Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
sansati ศานสติ
•
ติดตาม
16 ส.ค. เวลา 15:19 • การศึกษา
เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์
คุณคงจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ให้ลูกชายบวชแล้วตัวเองจะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ เป็นประโยคที่มาจากความเชื่อที่ว่า การบวชเท่ากับเป็นการทดแทนพระคุณพ่อแม่ จึงมักนิยมให้ลูกชายบวชทดแทนคุณ เป็นประเพณีดีงามที่สืบทอดต่อกันมา แต่ยุคหลังมานี้ มีคนจำนวนมาก เข้าใจจุดประสงค์ผิดบิดเบือนไปว่า แค่ทำพิธีบวชลูกเป็นพระปั๊บ ตัวเองก็ได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ปุ๊บ อันนี้เข้าใจผิดมหันต์
เพราะหัวใจจริงๆของประโยคข้างต้นนั้น คือคนที่เป็นลูก เมื่อบวชแล้วต้องรักษาศีล ปฏิบัติตัวให้ดีในการครองสมณะเพศ จึงจะได้บุญ ส่วนพ่อแม่ได้บุญในส่วนที่ส่งเสริมให้ลูกบวช เป็นเจ้าภาพในการบวช ตักบาตรและการได้มาเยี่ยมลูก ทำให้ได้มีโอกาสฟังเทศน์ฟังธรรม เกิดสัมมาทิฏฐิได้อรรถได้ธรรมไปด้วย ที่บอกว่าได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ก็เพราะตรงนั้น ไม่ใช่อย่างที่หลายคนเข้าใจกันผิดๆ
เพราะถ้าลูกบวชด้วยความฝืนใจ แต่เพราะเข้าใจผิดว่าต้องบวช ถึงจะทดแทนคุณพ่อแม่ได้ สิ่งนี้อาจทำให้เขาไม่ตั้งใจปฏิบัติตัวให้ดีในสมณะเพศ ไม่รักษาศีล รักษาพระวินัย เพราะปกติแล้วศีล 5 ก็ยังไม่มีเลย แล้วจู่ๆจะให้มาถือศีล 227 ข้อด้วยอาการฝืนใจ แต่เหมือนถูกบังคับกลายๆ อย่างนี้แล้วการจะทำผิดศีล หรือไม่ปฏิบัติตามข้อวัตรจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
รู้หรือไม่ว่าทำไมเมื่อก่อนถึงไม่ได้ให้บวชกันง่ายๆ ต้องมาลองถือศีลนุ่งขาวห่มขาวกันดูก่อน จะเป็นเดือนเป็นปีก็ว่ากัน แถมบางคนยังให้บวชเณรก่อนเป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงจะได้บวชเป็นพระ ก็เพื่อที่จะทดสอบว่าผู้ที่จะบวชตั้งใจจริง และจะได้เป็นการปรับตัวในการที่จะมาถือศีลมากถึง 227 ข้อซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แม้คุณจะมีความตั้งใจอย่างเต็มที่ก็ตาม
เพราะหากทำผิดแล้ว ไม่ปลงอาบัติ ไม่พยายามตั้งใจแก้ไขและปรับปรุง เพื่อไม่ให้ทำผิดอีก จะบาปมาก ถึงจะเป็นความหวังดีของคนเป็นพ่อแม่ ที่คิดว่าจะให้ลูกขึ้นสวรรค์ด้วยการบวช และตัวเองก็จะได้ขึ้นด้วย เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ทว่ากลายเป็นผลักลูกให้ตกนรก ด้วยความเข้าใจเรื่องการตอบแทนบุญคุณที่ผิด
ในหนังจีนมีคำกล่าวที่ว่า ฮ่องเต้ทำผิดโทษเท่าสามัญชน แต่พระทำผิด(ศีล)โทษไม่เท่าปุถุชน อยู่ในผ้าเหลืองหนักกว่าหลายเท่านัก เพราะเปรียบเหมือนเจ้าพนักงานทำผิดในหน้าที่ โทษตามกฎหมายย่อมหนักกว่าคนทั่วไป เพราะเป็นผู้คุมกฎ ทำผิดกฎเสียเองทั้งๆที่รู้กฎอย่างดี เช่นกันโทษวิบากกรรมของพระที่ผิดศีล จึงหนักกว่าฆารวาสทำผิดศีลหลายเท่านัก เพราะหนึ่งถือว่าบวชเข้ามาต้องศึกษาศีลแลพระวินัย ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติต่างๆในการครองเพศบรรพชิต จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้
