ดังนั้นการดำเนินเรื่องจึงสลับระหว่างโลกจริงที่ตัวละครมีตัวตนอยู่ กับโลกในนิยายที่เขาต้องอ่านเป็นช่วง ๆ แยกออกจากกันด้วยการเน้นตัวอักษรสีเข้มกับสีอ่อน ค่อนข้างเด่นชัดเข้าใจไม่ยาก เป็นกลวิธีดำเนินเรื่องแบบนิยายซ้อนนิยายนั่นเอง แต่เมื่อเลยช่วงกลางเล่มไปแล้วหลังตัวเอกอ่านจบ ก็จะเป็นการเล่าในโลกความจริงยาวไปจนจบเรื่อง ถือว่าทำได้โอเค
.
3. ผู้เขียนเน้นที่คู่ของตัวละครหลักคือฮากูโตะกับชิกิ มากกว่าให้ความสำคัญกับบทบาทของตัวละครอื่น มีที่ได้บทรองลงมาคือยูอิ ผู้ที่เป็นต้นเรื่องนำสู่การพยายามไขปริศนาในหนังสือ นอกนั้นมีบทบ้างประปราย แล้วไปกล่าวถึงเยอะขึ้นหน่อยในช่วงของการนำเสนอข้อสันนิษฐาน เรียกว่าเป็นนิยายที่มีฉากให้วัยรุ่นได้กระชุ่มกระชวยใจในความสัมพันธ์อันน่ารักน่าลุ้นของสองตัวเอกในช่วงครึ่งแรกซะมาก ก่อนจะไปให้พื้นที่ของการไขความจริงในช่วงครึ่งหลังเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้น
ซึ่งค่อนข้างจะมีความเหนือจริงสูง ใครที่ชอบความเข้มข้นของนิยายสืบสวนที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ การสืบพยานแวดล้อม การตามหาแรงจูงใจในการก่อคดีและตามรอยคนร้าย อาจจะไม่ค่อยชอบเล่มนี้สักเท่าไร ในขณะที่คนชอบการไขคดีที่เน้นลูกเล่น ความแปลกใหม่ของวิธีการที่นำไปสู่การตาย การวิเคราะห์ที่แหวกแนวและเหลือเชื่อ รวมถึงอะไรที่กุ๊ก ๆ กิ๊ก ๆ ระหว่างเคมีของตัวพระนาง น่าจะชอบและโดนใจกับการบรรยายในเล่มนี้ได้ไม่ยาก
.
4. ความจริงมีช่วงที่ผมอ่านได้ค่อนข้างช้าคือช่วงผ่านครึ่งเรื่องมาได้หน่อย ยังไปไม่ถึงตอนที่วันนัดมาสรุปข้อสันนิษฐาน อารมณกึ่ง ๆ ระหว่างความเนือยและเหมือนแรงจูงใจให้อยากรู้ในสิ่งที่ตัวละครพยายามค้นหานั้น มันรางเลือนและห่างไกลจากเรา คือถึงจะไม่รู้ก็เฉย ๆ หยุดอ่านก็ได้ ออกจะง่วงด้วย แต่ก็ยังไม่อยากด่วนถอดใจ จึงอ่านต่อไปอีกสักหน่อย
พอเอาชนะความรู้สึกช่วงนั้นมาได้ ปรากฏสิ่งที่น่าแปลกใจคือ ชักเริ่มเกิดความสนุกขึ้นมากับการคาดการณ์ความจริงในมุมมองและความคิดจินตนาการของสมาชิกชมรมยอดนักสืบแต่ละคน โดยเฉพาะคนสุดท้าย เออ..ก็ไม่เลวเลยนะ แม้นจะยังไม่ชอบแนวการเขียนสไตล์แบบนี้ก็ตาม
.
