20 ก.ค. เวลา 05:20 • ธุรกิจ

🧨 'ของจีนราคาถูก'...ที่กำลัง 'ถล่ม' SME ไทยทั้งระบบ!?

🩸 ถอดรหัสสงครามราคา 'Cross-Border E-commerce' ที่กำลังฆ่าผู้ประกอบการไทยในบ้านตัวเอง! 🇹🇭
จากของถูกที่ดูเหมือนจะดี...สู่กับดักที่ SME ไทยไม่มีวันชนะ ถ้าไม่รีบเปลี่ยนเกม
เรื่องจริงจากประสบการณ์เล็กๆ ในวันช้อปออนไลน์ แต่ส่งแรงกระเพื่อมทางความคิดได้ใหญ่กว่าที่คิด
"สัปดาห์ก่อน...ผมกดซื้อใบมีดโกน Gillette บนแอปดัง เจ้าประจำที่เราไว้ใจ ราคาเพียง 300 กว่าบาท ทั้งที่ปกติ 400-500 บาท เห็นแล้วไม่ลังเลที่จะกดซื้อเลย"
แต่สิ่งที่ทำให้ผม "สะดุด" คือ...สินค้าแบรนด์แท้ชิ้นเดียวนี้ กำลังถูกส่งจากจีน! ค่าขนส่งก็รวมแล้ว ราคาก็ยังถูกกว่าหน้าร้านไทยเกือบ 50%
ความรู้สึก "คุ้ม" แปลงร่างเป็น "ตกใจ" ทันที...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ถ้าแบรนด์ระดับโลกยังส่งข้ามน้ำมาถึงมือเราได้ในราคานี้...ผู้ประกอบการไทยจะอยู่ตรงไหน?
นี่ไม่ใช่แค่สงครามราคา แต่มันคือสนามรบเชิงโครงสร้าง ที่ SME ไทยไม่ทันรู้ตัวก็อาจโดน "บาดคอ" จนตายอย่างเงียบๆ
====
🔍 1. โครงสร้างประเทศจีนที่ "หนุนหลัง" การค้าถูกแบบไร้พรมแดน
เบื้องหลัง Cross-Border ไม่ได้มีแค่ต้นทุนที่ต่ำ...แต่มี "ยุทธศาสตร์ชาติ" ซ่อนอยู่ — ซึ่งประกอบด้วยกลไกระดับประเทศหลายชั้นที่ SME ไทยแทบไม่มีโอกาสได้แข่งขันอย่างเป็นธรรม ถ้าไม่เข้าใจภูมิทัศน์นี้อย่างลึกซึ้ง
1. Economy of Scale
* จีนไม่ได้ผลิตแค่เพื่อประเทศตัวเอง แต่ผลิตเพื่อโลก โรงงานจำนวนมหาศาลมีการตั้งสายการผลิตแบบ Mass Production พร้อมนำ AI เข้ามาใช้ใน Automation ตั้งแต่การประกอบ ตรวจคุณภาพ ไปจนถึงการบรรจุสินค้า ส่งผลให้ต้นทุนต่อชิ้นลดลงจนเหลือไม่กี่บาท
* ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิต Power Bank แบรนด์ Baseus ที่ส่งออกปีละหลายล้านชิ้น ใช้หุ่นยนต์ทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน และสามารถควบคุมคุณภาพให้ใกล้เคียงกันเกือบ 100%
2. D2C แบบรัฐหนุน
* หนึ่งในความลับสำคัญของสินค้าราคาตัดจากจีน คือการได้รับการอุดหนุนทาง Logistics โดยตรงจากรัฐบาลท้องถิ่น