สองกรรมที่ทำนั้นยังเป็นกรรมใหญ่ เพราะทำกรรมกับพระพุทธศาสนาจึงตกนรกได้ง่ายๆ
เคยได้ยินครูบาอาจารย์พูดสั่งสอนว่า บวชมาแล้วไม่ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นโจรขโมยก้อนข้าวญาติโยม ตรงนี้แหละที่ทำให้ไปเกิดเป็นเปรตได้แล้ว ไม่ต้องอาบัติหรือผิดอะไรหนักหนามากมายเลย ลอง search ดูก็ได้ สาเหตุที่ทำให้ไปเกิดเป็นเปรต นี่แหละคือสิ่งที่ท่านได้พูดเตือนสติไว้
เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดไปถึงการทำอาบัติ ผิดศีลอย่างอื่นเลย รวมทั้งทำตัวเป็นพวกอลัชชี เดียรถีย์ (ในที่นี้หมายถึง พวกที่ทำตัวเหมือนนักบวชลัทธิอื่น สอนบิดเบือนจากที่พระพุทธเจ้าสอน) สั่งสอน ส่งเสริมมิจฉาทิฏฐิให้ฆารวาส พวกพุทธพาณิชย์ ฯลฯ พวกนี้นรกล้วนๆไม่มีอะไรปน เพราะเล็กๆไม่ใหญ่ๆทำ ทำกรรมกับพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา กรรมที่ต้องรับย่อมหนักหน่วงเป็นธรรมดา
ฉะนั้นการที่ให้ลูกชายบวชโดยฝืนใจเขานั้น จึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง เราอยากจะแนะนำจริงๆว่า ถ้าไม่ตั้งใจจะปฏิบัติตามพระวินัย ข้อวัตรต่างๆ และรักษาศีล 227 ข้อ อย่าบวชเลย เป็นฆราวาสถือศีล 5 ชั่วชีวิตซะยังจะดีกว่า หากไม่ได้เป็นความตั้งใจจริงของเจ้าตัว อย่าบังคับกดดันให้บวช หลวงตามหาบัวท่านเคยกล่าวเตือนไว้ “บวชมาไม่ได้อรรถได้ธรรม สร้างแต่บาปแต่กรรม”
หรือพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต กล่าวให้โอวาทว่า “บวชให้พ่อแม่ขึ้นสวรรค์ ให้พ่อแม่เกาะชายผ้าเหลือง จะไปขึ้นสวรรค์ได้ยังไง เมื่อคนบวชยังไม่ขึ้นเลย แล้วคนเกาะชายผ้าเหลืองจะขึ้นไปได้ยังไง” คนเป็นพ่อเป็นแม่กรุณาอย่าอ้างบุญคุณให้ลูกตอบแทน แล้วกดดันให้ลูกบวช หรืออีกแบบนึงที่เจอกันบ่อยๆก็คือ มีแต่ลูกสาวแล้วนึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ตัวเองไม่มีลูกชายบวชให้ ลูกผู้หญิงอยากแสดงความกตัญญูก็เลยต้องมาบวชเป็นชี เหล่านี้ล้วนเป็นการเข้าใจผิด เพราะการตอบแทนพระคุณที่เท่าเทียมจริงๆนั้น ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจกัน
หากจะให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องการบวช เรื่องที่ควรรรู้อย่างแรกคือ อานิสงส์ที่ได้แก่ตัวผู้บวชเอง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีศรัทธาที่บริสุทธิ์ เข้าใจอย่างถูกต้องว่าบวชมาเพื่ออะไร ไม่ใช่แค่บวชตามประเพณี บวชแก้บน หรือเหตุผลอื่นๆ นอกเหนือจากการสืบทอดพระพุทธศาสนา
ซึ่งได้แก่ การได้สั่งสมบุญบารมีอย่างยิ่งใหญ่ ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม และปฏิบัติตนให้มีศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าและอริยะเจ้าทั้งหลาย ในการสืบทอดพระพุทธศาสนา ยังความปลื้มปิติใจให้แก่บิดามารดา ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบิดามารดาในทางหนึ่งได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีผลเป็นอานิสงส์ในภพหน้า คือ ทำให้มีโอกาสได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี และหากยังเวียนว่ายตายเกิด ก็มีโอกาสพบพระพุทธศาสนา เป็นปัจจัยส่งเสริม ให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในอนาคตด้วย
