7 ต.ค. เวลา 16:49 • การศึกษา

อย่าเดี๋ยวก่อน ต้องเดี๋ยวนี้

คุณคิดว่าในการเรียนรู้ธรรมะให้เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง ต้องเรียนด้วยวิธีไหนจึงจะได้ผลดี แล้วต้องใช้ความฉลาดทางสมองมากขนาดไหน (IQ) ในการที่จะเรียนรู้ธรรมะให้เข้าถึงอย่างลึกซึ้ง สำหรับบางคนเชื่อว่าต้องเรียนด้วยสมอง แต่อีกคนอาจจะตอบว่าต้องเรียนด้วยหัวใจ แล้วอะไรดีกว่ากันหรือว่าต้องใช้ทั้งสองอย่าง เอาเป็นว่าลองมาฟังคำอธิบายตามความเข้าใจของผู้เขียนดูแล้วกัน จากประสบการณ์มันก็ต้องใช้ทั้ง 2 อย่างนั่นแหละค่ะ
ในการเรียนธรรมะ มันก็มีความจำเป็นที่ต้องรู้ “ปริยัติ” คือข้ออรรถข้อธรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหมือนแผนที่ ให้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนและเดินถูกทางไหม ออกนอกลู่นอกทางหรือเปล่า? แล้วก็ต้องมีการลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงความเป็นจริงตามที่เรียนมา การใช้สมองขบคิด วิเคราะห์ ทำความเข้าใจในการศึกษาธรรมะ ถือเป็นการเข้าถึงธรรมแบบที่เรียกว่า จินตมยปัญญา เป็นการใช้ความรู้ในระดับการนึกคิด พิจารณาเพื่อที่จะเข้าใจ เข้าถึงธรรมะ
แต่ยังมีปัญญาในระดับขั้น ภาวนามยปัญญา ซึ่งเข้าถึงได้จากการปฏิบัติเท่านั้น เพราะการรู้เห็นความจริงโดยแค่คิดนึกพิจารณา ยังอยู่ในข่ายของการถูกกิเลสครอบงำ ปรุงแต่งให้แปลความหมายผิดไปจากความจริงได้ ต้องอาศัยการปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องตรงทาง จึงจะทำให้จิตของเราเข้าไปอยู่ในสภาวะที่เป็นกลาง มีจิตเป็นอุเบกขาอย่างยิ่ง เป็นสติมหาสติที่ปราศจากกิเลสเข้าแทรกแซง เมื่อนำไปดู ไปรู้ ไปเห็นความจริงที่เกิดขึ้นในกายในใจของเรา ก็จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง มิได้ถูกบิดเบือนโดยกิเลสที่เข้ามาครอบงำปรุงแต่งจิต
การปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมจึงไม่ใช่ทำแบบงูๆปลาๆ คว้าลม คว้าแดด มันก็ต้องเดินตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คือ การศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนที่เรียกว่า “ปริยัติ” นั่นเอง มองแบบนี้อาจจะเหมือนงูกินหาง แต่มันก็ต้องอาศัยทั้งสองอย่างควบคู่กันไปจริงๆ ไม่งั้นก็จะเหมือนที่ท่านพุทธทาสว่า “คนบ้าปริยัติก็บ้าปริยัติ คนบ้าปฏิบัติก็บ้าปฏิบัติ”
จากตรงจุดนี้อยากจะพูดถึงการเรียนธรรมะเนื่องด้วยตัว “สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้” ในขันธ์ 5 ว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ และเข้าถึงธรรมะอย่างลึกซึ้งยังไงบ้าง ในที่นี้จะเปรียบเทียบให้มองภาพได้ชัดเจนขึ้น ด้วยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่ทุกๆคนพอที่จะรู้จักคุ้นเคยบ้าง
สัญญามี 2 ส่วน คือส่วนที่อยู่ในสมอง และส่วนที่อยู่ในจิต ส่วนที่อยู่ในสมองนั้นเปรียบได้กับความจำแบบ RAM ส่วนที่อยู่ในจิตหรือจะเรียกว่าเป็นใจก็ได้ เปรียบเทียบได้กับความจำแบบ ROM หากใครพอมีพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์มาบ้าง คงเข้าใจว่าผู้เขียนหมายถึงอะไร แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้ จะอธิบายคร่าวๆให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ แต่ไม่ตรงกับการใช้งานทาง computer ซะทีเดียวดังนี้
ความจำแบบ RAM คือความจำในขณะที่ใช้งานอยู่ อย่างสมมุติว่าขณะที่คุณพิมพ์งานอยู่ ตัวอักษรและตัวหนังสือที่อยู่บนหน้าจอปรากฎค้างไว้ ไม่หายไปทันทีที่พิมพ์เสร็จ เพราะมีความจำแบบ RAM ช่วยจำไว้ไม่ให้หายไป แต่ถ้ามีเหตุการณ์ไฟกระตุก ไฟตก ไฟช๊อต หรือมีใครสะดุด เตะปลั๊กคอมพิวเตอร์คุณหลุดขึ้นมา สิ่งที่คุณทำไว้บนหน้าจอนั้นจะหายไปหมด เพราะไม่ได้เซฟไว้ ซึ่งตรงส่วนนี้ถ้าคุณเซฟเก็บไว้ในเครื่อง จะลงไปเก็บไว้ในส่วนความจำแบบ ROM คือ ต้องเซฟงานก่อน สิ่งนั้นจึงจะไม่สูญหายไป หากกู้คืนก็ได้เฉพาะแต่ส่วนที่เซฟเอาไว้แล้ว