* เช่น นครกว่างโจว เซินเจิ้น หรืออี้อู ที่มีนโยบาย subsidy ค่าส่งผ่านไปรษณีย์หรือสายขนส่งจีนระหว่างประเทศ ให้ผู้ประกอบการสามารถขายข้ามประเทศแบบ D2C (Direct to Consumer) โดยไม่ต้องพึ่งตัวแทนจำหน่าย และไม่ต้องกังวลกับต้นทุนด้านโลจิสติกส์
* ยกตัวอย่างเช่น การส่งของชิ้นเล็กอย่างเครื่องมือช่าง ปลั๊กพ่วง หรือ Gadget ชิ้นละ 20 บาท ยังสามารถรวมค่าส่งไปต่างประเทศได้ในต้นทุนรวมไม่ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐ
3. Tax Loophole (De Minimis)
* ช่องว่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือระบบภาษีนำเข้าของประเทศไทย ที่ยังอนุญาตให้สินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องเสีย VAT และภาษีนำเข้า
* ต่างจากสหภาพยุโรป (EU) ที่ยกเลิกข้อยกเว้นนี้ตั้งแต่กลางปี 2021 ทำให้สินค้าแม้แต่ชิ้นละ 1 ยูโร ก็ต้องเสียภาษีเต็มจำนวน เพื่อให้เกิดสนามแข่งขันที่เท่าเทียมสำหรับผู้ผลิตท้องถิ่น
🇪🇺 กรณีศึกษา: EU เก็บ VAT ทุกชิ้น — ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา สหภาพยุโรปได้ยกเลิกข้อยกเว้นภาษีสินค้ามูลค่าต่ำ (De Minimis) จากประเทศนอก EU ทุกประเภท พร้อมบังคับใช้ระบบ VAT Digital Gateway และ IOSS (Import One-Stop Shop) สำหรับผู้ขายที่ส่งของเข้ามาใน EU โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้จากภาษี ป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้สินค้าในภูมิภาคมากขึ้น
🔎 ในทางตรงข้าม ประเทศไทยยังไม่มีระบบจัดเก็บภาษีที่เข้มงวดสำหรับสินค้าข้ามแดนราคาต่ำ ทำให้สินค้าจีนสามารถเข้ามาได้ในราคาที่ผู้ขายไทยแทบไม่สามารถตั้งต้นทุนแข่งขันได้เลย เช่น ปลั๊กพ่วง LED ที่ขายหน้าเพจคนไทย 139 บาท แต่ร้านจีนในแพลตฟอร์มเดียวกันขายเพียง 59 บาท รวมส่งถึงบ้าน
====
📦 2. แพลตฟอร์ม eCommerce = ช่องทางค้าขาย? หรือทางด่วนให้จีน?
Shopee, Lazada, TikTok Shop — ล้วนเป็น “ตลาดกลาง” (Marketplace) ที่ดูเหมือนเปิดโอกาสให้ SME ไทยเข้าถึงลูกค้า แต่วันนี้เราต้องตั้งคำถามใหม่ว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้กำลังทำหน้าที่เป็น 'ทางลัด' ให้สินค้าจีนเข้ามาแข่งขันแบบไม่ยุติธรรมในบ้านเราหรือไม่?
