20 ก.ค. เวลา 05:09 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

ถอดรหัส Sam Altman อัจฉริยะหรือนักบงการ? กับเส้นทางสู่ผู้กุมชะตาโลก AI

ถ้าผมบอกว่า ชายผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก AI ตอนนี้ ไม่ใช่วิศวกรคอมพิวเตอร์ระดับตำนาน ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะ แต่เป็นคนที่เคยล้มเหลวกับธุรกิจแรกของตัวเอง คุณจะเชื่อไหมครับ
เรื่องราวของเขาคนนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง พลิกผัน และน่าทึ่งยิ่งกว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูด เขาคือ Sam Altman ชายผู้เป็นซีอีโอของ OpenAI บริษัทที่สร้าง ChatGPT จนสั่นสะเทือนไปทั้งโลก
วันนี้เราจะมาถอดรหัสชายคนนี้กัน ว่าจากจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้สวยหรู เขาก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ราชาแห่งวงการ AI ได้อย่างไร และอะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้เขากุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ
เรื่องราวของ Sam Altman ไม่ได้เริ่มต้นบนกองพรมแดงเหมือนตำนานผู้ประกอบการคนอื่นๆ เขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Stanford ได้เพียงปีเดียว ก็ตัดสินใจลาออกมาตามความฝัน
เขาร่วมกับเพื่อนก่อตั้งสตาร์ทอัพชื่อว่า Looped ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียสำหรับแชร์ตำแหน่งที่ตั้ง พูดง่ายๆ ก็คือเป็นคู่แข่งของ Foursquare ในยุคบุกเบิก
แต่โชคไม่เข้าข้าง Looped ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง และสุดท้ายก็ต้องปิดฉากลงด้วยการขายกิจการไปแบบแทบไม่เหลือราคา ซึ่งสำหรับหลายคน นี่อาจเป็นจุดจบของความฝัน
แต่สำหรับ Altman มันคือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้บทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือ พลังของ “เครือข่าย” และ “การเข้าหาผู้คน” มันสำคัญไม่แพ้ตัวผลิตภัณฑ์เลย
แม้ Looped จะล้มเหลว แต่มันก็เป็นตั๋วที่พาเขาเข้าไปสู่ Y Combinator หรือ YC โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพที่ทรงอิทธิพลที่สุดใน Silicon Valley ที่นี่เปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยสำหรับเหล่าผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยี
และที่นี่เองที่เขาได้พบกับ Paul Graham ผู้ก่อตั้ง YC และเป็นเหมือน “อาจารย์ใหญ่” ของวงการ ผู้มองเห็นบางสิ่งที่พิเศษในตัวเด็กหนุ่มคนนี้
Paul Graham ไม่ได้มองเห็นความสามารถด้านการเขียนโค้ด แต่เขามองเห็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งกว่า นั่นคือความสามารถในการเข้าใจจิตวิทยามนุษย์ และการโน้มน้าวจิตใจคน
เขาเคยกล่าวถึง Altman ด้วยประโยคที่กลายเป็นตำนานว่า “คุณสามารถส่ง Sam โดดร่มลงไปบนเกาะที่เต็มไปด้วยมนุษย์กินคน และกลับมาในอีก 5 ปีข้างหน้า เขาจะกลายเป็นราชาของเกาะนั้น”
คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย เพราะหลังจากนั้นไม่นาน Paul Graham ได้ทำในสิ่งที่ช็อกวงการ นั่นคือการเลือก Sam Altman ในวัยยังไม่ถึง 30 ปี ให้ขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานของ Y Combinator
จากผู้ประกอบการที่เคยล้มเหลว เขากลายมาเป็นผู้กุมชะตาของสตาร์ทอัพนับพันแห่ง กลายเป็นผู้รักษาประตูสู่ความสำเร็จใน Silicon Valley นี่คือจุดเปลี่ยนที่ส่งให้เขากลายเป็นบุคคลที่ทุกคนในวงการต้องรู้จัก
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการสั่งสมสิ่งที่เรียกว่า “ต้นทุนทางสังคม” (Social Capital) ซึ่งในเวลาต่อมา ได้พิสูจน์แล้วว่ามันทรงพลังยิ่งกว่าเงินทุนมหาศาลเสียอีก
เมื่อได้นั่งในตำแหน่งประธานของ YC แล้ว Sam Altman ก็ไม่รอช้าที่จะขยายอิทธิพลของตัวเอง เขาทะเยอทะยานกว่าแค่การดูแลบริษัทซอฟต์แวร์ธรรมดา
