14 ต.ค. เวลา 15:39 • การศึกษา

นิพพานัง ปรมัง สุขัง

การเกิดมาในโลกนี้หนีไม่พ้นการที่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเบียดเบียนเช่นกัน เพียงแค่มีลมหายใจก็ต้องเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความอยากมี อยากได้ อยากเป็น เพราะนั่นเป็นการเบียดเบียนที่ยิ่งกว่า ด้วยการเอาเข้าตัวเห็นแก่ตัวเป็นใหญ่ หากยังเกิดอยู่ ทำได้แค่เพียงลด หลีกเลี่ยงการเบียดเบียน ไม่สามารถหยุดยั้งการเบียดเบียนได้อย่างหมดสิ้น การผูกเวรผูกกรรมจึงเกิดขึ้นแบบเป็นอนันตกาลไร้ที่สิ้นสุด
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราไม่ว่าจะรักหรือชัง ล้วนแล้วแต่ต้องเจอกับความทุกข์จากการเบียดเบียนของเรา เพียงแค่มากน้อยต่างกัน และตัวเราเองก็ต้องรับความเบียดเบียนจากเขาเหล่านั้นด้วย ความทุกข์จึงมีอยู่เสมอ เมื่อไหร่ที่คุณเห็นคนที่คุณรัก ต้องทุกข์ไปกับคุณหรือทุกข์เพราะคุณ คุณจะเข้าใจว่าไม่ใช่แค่คนที่คุณเกลียดเท่านั้น ที่คุณเบียดเบียนเขา แต่คนที่คุณเบียดเบียนมากที่สุด อาจจะเป็นคนที่คุณรักและรักคุณนั่นแหละ
เพราะคนที่ทุกข์กับคุณมากที่สุด คือคนที่รักคุณ ไม่ใช่คนที่เกลียดคุณ พระพุทธเจ้าท่านถึงว่ามีรักก็มีทุกข์ รักมากก็ทุกข์มาก หากชาติใดคุณมีปัญญา คุณอาจจะเบียดเบียนเขาน้อย แต่ชาติใดไม่มีปัญญาก็จะเบียดเบียนเขาได้อย่างมากถึงมากที่สุด ถ้ายังเกิดอยู่หนีไม่พ้นต้องทำให้ผู้อื่นและตัวเองเป็นทุกข์
สัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ก็หมายถึง สิ่งมีชีวิตทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ที่เกี่ยวข้องกับเราไม่ว่าจะด้านดีหรือไม่ดี เพราะทำกรรมร่วมกันมา เราจึงต้องเบียดเบียนกันไม่มากก็น้อย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ให้ความทุกข์แก่กันอย่างไม่อาจหลีกลี้หนีพ้น หากเข้าใจดังนี้แล้วการฝึกฝนจิตให้ถึงพระนิพพาน จะไม่ใช่การเห็นแก่ตัว หนีไปมีความสุขเพียงคนเดียว
แต่เป็นการแสดงความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ที่จะมีให้ทั้งกับตัวเองและสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงที่ได้เกี่ยวข้องกัน เป็นการหยุด ระงับ ดับความทุกข์ไม่ว่าจะของตัวเองหรือผู้อื่น รวมแม้กระทั่งสิ่งแวดล้อมที่เราต้องใช้ในการดำรงชีวิตอยู่ ที่ล้วนแล้วแต่ถูกเราเบียดเบียนตั้งแต่เกิดจนตาย การดับภพดับชาติหยุดการเกิด จึงเป็นความเมตตาสูงสุด ที่จะให้ต่อสิ่งที่กล่าวมาแล้วเหล่านั้นได้ นับตั้งแต่วินาทีที่บรรลุพระอรหันต์จนไปถึงอนันตกาล
“นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”
ขอขอบคุณภาพจาก
โฆษณา