* แพลตฟอร์มสามารถกำหนดนโยบายต่างๆ ได้เองทั้งหมด เช่น การให้ร้านค้าต่างชาติ “ฟรีค่าคอมมิชชัน 6 เดือน” ในขณะที่ร้านค้าไทยยังต้องจ่ายเต็ม ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจผิดธรรมชาติให้ผู้ค้าในจีนทะลักเข้ามาในระบบอย่างรวดเร็ว
* ลูกค้ากว่า 60% เลือกสินค้าที่ถูกที่สุดโดยไม่สนใจแหล่งที่มา สะท้อนพฤติกรรมแบบ price-sensitive ที่ทำให้แบรนด์ท้องถิ่นยากที่จะอยู่รอดหากไม่สามารถ match ราคาที่ต่ำได้
* แบรนด์จีนเช่น Anker, Baseus, Shein ใช้ Marketplace ไทยสร้างฐานลูกค้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาศัยทุนที่มากกว่า การผลิตที่ถูกกว่า และโปรโมชั่นที่ได้เปรียบกว่า กลายเป็นผู้ครองตลาดภายในเวลาไม่กี่เดือน
❗ “Marketplace กำลังกลายเป็นด่านหน้าสงครามราคาที่ SME ไทยไม่มีทางสู้ ถ้ายังใช้กลยุทธ์เดิม”
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
* แบรนด์ Shein ใช้กลยุทธ์ micro-influencer และ flash sale ทั่วโลก ขายเสื้อผ้าชิ้นละ 79 บาท ในไทยโดยส่งตรงจากจีน แต่ใช้ interface ภาษาไทยเต็มรูปแบบ ลูกค้าหลายคนไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่แบรนด์ไทย
* Shopee และ Lazada เคยจัดโปรโมชันใหญ่ เช่น "ลด 50% + ฟรีส่งจากต่างประเทศ" โดยใช้การ subsidize ค่าส่งให้ร้านค้าต่างชาติ แต่ผู้ขายไทยต้องจ่ายค่าส่งเองแบบเต็มจำนวน
* ลองจินตนาการถึง “ห้างสรรพสินค้า” ที่เจ้าของให้เช่าฟรีเฉพาะร้านต่างชาติ แต่เก็บค่าเช่าปกติจากร้านท้องถิ่น — ยังจะเรียกว่า “สนามแข่งที่ยุติธรรม” ได้อีกหรือไม่?
* หรือยกให้ชัดกว่านั้น... สมมุติว่าเรามีตลาดสดที่แม่ค้าไทยจ่ายค่าแผงเดือนละ 2,000 บาท แต่พ่อค้าต่างชาติได้แผงฟรี + มีป้ายไฟโฆษณา + มีลำโพงเรียกลูกค้าให้ — ภายใน 6 เดือน ร้านไทยจะยังขายได้อยู่ไหม?
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าย้อนถามว่า "Marketplace ที่ดูเหมือนเป็นกลาง... กำลังเทน้ำหนักให้ใครกันแน่?"
====
🧠 3. รอดได้ ต้องเปลี่ยนจาก "ผู้ขาย" → เป็น "ผู้สร้างคุณค่า"
เราจะไม่ชนะในเกมของเขา แต่เราชนะได้ในเกมของเรา — ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิด
🥇 1. สร้างแบรนด์ = สร้างภูมิคุ้มกัน
* จุดแข็งของแบรนด์ไทยอยู่ที่ "Storytelling" และ "Cultural Identity" เช่น  “MANA Skincare” ใช้ภาพลักษณ์ธรรมชาติอย่างแท้จริง เช่น ข้าวหอมมะลิ น้ำผึ้งป่า ว่านหางจระเข้ และการผลิตแบบวิสาหกิจชุมชน เพื่อเล่าเรื่อง “ความงามที่ไม่เบียดเบียนโลก” เจาะกลุ่ม Gen Z ที่มองหาความยั่งยืน โดยผูกโยง Content กับเทรนด์ eco-friendly บน TikTok และรีวิวจาก influencer ที่ไม่ได้เน้นสวย แต่เน้น real และ roots
* เสริมอีกเคส : แบรนด์ “Blue Elephant” นอกจากขายซอสและเครื่องแกง ยังขายประสบการณ์การเรียนทำอาหารไทยระดับพรีเมียม พร้อมเปิด Cooking School สำหรับนักท่องเที่ยว และคนไทยรุ่นใหม่ ทำให้ไม่ใช่แค่ซื้อของ แต่ “อินกับแบรนด์” จนกลายเป็น global lifestyle brand
🔑 สรุป: จุดแข็งของ SME ไทยไม่ใช่แค่ราคาหรือต้นทุน แต่คือ "ต้นเรื่อง" ที่จีนลอกยาก — และผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มมองหาแบรนด์ที่มีความหมายมากกว่าคำว่า “ถูก”
📌 Reference
* Blue Elephant Global: https://www.blueelephant.com/
🛠️ 2. บริการใกล้กว่า ดีกว่า มั่นใจกว่า
* สินค้าจากจีนอาจราคาถูกกว่า แต่เมื่อมีปัญหา...การติดต่อก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เช่น ไม่มี Call Center, คืนของยาก, ไม่มีประกันหรือผู้รับผิดชอบในประเทศ
* SME ไทยควรใช้จุดแข็งนี้สร้างความสบายใจให้กับลูกค้า เช่น "รับคืนภายใน 7 วัน ไม่พอใจไม่ต้องจ่าย" หรือ "สั่งวันนี้ ส่งพรุ่งนี้ เช็กสินค้าก่อนจ่ายจริง"
* ตัวอย่าง เช่น แบรนด์ "แบร์รี่เบเกอรี่" (Barry Bakery) ซึ่งเริ่มจาก SME ไทยที่จำหน่ายขนมโฮมเมดผ่าน Facebook และ LINE โดยให้บริการลูกค้าแบบ personalize พร้อมรับคืนสินค้าหากไม่พอใจ และมีบริการจัดส่งด่วนภายในวันสำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯ ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นและยอดขายต่อเนื่องจากลูกค้าประจำ (Reference: บทสัมภาษณ์จาก The Cloud, 2023)
🎯 3. Find Your Niche
* SME ไทยไม่จำเป็นต้องขายทุกอย่างเหมือนจีน แต่ควรหาตลาดเฉพาะที่ตอบโจทย์ลึกกว่า เช่น "แชมพูสมุนไพรสำหรับผู้หญิงวัยทองที่มีผมร่วงจากฮอร์โมน" มากกว่าการขายแชมพูธรรมดา
* ตัวอย่าง เช่น “บ้านฉันเบเกอรี่” โฟกัสขนมอบสูตรเจที่ผสมสมุนไพรไทย เช่น กระชายดำ ขิง ขมิ้น และตะไคร้ ซึ่งมีสรรพคุณทางยาแบบภูมิปัญญาพื้นบ้าน โดยเน้นกลุ่มลูกค้า vegan, plant-based และ functional food ที่กำลังเป็นเทรนด์ในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน ขณะเดียวกันยังวางตำแหน่งเป็น healthy snack สำหรับผู้บริโภคสาย Wellness ที่ต้องการทางเลือกอาหารที่ทั้งอร่อย และดีต่อสุขภาพ โดยแบรนด์เริ่มเจาะตลาดผ่านงานแฟร์สินค้าเกษตรอินทรีย์ระดับอาเซียน
🏠 4. เป็นเจ้าของฐานลูกค้า ไม่ใช่แค่ผู้เช่า
* Website / LINE / Social Commerce ต้อ
งเป็นของตัวเอง เพื่อไม่ให้ธุรกิจต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มมากเกินไป
* ตัวอย่าง: แบรนด์ไทยหลายรายเริ่มตื่นตัวและปรับกลยุทธ์เพื่อไม่พึ่งพาแพลตฟอร์มอย่างเดียว เช่น “ศรีจันทร์” ใช้ TikTok Live เพื่อสร้างความสนใจ ดึงดูดให้เกิด engagement กับผู้ชมแบบ real-time แต่เมื่อจะปิดการขาย จะชักชวนให้ลูกค้าเข้าสู่ LINE OA หรือเว็บไซต์ทางการ เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้า สร้างระบบ CRM ที่ยั่งยืน และวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อในระยะยาว