เขาผลักดันให้ YC ขยายการลงทุนไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Hard Tech” หรือเทคโนโลยีเชิงลึกที่ต้องอาศัยการวิจัยขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ควอนตัม พลังงานฟิวชัน หรือรถยนต์ไร้คนขับ
การกระทำนี้เปรียบเสมือนการที่เขากำลัง “ทดสอบ” คลื่นแห่งอนาคตลูกต่างๆ เพื่อดูว่าคลื่นลูกไหนจะใหญ่และทรงพลังที่สุด และเขาก็พบว่าคลื่นลูกที่ใหญ่ที่สุดกำลังจะมาถึง…นั่นคือ AI
ในปี 2015 ขณะที่ยังบริหาร YC เขาได้ร่วมกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Elon Musk, Peter Thiel และ Reid Hoffman ก่อตั้งห้องปฏิบัติการวิจัย AI ชื่อ OpenAI
เป้าหมายแรกเริ่มของ OpenAI นั้นสวยหรูมาก คือการสร้าง AI เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ โดยเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีนี้ตกไปอยู่ในมือของใครคนใดคนหนึ่ง
ในช่วงแรก Altman ไม่ได้เข้ามาเป็นซีอีโอเต็มตัว เขาเป็นเพียงประธานบอร์ดร่วมกับ Elon Musk ปล่อยให้ทีมวิจัยนำโดยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำอย่าง Ilya Sutskever เป็นผู้ดำเนินงานหลัก
เขาค่อยๆ วางหมากอย่างใจเย็น เหมือนนักเล่นหมากรุกที่มองเกมล่วงหน้าไปหลายสิบตา เขาสร้างเวที เตรียมฉาก และรอคอยจังหวะที่เหมาะสมที่สุดที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำ
และเมื่อ OpenAI เริ่มเห็นศักยภาพอันมหาศาลของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) Altman ก็ไม่ลังเลที่จะกระโดดเข้ามารับตำแหน่งซีอีโออย่างเต็มตัว พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัท
OpenAI ได้เปลี่ยนโครงสร้างมาเป็นบริษัทที่แสวงหาผลกำไรได้ (For-Profit) และได้ทำการระดมทุนครั้งประวัติศาสตร์จาก Microsoft เป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ OpenAI มีทรัพยากรในการประมวลผลมหาศาลพอที่จะสร้าง ChatGPT ขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สร้างรอยร้าวลึกๆ ขึ้นภายในองค์กรเช่นกัน
1
อะไรคือวิธีการที่ทำให้ Altman สามารถควบคุมและผลักดันองค์กรที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้? คำตอบอยู่ที่ “สไตล์” การบริหารที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา
หากเราเปรียบเทียบกับผู้นำอย่าง Steve Jobs หรือ Elon Musk ที่เป็นคนชี้นำผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน และพร้อมจะผลักดันวิสัยทัศน์ของตนเองอย่างไม่ประนีประนอม Sam Altman จะอยู่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยร่วมงานกับเขา Altman เป็นเหมือน “กระจก” เขาสามารถสะท้อนภาพที่คนตรงหน้าอยากเห็นได้เสมอ เขาเชี่ยวชาญการประชุมแบบตัวต่อตัวเป็นพิเศษ
เขาสามารถทำให้วิศวกรที่เชื่อมั่นในโอเพนซอร์ส รู้สึกว่าเขาก็เชื่อแบบเดียวกัน และในขณะเดียวกัน ก็สามารถทำให้บอร์ดบริหารที่ต้องการผลกำไร รู้สึกว่าเขาก็มีเป้าหมายเดียวกัน
1
พลังของเขาไม่ได้อยู่ที่การ “สั่งการ” แต่อยู่ที่การ “โน้มน้าว” เขาไม่ได้สร้างเทคโนโลยีด้วยตัวเอง แต่เขาสร้าง “ทีม” ที่ดีที่สุดเพื่อมาสร้างเทคโนโลยี เขาไม่ได้เขียนโค้ด แต่เขา “เขียนบท” ให้คนอื่นเล่นตาม
คนจำนวนมากที่ได้ทำงานกับเขา รู้สึกเหมือนได้รับพลังพิเศษ มีแรงบันดาลใจที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ในทางกลับกัน ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าตัวเองกำลัง “ถูกหลอกใช้”
1
ความสามารถในการบริหารคนและสร้างเครือข่ายของเขานั้นเรียกได้ว่าหาตัวจับได้ยาก แต่สไตล์การบริหารแบบนี้ก็เป็นเหมือนดาบสองคม มันสร้างความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ก็ค่อยๆ สั่งสมความไม่ไว้วางใจขึ้นภายในองค์กร