ส่วนที่ยังไม่ได้เซฟก็เสียทิ้งไป คนที่ทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ทุกคน จึงรู้ดีว่าต้องหมั่นเซฟงานบ่อยๆ การเรียนธรรมะก็เช่นกัน ถ้าหากเรียนรู้แล้วมันหยุดแค่สมอง คือความจำแบบ RAM ที่เป็นการเซฟงานในฮาร์ดแวร์ แต่ไปไม่ถึงตัวจิต ซึ่งเป็นความจำแบบ ROM เป็นเหมือนการเซฟงานบน Cloud สิ่งที่คุณเรียนรู้มาทั้งหมด ถ้าโดนเตะปลั๊กหลุด (ตาย) ก็หายหมด
ก็กิน นอน ขี้ เยี่ยว เดิน คลาน ยังต้องไปเรียนกันใหม่ นับประสาอะไรกับวิชาการทั้งหลาย เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถข้ามภพข้ามชาติ ติดตัวไปคุณด้วยได้ เสื่อมสลายไปพร้อมกับสมอง คือความจำแบบ RAM เรียนไปแล้วก็คืนครูบาอาจารย์ คืนพระพุทธเจ้าหมด เหมือนเรื่องเล่าในสมัยพระพุทธกาล ที่มีพระรูปหนึ่งรู้เรื่องปริยัติแตกฉาน สามารถเทศน์ได้อย่างดียอดเยี่ยม สั่งสอนลูกศิษย์จนสำเร็จเป็นพระอริยะ รวมทั้งพระอรหันต์ได้หลายองค์ แต่พระพุทธเจ้ากลับเรียกท่านว่าเป็น “ใบลานที่ว่างเปล่า” เพราะไม่เคยสนใจปฏิบัติเลย
การจะออกจากวัฏฏะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะทำสำเร็จได้ภายในภพชาติเดียว จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก ในการที่คุณต้องเรียนธรรมะให้เข้าไปถึงหัวจิตหัวใจ ให้ลงไปอยู่ในสัญญาระดับ ROM เพื่อให้สามารถเดินทางข้ามภพข้ามชาติได้ ไม่ต้องมาเรียนกันใหม่ทั้งหมด
การเซฟงานบน Cloud ของคุณ ทำได้จากการปฏิบัติลงลึกเข้าใจจนไปถึงระดับจิต คือ “ปฏิเวธ” นั่นเอง จาก “สัญญา” เปลี่ยนเป็น “ปัญญา” ที่เป็นของคุณเองติดตัวข้ามภพข้ามชาติ เกิดไปชาติใหม่หากได้เจอสิ่งกระตุ้น คือได้ฟังธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอีก ความทรงจำที่เกิดจากความเข้าใจถ่องแท้ในธรรมนี้ จะค่อยๆกลับมาโดยไม่ต้องไปเริ่มเรียนจาก ก ข ค ใหม่
คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจสั่งสมแต่ “สัญญา” ในรูปแบบที่เตะปลั๊กหลุดก็หายหมด ไม่สนใจจะสั่งสมสัญญา ในแบบที่เปลี่ยนเป็นปัญญา แล้วติดตัวข้ามภพข้ามชาติ ครูบาอาจารย์มักเรียกว่าเป็นพวก “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” ที่สั่งสมนั้นมีแต่สัญญา = ความจำ ความรู้แบบ copy - paste
หลงยึดเอาภูมิอรรถภูมิธรรมของครูบาอาจารย์ ของพระพุทธเจ้าว่าเป็นของตัว นึกว่าตนฉลาดมีความรู้มาก ทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจ จนเป็นภูมิอรรถภูมิธรรมของตัวเอง ต้องปฏิบัติจนได้รู้ได้เห็นของจริงตามที่ได้เรียนมา จึงจะเข้า(ไปถึง)ใจ ได้เป็นภูมิธรรมติดตัว เพราะรู้เห็นความจริงตามความเป็นจริง สัญญาตัวที่ลงไปถึงหัวจิตหัวใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะสิ่งที่เราสั่งสมไว้จะพาเราออกจากวัฏฏะในชาติใดชาติหนึ่ง
ถ้าไม่รู้จักเซฟงานที่ทำไว้มาชั่วชีวิต เมื่อไหร่โดนเตะปลั๊กหลุด ก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า สังสารวัฏยาวนานไร้ที่สิ้นสุด เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และความทุกข์ในทุกครั้งที่เกิด อย่าให้ต้องอุทานว่า "เฮ้ย! ยังไม่ได้เซฟ" เลย เพราะความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และไม่บอกล่วงหน้า
ทุกข์อยู่ไม่รู้ว่าทุกข์ เมื่อไหร่จะรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง
ถ้ามัวแต่เดี๋ยวก่อน แล้วเมื่อไหร่จะเดี๋ยวนี้
(ชาติไหนหรอ?)
ศานสติ
"ท่านทั้งหลายจงอย่าทำตัวเป็นตัวบุ้งตัวหนอน คอยกัดแทะกระดาษแห่งคัมภีร์ใบลานเปล่าๆ โดยไม่สนใจพิจารณาสัจธรรมอันประเสริฐที่มีอยู่กับตัว แต่มัวไปยึดธรรมที่ศึกษามาถ่ายเดียว ซึ่งเป็นสมบัติของพระพุทธเจ้ามาเป็นสมบัติของตน ด้วยความเข้าใจผิดว่า ตนเรียนรู้และฉลาดพอตัวแล้ว ทั้งที่กิเลสยังกองเต็มหัวใจยิ่งกว่าภูเขาไฟ มิได้ลดน้อยลงบ้างเลย จงพากันมีสติคอยระวังตัว อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่าๆ เรียนเปล่าและตายทิ้งเปล่าไม่มีธรรมอันเป็นสมบัติของตัวอย่างแท้จริงติดตัวบ้างเลย"
- หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต –
ขอบคุณภาพจาก
โฆษณา