5.อุปนิสัยของตัวเอกหญิงชายค่อนข้างชัด ในส่วนนี้ค่อนข้างทำได้ดีในแง่สร้างความดึงดูดให้อ่านต่อไปได้เรื่อย ๆ กับความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ เรียกว่าเป็นเหมือนน้ำตาลหอมหวานที่เคลือบในลูกอมหน้าตาสีสันแสบตา ที่ต้องคิดหนักว่าอมไปแล้วจะเป็นไรไหม ซึ่งก็ทำหน้าที่หลอกล่อได้พอสมควร ว่าตามจริงผมสนใจอยากรู้ความคืบหน้าต่อไปของสองคนนี้ มากกว่าการตามไขปริศนาของหนังสือต้นเรื่องด้วยซ้ำไป
แต่ถือว่าส่วนของการไขปริศนามาทำได้ดีในช่วงตั้งแต่เริ่มเข้าสู่การตั้งข้อสันนิษฐานในห้องชมรม มีอะไรให้ได้รู้สึกว่า เรื่องที่ดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไร สามารถตีเป็นความเป็นไปได้หลายทางขนาดนี้เชียว แม้บางเส้นทางจะดูเป็นการ์ตูนมากไปหน่อยก็ตาม แต่เข้าใจได้เพราะแนวทางของเรื่องเดินมาสายนี้แต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งเราสามารถเห็นได้ตั้งแต่เริ่มเล่าเรื่องหน้าแรก ดังนั้นถ้าไม่ชอบเลยก็หยุดไม่ต้องอ่านต่อตั้งแต่ต้น ก่อนจะต้องอ่านไปแล้วพบกับสิ่งที่ทำให้ใจเกิดต่อต้านมากขึ้น
.
6. การหาทางลงให้กับตัวละครที่ปรากฏในหนังสือ ซึ่งมีตัวตนอยู่จริงในโลกนอกหนังสือนั้น ผมเห็นว่าทำได้ดีนะ ไม่เลวเลย และตอนท้ายยังเขียนให้ถ้าจะมีเล่มต่อก็สามารถจะทำได้ในอนาคต แต่ก็มีความจบสมบูรณ์ในตัวที่ทำความกระจ่างให้ปรากฏในทุกข้อสงสัยที่เป็นปริศนาคาใจของตัวละครในตอนต้นทุกประเด็น
รวมความว่าถึงแม้ส่วนตัวผมไม่ถูกโฉลกกับนิยายแนวแฟนซีแบบตัวละครเอะอะโวยวาย ชอบพูดหรือทำอะไรแบบกำลังแสดงละครเวที และเรื่องราวที่เหมือนอยู่ในโลกของการ์ตูนเท่าไรนัก แต่เมื่ออ่านเล่มนี้จนจบแล้วก็ถือว่ารับได้ เข้าใจว่าผู้เขียนอยากสร้างความต่างและแปลกใหม่ ให้โดดเด่นออกมาจากผลงานนิยายสืบสวนที่วางขายเกลื่อนในวงการวรรณกรรมญี่ปุ่น
การเริ่มอะไรใหม่ ๆ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ ในญี่ปุ่นเห็นว่าคนส่วนมากจะชอบกันเยอะ รวมถึงได้รางวัลด้วย ข้อนี้ไม่แปลกใจ แต่ในไทยเท่าที่เห็นจะมีสองฝั่งชัดเจน ชอบก็ชอบมาก กับไม่ชอบก็ไม่ชอบจริง ๆ
ทว่าผมไม่อาจจัดตนเองเข้าในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งดังกล่าว เพราะจะว่าชอบก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่ครั้นจะบอกว่าไม่ชอบก็ไม่ตรง เอาเป็นว่ามีทั้งส่วนที่ชอบและส่วนที่ไม่ชอบปะปนกัน โดยรวมแล้วอ่านฆ่าเวลาได้ ส่วนใครที่ยังไม่เคยสัมผัส หลังอ่านที่ผมเล่ามานี้จบลงแล้ว ลองตัดสินใจดูครับว่าเล่มนี้จะเหมาะกับคุณหรือไม่😊
โฆษณา