ทั้งนี้ ยังมีแบรนด์อื่นอย่าง “ORGANIKA” ที่ใช้ Instagram เพื่อเล่าเรื่องราวแบรนด์แล้ว redirect ลูกค้าเข้าสู่ Shopify ของตัวเอง เพื่อควบคุมประสบการณ์การซื้ออย่างครบวงจร ทั้ง UX/UI การชำระเงิน และการสมัครสมาชิก ซึ่งกลยุทธ์นี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า และวิเคราะห์ LTV (Lifetime Value) เพื่อพัฒนาแคมเปญตลาดที่แม่นยำยิ่งขึ้น (reference : https://blog.ourgreenfish.com/the-business-mind/the-future-of-conversational-commerce-in-thailand)
* กลยุทธ์: ใช้ Customer Data Platform (CDP) เก็บข้อมูลพฤติกรรม + สร้าง loyalty program เช่น สะสมแต้มแลกของหรือให้ของขวัญวันเกิดโดยอัตโนมัติ สร้างความผูกพันในระดับที่แพลตฟอร์มทั่วไปทำไม่ได้
💡 จุดเปลี่ยนของ SME ไทยคือการเลิกพึ่งพาแพลตฟอร์ม และเริ่มสร้าง 'ฐานลูกค้าประจำ' ของตัวเอง — เพราะในระยะยาว ค่าโฆษณาจะสู้ความสัมพันธ์ไม่ได้
====
🏛️ 4. กลยุทธ์ระดับชาติ: ถ้าไม่มีกติกาใหม่... SME ไทยก็ไม่มีวันชนะ
ประเทศไทยต้องเร่งทำ 3 เรื่องต่อไปนี้
1. เก็บภาษีนำเข้าทุกกล่อง ตั้งแต่ชิ้นแรก (De Minimis Reform)
* ตั้งระบบ VAT Digital Gateway แบบที่ EU ทำ
* ใช้ระบบ AI ตรวจจับพัสดุที่หลบเลี่ยงภาษี + blacklist ร้านค้าที่ส่งบ่อย
2. สร้างทีม Digital Trade Guard
* ทำงานร่วมระหว่างพาณิชย์ + ศุลกากร + แพลตฟอร์ม
* ตรวจสอบร้านค้าข้ามชาติ + จัดการร้านขายของลอกเลียนแบบ
* ออกกฎหมาย Platform Accountability Act ให้ Marketplace ต้องรับผิดร่วมถ้าร้านค้าต่างชาติโกง
3. ตั้ง “SME Transformation Fund”
* ให้ทุนสนับสนุน SME ที่ลงทุนสร้างช่องทางของตัวเอง เช่น Website, D2C, ระบบจัดการลูกค้า
* ส่งเสริมให้ SME ไทยมีการปรับเปลี่ยนสู่ “Digital First” ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
🎯 เป้าหมายไม่ใช่การปิดกั้นการค้า...แต่คือการทำให้ทุกคนได้แข่งขันในสนามที่ยุติธรรม
====
🔚 ถ้ายังขายแบบเดิม...ก็รอดยาก?
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องใบมีดโกน 300 บาท แต่มันคือ “แรงสั่นสะเทือนเงียบ” ที่กำลังทำให้ SME ไทยหายไปจากแผนที่ทีละเจ้า
หากยังใช้กลยุทธ์ “ลดราคา สู้ราคา” คำตอบสุดท้ายอาจไม่ใช่แค่ “ขายไม่ดี”...แต่คือ “ปิดกิจการ”
ในโลกที่ "สะดวก" คือสิ่งเสพติด...ผู้ที่รอด คือผู้ที่ "มีตัวตนในใจลูกค้า" ไม่ใช่แค่ในระบบแนะนำของแพลตฟอร์ม
📌 ถึงเวลาที่ SME ไทยต้องถามตัวเองว่า... "คุณอยากเป็นร้านค้าราคาถูกที่ลูกค้าเจอบน feed หรือเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเสิร์ชหาด้วยความจงรักภักดี?"
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#SMEไทยสู้ๆ
#สงครามราคา
#EcommerceThailand
#CrossBorderThreat
#MadeInThailand 
#ValueOverPrice
#DigitalEconomy
โฆษณา