มากล่าวถึงอานิสงส์ของพ่อแม่ ที่อนุญาตให้ลูกบวชจะได้ก็คือ เป็นผู้มีส่วนร่วมในการอนุโมทนาบุญของบุตร ช่วยลดกรรมเก่าเพิ่มบุญใหม่ และหากพ่อแม่ระลึกถึงบุญนี้ แล้วมีความปลื้มใจ อาจจะทำให้ได้ไปเกิดในสุคติภูมิ มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา เพราะได้สร้างคุณูปการแก่ศาสนา เนื่องจากอนุญาตให้ลูกได้บวชเพื่อสืบทอด คำอุปมาจากพระไตรปิฎก “ผู้ใดให้บุตรบวชในพระศาสนา ผู้นั้นชื่อว่าให้มหาทาน เพราะบุตรนั้นจักได้สร้างบารมีและทำความดีมากมาย” (อรรถกถา ขุททกนิกาย)
เมื่อตัดสินใจมีความเห็นพ้องต้องกันทั้งพ่อแม่และลูก ที่จะให้ลูกบวชแล้ว แต่การจัดงานบวชในปัจจุบัน มักอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจที่ผิด แต่ทำตามๆกันจนเป็นเรื่องปกตินั้น ไม่ได้รู้เลยว่าได้บาปมากกว่าได้บุญ เพราะทำสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อกุศลจำนวนมาก ได้แก่ จัดงานเลี้ยงมหรสพ แจกจ่ายสุราของมึนเมา อีกทั้งหากมีการฆ่าสัตว์ไม่ว่ามากหรือน้อย เพื่อมาทำเป็นอาหารเลี้ยงคน
สิ่งเหล่านี้ก่อบาปอกุศลกับทั้งตนเองและผู้อื่น เป็นการส่งเสริมให้คนผิดศีลผิดธรรม ทั้งศีลข้อ 1 และศีลข้อ 5 การจัดให้มีมหรสพก็มีวิบากที่ขวางนิพพาน ฉะนั้นทั้งเจ้าภาพและคนที่มาในงาน ยังไม่ทันจะได้บุญเลย ก็เอาบาปกลับบ้านไปเป็นกระบุงแล้ว ถ้าเจ้าภาพห่วงแต่เรื่องหน้าตา การจัดงานให้สมฐานะ และผู้มาในงานสนใจแต่เรื่องดื่มกิน หาความสำราญบันเทิง ก็ชัดเจนว่าไม่ได้บุญได้แต่บาป
หากมีผู้ชาญฉลาดก็คงพอจะรู้ได้บ้างว่า ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรในงานบวช ส่วนของเจ้าภาพคือ จัดงานให้เรียบง่ายที่สุด รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิจริงๆ นอกจากนี้จะได้บุญเพิ่มในส่วนที่ชักชวนให้คนมาร่วมบุญกุศล ส่วนของผู้มางานคือ ให้มีจิตร่วมอนุโมทนากับการส่งเสริมผู้คน ให้สืบทอดพระพุทธศาสนา นี่ถึงจะเกิดกุศลและได้บุญกันจริงๆ
นอกจากนั้นการแห่นาคที่ส่งเสียงดังเข้าไปในวัด ซึ่งในวัดที่แท้จริงแล้วไม่ควรมีเสียงดัง ควรเป็นที่สัปปายะ ไม่ได้ห้ามการแห่นาค แต่ควรหยุดส่งเสียงดังก่อนถึงประตูวัดแล้ว ไม่ใช่เข้าไปจนถึงในวัด แล้วไปส่งเสียงดังกันต่อ แบบที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน เรื่องแบบนี้ครูบาอาจารย์ก็เคยเตือนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่รู้กันน้อยมาก เพราะผู้คนนิยมในเรื่องบันเทิงเริงรมย์มากกว่าจะเอาบุญกุศลของจริง
ดังนั้นที่เห็นทำๆกันในการสืบต่อประเพณีบวชนี้ จึงเป็นทางแห่งการลงอบายมากกว่าการสร้างบุญกุศล รายละเอียดของการทำบาปในงานประเพณียังมีอีกเยอะมาก แต่จะกล่าวไว้เพียงเท่านี้ พอให้เห็นภาพหากสนใจควรศึกษาเพิ่มเติม จัดงานบุญอะไรจะได้ไม่เป็นการสั่งสมบาปมากกว่าบุญ
