วันนี้ ผู้เขียนจึงขอชวนผู้อ่านตอบคำถามสำคัญที่ว่า “การพึ่งพา AI มากเกินไปส่งผลต่อกระบวนการคิดของมนุษย์อย่างไร?” ด้วยผลจากงานวิจัยล่าสุด และขอใช้ประสบการณ์ส่วนตัวมาตีแผ่ โดยเฉพาะในแง่มุมของการศึกษากันครับ
★
ผลกระทบเมื่อเราปล่อยให้ AI คิดและเขียนแทนเรา
มีงานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab และสถาบันอื่น ๆ อีกหลายแห่ง ภายใต้ชื่อ “Your Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task”[1] พบผลที่น่าสนใจว่า
การใช้ AI ในการเขียนเรียงความส่งผลให้เกิด “หนี้ทางปัญญา” (Cognitive Debt) กล่าวคือ เมื่อเรายอมให้ AI เขียนแทนในขั้นตอนที่ต้องใช้พลังสมอง เช่น การร่างโครงเรื่องหรือเลือกคำสำคัญ เราจะสูญเสียการเรียนรู้ระหว่างทางที่ควรจะเกิดขึ้น เปรียบเสมือนคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย เพราะใช้ลิฟต์ขึ้นทุกวัน ร่างกายอาจจะถึงที่หมายได้ไว แต่สุขภาพระยะยาวย่อมอ่อนแอลง เช่นเดียวกับสมองที่ได้รับการ “ยกเว้นภาระ” จากกระบวนการคิด
เมื่อพิจารณาในรายละเอียด งานวิจัยนี้ทดลองกับผู้เข้าร่วม 54 คนในเมืองบอสตัน โดยให้เขียนเรียงความสไตล์ข้อสอบ SAT ภายใต้ 3 เงื่อนไข ได้แก่
จากประสบการณ์ส่วนตัวในสหรัฐฯ ในห้องเรียนระดับปริญญาตรี ซึ่งผู้เขียนเป็นผู้ช่วยสอนอยู่ นักศึกษาจำนวนไม่น้อยส่งการบ้านโดยใช้ AI ช่วยเขียนคำตอบให้เสร็จสิ้น (ผู้เขียนสังเกตได้จากลักษณะการเขียนของ AI ที่เหมือน ๆ กัน) แน่นอนว่า หากไม่ได้กำหนดใน course syllabus ว่าห้ามใช้ AI แล้ว การใช้ AI ช่วยหาคำตอบก็ไม่ใช่เรื่องผิด หากมองว่า AI เป็นเพียง “ผู้ช่วย”
แต่สิ่งที่น่าห่วงกว่ามากคือ การเปลี่ยนบทบาทของ AI จาก “ผู้ช่วย” เป็น “ผู้แทน” โดยที่เราไม่รู้ตัว…
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “จะห้ามใช้ AI ได้หรือไม่?” เพราะความจริงคือ AI อยู่กับเราแล้ว และจะไม่หายไปไหน แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ “เราจะเรียนรู้ให้ลึกขึ้นได้อย่างไร ท่ามกลางการมีอยู่ของ AI?”
ในฐานะนักศึกษาปริญญาเอก ผู้เขียนพบว่า AI สามารถช่วยกระตุ้นความคิดได้ดี หากใช้ในลักษณะของการเป็น “จุดเริ่มต้น” เช่น ใช้เพื่อดูตัวอย่างการเขียน หรือเพื่อดูว่าคนอื่นตั้งคำถามวิจัยกันอย่างไร แต่ไม่ควรใช้เป็น “จุดจบของกระบวนการคิด” กล่าวคือ ควรมีการกลั่นกรอง สงสัย และวิพากษ์ AI อยู่เสมอ
1
อีกแนวทางหนึ่งคือการฝึก “metacognition” หรือความสามารถในการรู้เท่าทันกระบวนการคิดของตนเอง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในยุคที่ AI มีอิทธิพล เช่น
1
สิ่งที่ AI เสนอมา สะท้อนมุมมองใคร? เราเห็นด้วยจริงหรือแค่ปล่อยผ่าน?
●
เราเข้าใจสิ่งที่เขียนไว้จริงหรือไม่?
●
ถ้าไม่มี AI เราจะอธิบายประเด็นนี้อย่างไร?
●
สิ่งที่ AI เสนอมา สะท้อนมุมมองใคร? เราเห็นด้วยจริงหรือแค่ปล่อยผ่าน?
★
แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้เราโง่ลง?
ในมุมมองของผู้เขียน แทนที่เราจะมอง AI เป็นภัยต่อระบบการศึกษา เราอาจต้องออกแบบระบบการเรียนรู้ใหม่ที่ผสมผสานการใช้ AI อย่างมีสติ เข้ากับกระบวนการคิดเชิงลึกแบบดั้งเดิม ยกตัวอย่างเช่น
●
ให้นักศึกษาเปรียบเทียบคำตอบของ AI กับการค้นคว้าด้วยตนเอง
●
ให้ AI ช่วยตั้งคำถาม แต่ให้มนุษย์เป็นผู้หาคำตอบ
●
ใช้ AI เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ แต่ให้คะแนนตามการอธิบายเหตุผลของมนุษย์
1
ที่สำคัญคือ การปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความสงสัย (critical curiosity) ในทุกสิ่งที่ได้รับจาก AI เพราะความสงสัยนี้เอง คือ หัวใจของกระบวนการคิดอย่างแท้จริง
ในแง่มุมของการศึกษา โดยเฉพาะการเรียนปริญญาเอกที่มีความกดดันมากมาย ทั้งการทำงานวิจัย การเขียนบทความ และการอ่านบทความวิชาการจำนวนมหาศาล การใช้ AI อย่างมีสติจึงอาจเป็นคำตอบหนึ่งของการอยู่รอด แต่จะอยู่รอดอย่างมีคุณภาพหรือแค่ผ่านไปแบบปล่อยให้เครื่องจักรคิดแทน นั่นขึ้นอยู่กับเราเอง
ดังนั้นแล้ว เทคโนโลยี AI ไม่ใช่ผู้ร้าย หากแต่เป็นกระจกสะท้อนว่า เรากำลังมอบความคิดของตนเองให้กับสิ่งที่รวดเร็วและสะดวกเกินไปหรือไม่ เราอาจจะไม่โง่ลงเพราะ AI แต่เราจะโง่ลงเมื่อหยุดคิด และเชื่อทุกอย่างที่ AI บอกโดยไม่ตั้งคำถามครับ
[1] Kosmyna, N., Hauptmann, E., Yuan, Y. T., Situ, J., Liao, X. H., Beresnitzky, A. V., Braunstein, I. & Maes, P. (2025). Your Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task. arXiv preprint arXiv:2506.08872.