23 ส.ค. เวลา 08:29 • การศึกษา

Extension of me

การทำความเข้าใจหลักของพระพุทธศาสนา ในเรื่องการ “ไม่มีตัวตน” นั้นเป็นไปได้ยากในหมู่คนทั่วไป เพราะว่าตั้งแต่เกิดเราก็รู้สึกถึงการมีตัวมีตนแล้ว และพอเติบโตขึ้นมาโลกก็ยังสอนให้เรารักษาอัตตาตัวตน พร้อมทั้งยังสนับสนุนให้เราเพิ่มอัตตาตัวตนด้วย ทุกคนอยากเป็นคนสำคัญ อยากเป็น vip กันทั้งนั้น
เพราะรู้สึกว่าจะได้รับสิทธิพิเศษ มีความได้เปรียบบางอย่างเหนือกว่าคนอื่นในชีวิต จะได้เข้าถึงสิ่งที่เราต้องการได้ง่ายดายขึ้น จะได้มีความสุขมากขึ้น แต่หารู้ไม่ว่า ที่เข้าใจว่าเป็นการแสวงหาความสุขใส่ตัว จริงๆแล้วกลับกัน สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความทุกข์
พระพุทธเจ้าสอนว่าตัวเรานั้นไม่มีที่ไหน ที่เรารู้สึกว่ามีตัวเราเป็นเพราะความหลงเข้าใจผิด ไปยึดเอาขันทั้ง 5 ว่าเป็นเรา เกิดตัวกูขึ้นมา เมื่อมีตัวกู ก็มีของกู เมื่อมีเราก็ขยายไปเป็นร่างกายของเรา พ่อแม่ของเรา พี่น้องของเรา ญาติของเรา เพื่อนของเรา คู่ของเรา ลูกหลานของเรา บ้านของเรา รถของเรา ทรัพย์สินข้าวของเงินทองของเรา ประเทศของเรา โลกของเรา จักรวาลของเรา
"เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น" เมื่อยึดถือว่ามีเรา โลกและจักรวาลจึงถือกำเนิดขึ้น เกิดภพ เกิดชาติ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท วัฏฏะที่เป็นเครื่องผูกรั้งสัตว์ทั้งหลายไว้จึงเกิดขึ้นมา และความรู้สึกว่าตัวเรามีอยู่จริงนี้เอง ทำให้เกิดความทุกข์
เพราะเมื่อมีเราก็จะมีสิ่งที่รัก คนที่รัก จึงต้องประสบกับความทุกข์ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ประสบกับสิ่งที่ไม่ได้รัก ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้หนีไม่พ้น ฉะนั้นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงเน้นที่การดับเหตุของทุกข์ ในที่นี้คือการละความเห็นผิดว่ามีตัวตนนั่นเอง
นอกจากนี้การยึดจนเกิดตัวเรา ยังขยายไปในด้านของนามธรรมด้วย ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความอ่าน ความเชื่อ ความเห็น รสนิยม ฯลฯ ก็ยึดโยงว่าเป็นของเรา คุณยึดอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น ยิ่งยึดมากก็ยิ่งทุกข์มาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการมีอัตตาตัวตนที่ใหญ่และยึดถือมันอย่างเหนียวแน่น จึงนำมาซึ่งความทุกข์
ถ้ามีอะไรมากระทบอัตตาของคุณแม้จะน้อยนิด ก็สามารถทำให้คุณมีความทุกข์ได้อย่างมากมายมหาศาล เพราะเป้ามันใหญ่ การหลงยึดอัตตาในรูปแบบของนามธรรมนี้ มักแฝงมากับสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี เช่น การที่คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน การที่มีคนชมว่าเก่งหรือฉลาด การได้รับรางวัลมาด้วยความสามารถส่วนตัวล้วนๆ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้เป็นประตูไปสู่การสร้างอัตตาตัวตนให้ใหญ่ขึ้น เสริมความยึดถือให้เหนียวแน่นขึ้น คำที่ทำให้มองเห็นภาพชัดคือ ได้ดีจนเหลิงลืมเนื้อลืมตัว ตอนแรกเป็นอึ่งอ่างตัวพองๆ ต่อไปจะเป็นคางคกเพราะจะขึ้นวอ ลืมเนื้อลืมตัว ตัวกูใหญ่มาก เป้าใหญ่ย่อมเจ็บตัวง่าย ขนาดไม่มีใครมาทำอะไรให้ ก็ปรุงให้ทุกข์ใจได้แล้ว ทำไมเขาไม่ treat ฉันแบบ VIP ฉันสำคัญนะ รู้ไหมว่ากูเป็นใคร?
เรื่องของนามธรรมนั้น มองเห็นได้ยากมากกว่ารูปธรรมว่าเราไปหลงยึด จึงต้องรู้จักสังเกตสังกาความรู้สึกของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นคุณจะตกเป็นทาสของอัตตา และนำความทุกข์มาให้ในที่สุด ยกตัวอย่างเช่น คุณมีอุดมการณ์ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และเชื่อมั่นอย่างเหนียวแน่นต่ออุดมการณ์นั้น คุณจะยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์นั้น
แต่ถ้าให้มันเป็น "แค่" อุดมการณ์ลอยๆ เป็นอากาศธาตุลอยๆ อยู่อย่างนั้น ถ้าไม่ไปยึดว่าเป็นตัวกูของกู มันก็ไม่ทุกข์ พอไปยึดว่าเป็นอุดมการณ์ของกู หนักๆเข้าก็เป็นตัวกู ใครมาแตะมาว่าไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ หนอย...มันมาว่ากู มันเจ็บ จึงต้องตอบโต้เอาคืน สร้างวิบาก ผูกเวรความเกลียดชังและความทุกข์ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น ความจริงก็คือ ตัวกูไม่มีที่ไหน มองให้มันเป็น "ก็แค่..." อุดมการณ์, ความคิด, ความชอบ, รสนิยม ฯลฯ ไม่มีเราอยู่ในนั้นบ้างก็ดีนะ
การหลงอัตตาที่เกิดขึ้นบ่อยอีกอย่างหนึ่งก็คือ การหลงอัตตาจากการสวมหัวโขน พวกมีคำนำหน้าทั้งหลาย เช่น ดร. ผศ. รอ. พ.ต.ท. นพ. มล. ผจก. ฯลฯ ก็แค่เอาป้ายไปแปะไว้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ต้องไปยึด ถอดหัวโขนก็ว่างปราศจากตัวตน เป็นแค่สมมุติของโลก ถ้าหลงโง่ยึดเอา มันก็กลายเป็นเรากลายเป็น me ตัวตนทันที
ความทุกข์จึงตามมาอย่างแน่นอน เพราะเราไม่รู้จักถอดหัวโขน เมื่อไหร่ประสบกับการตอบสนองที่ไม่เหมาะสมกับหัวโขนของเรา เราก็จะเป็นทุกข์เดือดร้อนทันที ทั้งๆที่ในชีวิตเราจำเป็นต้องสวมหัวโขนมากมาย แต่ถ้าไม่เคยถอดมันออกเลยสักอัน จะทุกข์หนักมากแค่ไหน ต้องให้เวลาตัวเองได้หยุดพักหายใจบ้าง เพื่อการนั้นเราจำเป็นต้องรู้ว่าขณะนี้เราถืออะไรอยู่
ในเมื่อยังไม่สามารถถอดทั้งหมดออกได้ แต่สามารถถอดบางอันที่ไม่ได้ใช้เพื่อแบ่งเบาภาระได้ อย่างน้อยก็ทุกข์น้อยลง
เรื่องความเชื่อก็เช่นกัน การหลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำ แม้กระทั่งทะเลาะกับคนอื่น เพื่อปกป้องความเชื่อของตัวเอง มันเป็นเรื่อง ตัวกู-ของกูทั้งนั้น หลงว่า กูเก่ง กูดี กูวิเศษ กูรู้มาก เวทีแห่งการถกเถียง จึงเป็นเวทีประกวดนกเขาขันคู กูรู้..กูรู้... กูก็รู้...กูก็รู้...กันอยู่นั่น
ครูบาอาจารย์จึงบอกว่า เบื้องหลังการทะเลาะเบาะแว้งทั้งหลายนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของอัตตาตัวตนกันทั้งนั้น อยากปกป้องอัตตาของตัวเองว่าเรารู้ เราเชื่อถูก ฝ่ายอื่นผิด เป็นเรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องของธรรม แม้จะถกกันด้วยเรื่องของธรรมะก็ตาม หากชี้แจงที่ถูกต้องของตัวเองแล้วยังไม่ได้รับการยอมรับ ก็ให้อุเบกขาเสียไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงกัน เมื่อปฏิบัติถูกต้องจะรู้เองว่าอะไรถูกอะไรผิด
เราในฐานะนักปฎิบัติธรรม ไม่ได้มีหน้าที่ไปจัดแจงให้คนอื่นเห็นด้วยกับเรา หน้าที่หลักของเรา คือ ดูกิเลสตัวเอง ขัดเกลาตัวเอง ส่วนหน้าที่ต่อผู้อื่นคือ บอก สอน ชี้แจง แนะนำในส่วนที่เรารู้อย่างถูกต้องแล้ว ให้แก่ผู้อื่นหากเขาสนใจ ครูบาอาจารย์จึงบอกว่า ถ้าเราไปโกรธตอบเขาจะชั่วยิ่งกว่าคนที่เขาโกรธเราอีก เขาไม่รู้กิเลสตัวเองน่ะถูกแล้ว นั่นมันธรรมชาติของเขา แต่เราไม่รู้กิเลสตัวเองนี่สิ สอนเขาแต่ทำไม่ได้ ก็ใช้ไม่ได้ อย่าได้เที่ยวไปบอกใครๆนะว่าเป็นนักปฏิบัติ กิเลสตัวเองมองไม่เห็น อายเขา
โดยสรุปแล้ว ในฐานะที่เรายังเป็นคนธรรมดาๆอยู่ในโลก เราควรรู้เท่าทันว่าความยึดถือในอัตตาตัวตน ว่านำมาซึ่งความทุกข์ และถ้าไม่อยากทุกข์ หรือทุกข์ให้น้อยลง ต้องฝึกวางใจให้ถูก ระมัดระวังความเหลิงและหลงตัวเองให้มาก แล้วจะเป็นผู้ห่างไกลจากความทุกข์ได้ในที่สุด
มีตัวกูอยู่ย่อมมีกรรมของกู เมื่อไหร่ไม่มีตัวกูก็หมดกรรมของกู
ศานสติ
ขอขอบคุณภาพจาก
โฆษณา