31 ส.ค. เวลา 12:45 • การศึกษา

มรณานุสติ

ขึ้นชื่อว่า “ความตาE” ใครๆก็กลัว ไม่อยากคิดถึง มีแม้กระทั่งคนที่รังเกียจ ถึงขนาดที่บอกว่า อย่ามาพูดเรื่องตาEต่อหน้าฉัน เรื่องอัปมงคล มาพูดเรื่องตาEๆนี่ เท่ากับมาแช่งกัน ไม่อยากรับรู้รับฟัง ก็เข้าใจนะว่ากลัวตาEกันทุกคน ไม่อยากจะคิดถึง เพราะทำให้เป็นทุกข์ ไม่อยากจะดีลกับความตาE จนกว่าจะถึงเวลาจริงๆ
แต่การทำตัวเหมือนนกกระจอกเทศ เอาหัวมุดทรายไม่ได้ช่วยอะไร ความตาEนะไม่ใช่ปอบหยิบ แค่เอาถังปิดก็มองไม่เห็น อย่างไรก็หนีความตาEไม่พ้น และการปฏิเสธที่จะรับรู้ถึงความตาE ทำให้ตัดโอกาสในการเตรียมตัวเตรียมใจ และทำในสิ่งที่ควรทำ แก้ไขในสิ่งผิด ซึ่งทำได้เฉพาะตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น
คุณรู้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับความตาEไว้ว่าอย่างไร ท่านบอกว่าให้นึกถึงความตาEอยู่เนืองๆ ในทางพุทธถือว่าเป็นการเจริญ “มรณานุสติ” จะทำให้เราไม่ประมาทในการใช้ชีวิต การคิดถึงความตาEด้วยสติและปัญญา ทำให้คุณเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ทำให้รู้จักเห็นความสำคัญของคนที่มี สิ่งที่อยู่ตรงหน้า อะไรที่สำคัญอย่างแท้จริง และควรทำก่อนที่ความตาEจะมาถึง เพราะเมื่อหมดลมหายใจแล้ว จะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีก
คุณอาจจะเคยได้ยินบ่อยๆว่า มีคนตาEก่อนวัยอันควร แต่ทำไมเราไม่เคยได้ยินว่า มีคนถึงวัยอันสมควรตาEเลย นั่นก็เพราะว่าไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครอยากตาE ลองไปบอกใครว่าเธอถึงวัยที่สมควรตาEแล้วสิ ไม่โดนทุบหัวมาก็แปลกแล้ว แต่คนเราเกิดมาแล้วไม่ตาEนั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การเกิดเป็นทุกข์เพราะเกิดมาแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาEนั้นไม่มี ไม่มีใครหนีความทุกข์พ้น
ความเกิดจึงเป็นจุดกำเนิด จุดเริ่มต้นของความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้หนีไม่พ้นในชีวิตของเราทุกคน คงเคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านพูดว่า “อย่าไปฉลองเลยวันเกิด ฉลองวันไม่เกิดจะดีกว่า” เพราะโลกเห็นผิดว่าการเกิดเป็นสิ่งที่ดีจึงฉลองกัน แต่ไม่เข้าใจความจริงว่า เมื่อไม่มีใครเกิด ก็ไม่มีใครแก่ ใครเจ็บ ใครตาE ไม่ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รัก การไม่เกิดจึงเป็นสิ่งที่ควรจะฉลองมากกว่า เพราะไม่ต้องมาเจอกับความทุกข์ แต่จะหยุดการเกิดได้ก็ต้องพ้นทุกข์ เป็นพระอรหันต์เท่านั้น
เรื่องความตาEเป็นความธรรมดาที่เกิดกับทุกผู้ทุกคน ไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างเท่าเทียมยุติธรรม เวลาที่เขามาถึงต่อให้ติดสินบนต่อรอง ขอร้องอ้อนวอนอย่างไร ก็ไม่มีผลกับความตาEเลย ถึงแม้จะอยาก แต่เรากำหนดหรือบังคับบัญชาอะไรๆ เกี่ยวกับความตาEไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะของตัวเราเองหรือของคนที่เรารัก
เพราะความตาEมาเมื่อไหร่ก็ได้ อายุเท่าไหร่ก็ตาEได้ มีคำกล่าวว่า “โลงศพเอาไว้ใส่คนตาEไม่ใช่ใส่คนแก่” ก็เพราะเหตุนี้ เรื่องตาEนั้นอยากจะออกก็ออก ไม่เคย LINE มาบอกล่วงหน้า ฉะนั้นบางคนจึงไม่ได้เห็นแม้แต่ผมหงอกเส้นแรกก็ตาEก่อนแล้ว ยกเว้นพวกผมหงอกก่อนวัย
พอจะยอมรับความตาEได้บ้างแล้วว่าตาEแน่ๆ แต่ก็ยังไม่วายขอตาEแบบศพสวย เละๆ หัวหลุด แขนขาด ขาขาด ไส้ไหลฯลฯ สยดสยองไม่เอา อยากตาEแบบฟินาเล่ ห้อมล้อมด้วยคนที่รัก ให้ตาEแบบโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้ใครเห็นเลยจนศพขึ้นอืดก็ไม่เอา พวกตาEหมู่แบบต้องพิสูจน์ DNA นี่ก็ไม่เอาเหมือนกัน อยากตาEสบายๆ หลับแล้วไปเลยไม่ต้องทรมาน แต่ก็สั่งไม่ได้ เพราะไม่ใช่อาหารตามสั่งที่จะเอาอันนั้นไม่เอาอันนี้ อย่าใส่มานะ! เลือกไม่ได้สักอย่างเดียว