อนึ่ง ว่าด้วยการเลี้ยงดูบุตร ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า ให้เลี้ยงลูกเอาบุญ ไม่ใช่เลี้ยงลูกเอาบุญคุณ ให้เลี้ยงด้วยเมตตา เป็นการสงเคราะห์บุตรหลานโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ใช่การติดหนี้แล้วทวงบุญคุณ ไม่งั้นลูกจะเสียคนเอาดีไม่ได้ คนเป็นลูกก็ต้องรู้จักบุญคุณบุพการี
ไม่ใช่แต่พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ผู้ที่เลี้ยงดูแม้ว่าไม่ใช่สายเลือดเกี่ยวดอง หากมีบุญคุณที่เลี้ยงดูล้วนนับเป็นผู้มีพระคุณ ไม่ควรอกตัญญูอย่างยิ่ง แม้บุพการีทำตัวไม่ดี ลูกไม่ควรด่าว่า เป็นบาป เราทำดี ปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดี ชี้ทางถูกให้ท่าน นอกจากนี้การตามใจผู้มีพระคุณทุกอย่าง ไม่ใช่การแสดงความกตัญญูที่ถูกต้อง ถ้าจะให้ดีบางครั้งยังต้องขัดใจด้วย
ดั่งเช่นสมเด็จญาณสังวร ท่านทรงกล่าวว่า “การเอาใจไม่ใช่กตัญญูกตเวที ผู้มีพระคุณทำไม่ดีไม่ชอบ จะแสดงความกตัญญูกตเวที ต้องช่วยวิธีใดก็ตามให้เลิกทำเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ถูกใจอย่างเดียว จะขัดใจบ้างหรือแม้จะขัดใจอย่างยิ่ง ก็ควรทำ หากด้วยการทำเช่นนั้น จะสามารถช่วยให้ผู้มีพระคุณหยุดทำไม่ดี หันมาทำดีได้ ไม่มีการตอบแทนใดจะงดงามเท่า”
ถ้างั้นต้องทำยังไง จึงจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้อย่างถูกต้อง? สิ่งที่เป็นการตอบแทนสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า คู่ควรแก่คุณบุพการีผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง คือ การชักชวนให้ผู้มีพระคุณ มีศรัธาที่ถูกต้อง หาโอกาสเข้าวัด ทำบุญตักบาตร รักษาศีล ภาวนา เป็นเหตุให้มีสัมมาทิฏฐิเจริญในธรรม
เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่เป็นการตอบแทนเพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียว แต่เป็นบุญกุศลต่อยอดได้ ตามติดตัวท่านไปทุกภพทุกชาติ นี้จึงเป็นการตอบแทนที่เท่าเทียมกับที่ท่านให้กำเนิดเลี้ยงดูมา
พระพุทธองค์ตรัสถึงวิธีตอบแทนพระคุณมารดาบิดาให้หมดสิ้น ไว้ในพระไตรปิฎกว่า
“ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธา ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศีลให้มีศีล ยังมารดาบิดาผู้ไม่จาคะให้มีจาคะ ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีปัญญาให้มีปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยการทำอย่างนี้ ย่อมชื่อว่า บุตรได้กระทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา”
อ้างอิงจาก
วิธีตอบแทนคุณบิดามารดา
https://www.lcbp.co.th/บทความสาระทั่วไป/วิธีตอบแทนคุณบิดามารดา/
ขอขอบคุณภาพจาก
https://www.pinterest.com/pin/649996158753238995/
พุทธศาสนา
บทความ
พัฒนาตนเอง
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย