Blockdit Logo (Mobile)
Digital Military
•
19 ก.ค. เวลา 23:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

ทักษะดิจิทัลจำเป็นสำหรับทหารทุกคน

สรุปจากบทความ “Data Literacy for All: Why Every Airmen & Guardian Needs to be Data Literate”
โดย นาวาอากาศตรี Nathaniel W. Flack
"ความรู้ด้านข้อมูล” ไม่ใช่ทักษะเสริม แต่เป็นรากฐานการรบยุคข้อมูลที่กำลังพลของกองทัพอากาศและกองทัพอวกาศ (Airmen & Guardians) ทุกระดับต้องมี หากต้องการตัดสินใจได้ไวและแม่นยำในสงครามหลายมิติ (multi-domain conflicts) อันซับซ้อน
กองทัพอากาศ (DAF) ได้บรรจุทักษะดิจิทัล (digital literacy) เป็นหนึ่งในสมรรถนะ (competency) พื้นฐานตั้งแต่ปี 2021 และเผยแพร่หลักนิยมของกองทัพอากาศ USAF Doctrine Note 25‑1 ที่ตั้งมาตรฐานกำลังพลไว้สูง ต้องเข้าใจ ตีความ และใช้งานระบบ AI ได้จริง — ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีทักษะดิจิทัลที่เข้าใจได้มาก่อน
การจะ “ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” (data-driven) เราต้อง “พูดภาษาเดียวกันเรื่องข้อมูล” เสียก่อน กองทัพจึงต้องสร้างยุทธศาสตร์ทักษะแบบองค์รวม เพื่อให้ทุกหน่วยคิดให้เป็นว่า “มีข้อมูลอะไร ขาดอะไร และจะเอาเครื่องมือไหนมาดึงข้อมูลที่ถูกต้อง ไปถูกที่ ถูกเวลา เพื่องานที่ใช่”
แนวคิดนี้พาดพิง "ความจริง 4 ของการรู้เท่าทันข้อมูล" (Four Truths) ของหลักสูตรทักษะดิจิทัลของกองทัพบกสหรัฐฯ ว่าต้องได้ "ข้อมูลถูกต้อง ถูกเวลา ถูกความมุ่งหมาย และตีความถูกต้อง" (Right Data, Right Time, Right Purpose, Right Literacy) เพื่อการตัดสินใจที่ดีกว่า และลดภาพลวงว่า “ข้อมูลเยอะ = ดีเสมอ”
การวิเคราะห์ข้อมูล 4 ระดับ
ทั้งยังวางกรอบ “การวิเคราะห์ 4 ระดับ” - วิเคราะห์เชิงสรุป, วิเคราะห์เชิงลึก, คาดการณ์อนาคต, เตรียมการจัดการอนาคต (descriptive, diagnostic, predictive, prescriptive) การวิเคราะห์นี้จะช่วยให้หนทางปฏิบัติ (courses of action) กับผู้มีอำนาจอนุมัติ (decision-maker) เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
หัวใจสำคัญอีกส่วนคือการสร้าง "วัฒนธรรมขับเคลื่อนด้วยข้อมูล" (Data Driven Culture) พร้อม ๆ กับ "นิสัยที่ใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง" (Data‑Centric Habits) ผู้นำจำนวนมากมองการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลเป็นโจทย์เชิงเทคนิค (หาเครื่องมือ/อบรมแล้วจบ) แต่ความจริงแล้ว เป็น "ความท้าทายในการปรับตัว" คือ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดและนิสัยการทำงานของกำลังพลจากยุคอุตสาหกรรมสู่ยุคข้อมูล
การบังคับจากบนลงล่างไม่พอ: กระบวนการและ Data‑Centric Habits จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อหัวหน้าหน่วยทุกระดับยอมรับปัญหา ลองใช้ข้อมูลจริง กล้าที่จะล้มเหลว แล้วเรียนรู้ร่วมกัน การเปลี่ยนผ่านจะเจอช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิง มีงานล้น ความเหนื่อยล้าจากการเปลี่ยนแปลง และแรงต้านแบบ “ทำเหมือนเดิมก็พอ” ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารภาพอนาคตและพื้นที่ให้ทดลองล้มแล้วลุก
“data-driven” กับ “data-centric” ต่างกันอย่างไร
  • ●
    Data-driven หมายถึง การตัดสินใจให้ข้อมูลเป็นหลักฐานนำ (decisions powered by relevant, timely, well-interpreted data); เป็นปลายทางที่องค์กรอยากไปให้ถึงเพื่อให้การตัดสินใจรวดเร็วในสนามรบข้อมูล
  • ●
    Data-centric คือ วิธีที่หน่วยจัดการข้อมูลให้เป็นศูนย์กลางของกระบวนการทำงาน ตั้งแต่เก็บ, เข้าถึง, ทำให้มองเห็นได้ทั่ว (visibility), เชื่อมแหล่งข้อมูล, จัดโครงสร้าง/เมทาดาทา, ไปจนถึงให้กำลังพลทุกระดับปรับนิสัยใช้งานข้อมูลเป็นกิจวัตร
กองทัพต้องให้ข้อมูลไหล (data flows) จากระดับยุทธวิธีขึ้นสู่ระดับยุทธศาสตร์ และไม่สามารถบังคับให้เกิดกระบวนการที่ใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง หากกำลังพลไม่ยอมรับ” สะท้อนว่าความเป็น data-centric คือการฝังข้อมูลไว้ในวัฒนธรรมและกระบวนการทำงาน (workflow) ก่อน เพื่อจะเปิดทางให้การใช้ข้อมูลตัดสินใจ หรือ data-driven เกิดขึ้นจริงและยั่งยืน
ข้อเสนอแนวทางปฏิบัติ:
  • 1.
    ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ เช่น Envision, PowerBI, NIPRGPT ลดการทำสไลด์นำเสนอด้วยมือซ้ำซ้อน เปลี่ยนเป็นแดชบอร์ดข้อมูลที่มีการอัปเดตอัตโนมัติ
  • 2.
    ใช้แบบประเมินทักษะดิจิทัล ใน MyVector เพื่อหา “ช่องว่างทักษะ” และทำแผนพัฒนารายบุคคล
  • 3.
    จัดการฝึก ออกประกาศนียบัตรภายในหน่วย แข่งขันทำแดชบอร์ดหรือระบบอัตโนมัติ
  • 4.
    ทำให้เครื่องมือวิเคราะห์เป็นเรื่องปกติ ร่วมกับการดึงข้อมูลดิบจากระบบต่าง ๆ เพื่อลดการป้อนข้อมูลซ้ำ
และในระดับหน่วยงานขนาดใหญ่ ควรรวมศูนย์/เปิดสิทธิ์ข้อมูลให้ผู้ใช้งานระดับล่างเข้าถึงระบบวิเคราะห์ข้อมูลได้ และยกระดับหน่วยที่ปฏิบัติการด้านข้อมูลให้มีระดับที่สูงขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล มาตรการเหล่านี้ช่วยแปลงแนวคิด data-centric ให้เป็นกิจกรรมประจำวัน และสร้างรากฐานให้การตัดสินใจเป็น data-driven อย่างแท้จริง
โฆษณา