ความทุกข์อีกอย่างที่ทำให้ไม่อยากตาE คือ การพรากจากสิ่งที่รัก ดั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า การพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ยิ่งรักมากยิ่งทุกข์มาก เพราะไม่เข้าใจว่า สัตว์โลกล้วนแล้วแต่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาE ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นธรรมดา และที่เราไม่เห็นว่าความตาEเป็นธรรมดา ก็เพราะไปยึดว่า มันเป็นความตาEของเรา
ทั้งที่คนอื่นเขาก็ตาEกันทั้งโลก ตาEกันทุกวัน ถ้าไปดูสถิติยิ่งจะเห็นชัดว่า ในนาทีเดียวตาEกันตั้งหลายคน แต่เพราะมันเป็นความตาEของคนอื่น จึงรู้สึกเฉยๆเห็นเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่เราหรือคนที่เรารักตาE หากรู้ว่ามีคนตาE อย่างมากก็อาจจะรู้สึกสงสาร และหากเป็นคนที่รู้จักหรือใกล้ตัวหน่อยก็อาจจะเสียใจ
แต่ก็ยังไม่เท่ากับการที่เราเองเป็นผู้ที่จะต้องถึงที่ ต้องเป็นฝ่ายนอนตาEอยู่ในโลง เมื่อนั้นแหละโลกจะถล่ม ดินจะทลาย ธรณีต้องกันแสง เป็น the end of the world ของมวลมนุษยชาติ เพราะมันคือความตาEของเรา เพราะเราโคตรสำคัญ ในใจลึกๆมันกรีดร้องอยากให้คนอื่นเห็นคุณค่าของเรา เห็นว่าความทุกข์ของเรานั้นมันยิ่งใหญ่ พอเขาไม่เห็นอย่างนั้น เราก็จะรู้สึกว่าทำไมโลกมันถึงได้แย่ขนาดนี้
แต่หากมองในมุมที่ว่ามีคนตาEทุกวัน และเราเป็นเพียงแค่หนึ่งในสถิติของคนที่ตาEในวันนั้น คุณจะเห็นได้ไม่ยากว่า เราเป็นส่วนหนึ่งในความธรรมดาของโลกใบนี้อย่างยิ่ง วันหนึ่งเราอยู่ฝั่งสถิติของคนที่ยังมีชีวิต อีกวันหนึ่งเราก็ย้ายไปอยู่ในสถิติข้างที่เป็นคนตาE มันก็เท่านั้นเอง ด้วยความเห็นผิดยึดถือในตัวตน เพราะตัวกู ของกู และนั่นคือบ่อเกิดแห่งความทุกข์
เพราะแท้จริงแล้วความตาEเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมดาที่สุด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อื่น ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนเกิดมาแล้วตาEทั้งสิ้น แต่เพราะเรายึดถือในตัวตน ความตาEของเราจึงไม่ธรรมดา ถ้าเห็นว่าความตาEไม่ใช่ความตาEของเรา เป็นความดับไปของธาตุขันต์ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ร่างกายเป็นเพียงแค่สิ่งที่เรายืมธรรมชาติมาใช้เพียงชั่วคราว ถึงเวลาก็ต้องปล่อยคืนกลับสู่ธรรมชาติไป สิ่งที่ตาEคือร่างกายไม่ใช่เรา เมื่อเห็นความว่างจากการยึดถือร่างกาย น้ำหนักของความทุกข์ใจจะเป็นคนละเรื่อง
เพราะเราสำคัญผิดว่าร่างกายเป็นเรา เมื่อตาEจึงเป็นเราตาE หากไม่อยากทุกข์มาก ให้หัดเป็นพระอนาคามีตั้งแต่ตอนนี้ คือเห็นร่างกายตาEไม่ใช่เราตาE เห็นความตาEของร่างกายเป็นเหมือนเรื่องของคนอื่น เราไม่ใช่แม้แต่เป็นเจ้าของร่างกายนั้น แล้วความทุกข์จะเบาบางลง
หากปฏิบัติธรรมจนสามารถแยกธาตุแยกขันต์ได้ คุณจะประจักษ์ถึงความจริงนี้ได้ด้วยตัวเอง และถ้าเห็นบ่อยๆมากพอ จนจิตคลายความยึดถือ ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จะสามารถบรรเทาความทุกข์ จากการยึดถือร่างกายได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฝืนคิดนึกจินตนาการเอา แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ควรเริ่มจากการพิจารณาความตาEแบบมรณานุสตินี่แหละ จุดเริ่มต้นแห่งการคลายความยึดถือ ช่วยบรรเทาความทุกข์ จากสิ่งที่คุณจะต้องเจออย่างแน่นอนในชีวิตนี้
จะไม่ดีกว่าหรือที่จะอยู่อย่างมีสติ และตาEโดยที่ทุกข์น้อยที่สุด เพราะนี่แหละคือทางที่ปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่การแกล้งลืมว่าวันหนึ่งต้องตาE เพราะอยากจะหนีความทุกข์อย่างที่ส่วนใหญ่ทำกัน แล้วต้องไปสู่ทุคติภูมิ เนื่องจากจิตสุดท้ายเศร้าหมอง เพราะความตาEนั้นเที่ยงแท้ธรรมดา Death is absolutely not maybe!
Dharma is something that hard to hear not easy to the ears!
sansati
จงอย่าสำคัญเลยว่ามีเรา เพราะมันคือความเขลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด ตัวเราไม่มีที่ไหน
ศานสติ
ขอขอบคุณภาพจาก
โฆษณา