และรอยร้าวนี้เอง ที่กำลังรอวันปะทุออกมา และนำไปสู่จุดแตกหักครั้งประวัติศาสตร์
เดือนพฤศจิกายน ปี 2023 โลกทั้งใบต้องตกตะลึง เมื่อคณะกรรมการบริหารของ OpenAI ออกแถลงการณ์สั้นๆ ประกาศปลด Sam Altman ออกจากตำแหน่งซีอีโอแบบฟ้าผ่า
เหตุผลที่ให้ไว้คือ เขา “ไม่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเสมอไป” (not consistently candid) ซึ่งเป็นคำพูดที่คลุมเครือ แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจที่สั่งสมมานาน
1
มันคือการรัฐประหารที่นำโดยคนของเขาเอง โดยเฉพาะ Ilya Sutskever หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ ผู้ซึ่ง Altman เป็นคนดึงตัวมาร่วมงาน แต่กลับเป็นหนึ่งในผู้ที่กังวลว่า Altman กำลังพาบริษัทออกห่างจากอุดมการณ์ดั้งเดิม
คณะกรรมการบริหารในขณะนั้นคงคิดว่า การตัดหัวแม่ทัพออกไป จะทำให้พวกเขาสามารถควบคุมทิศทางของบริษัทได้ แต่พวกเขาคิดผิด…พวกเขาประเมิน “ต้นทุนทางสังคม” ที่ Sam Altman สั่งสมมาตลอดทศวรรษ ต่ำเกินไป
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือปรากฏการณ์ที่โลกเทคโนโลยีไม่เคยเห็นมาก่อน
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังข่าวแพร่ออกไป Greg Brockman ประธานบริษัทและผู้ร่วมก่อตั้ง ก็ประกาศลาออกเพื่อแสดงจุดยืนเคียงข้าง Altman
จากนั้น พนักงานของ OpenAI เกือบ 770 คน หรือกว่า 95% ของบริษัท ได้ร่วมกันลงชื่อในจดหมายเปิดผนึก ขู่ว่าจะลาออกทั้งหมดและย้ายตาม Sam Altman ไปอยู่กับ Microsoft ทันที หากบอร์ดไม่ยอมคืนตำแหน่งให้เขา
นี่คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดถึงพลังในการบริหารคนของเขา พนักงานไม่ได้ภักดีต่อบริษัท OpenAI แต่พวกเขาภักดีต่อ “ตัวบุคคล” ที่ชื่อ Sam Altman
ในขณะเดียวกัน Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ประกาศว่าพร้อมอ้าแขนรับ Sam Altman และทีมงานทั้งหมด มาตั้งทีมวิจัย AI ใหม่ภายใต้ Microsoft
สถานการณ์พลิกกลับตาลปัตรอย่างรวดเร็ว บอร์ดที่เคยเป็นฝ่ายคุมเกม กลับถูกโดดเดี่ยวและถูกกดดันอย่างหนักจากทุกทิศทาง ทั้งจากพนักงาน นักลงทุน และพันธมิตรคนสำคัญ
สุดท้าย หลังจากช่วงเวลา 5 วันที่โลกต้องหยุดหายใจ คณะกรรมการบริหารก็ต้องยอมจำนน Sam Altman ได้กลับคืนสู่ตำแหน่งซีอีโอของ OpenAI อย่างสมศักดิ์ศรี
1
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังกลับมาพร้อมกับอำนาจที่มากกว่าเดิม ด้วยการปรับโครงสร้างบอร์ดบริหารใหม่ทั้งหมด และกำจัดคนที่ไม่สนับสนุนเขาออกไป
การรัฐประหารที่ตั้งใจจะโค่นล้มเขา กลับกลายเป็นการ “สถาปนา” อำนาจของเขาให้มั่นคงและแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
เรื่องราวทั้งหมดนี้บอกอะไรกับเรา?
เรื่องของ Sam Altman คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “ธรรมชาติของอำนาจ” ในศตวรรษที่ 21 เขาแสดงให้เราเห็นว่าผู้นำที่ประสบความสำเร็จ อาจไม่ใช่คนที่มีความสามารถทางเทคนิคสูงที่สุด แต่เป็นคนที่มีความสามารถในการ “เชื่อมต่อ” และ “บริหารเครือข่าย” ได้ดีที่สุด
คำถามสุดท้ายที่น่าคิดคือ แล้วอนาคตของเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในยุคของเรา จะเป็นอย่างไรภายใต้การนำของชายที่ซับซ้อนคนนี้?
เรากำลังฝากอนาคตของมนุษยชาติไว้กับผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล หรือกำลังฝากไว้กับนักบงการผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีใครหยั่งถึงความคิดที่แท้จริงของเขาได้กันแน่
นี่อาจเป็นคำถามที่ยังไม่มีใครตอบได้ และคำตอบของมัน ก็กำลังถูกเขียนขึ้นในทุกๆ วัน ที่ Sam Altman นั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งอาณาจักร OpenAI นั่นเองครับผม
References : [theverge,reuters,nytimes,bloomberg,wired]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา