21 ก.ค. เวลา 04:43 • ประวัติศาสตร์

สามจักรวรรดิต้นธารเติร์ก: บทแห่งอำนาจ วัฒนธรรม และดินปืน

ในศตวรรษที่ 16 โลกอิสลามไม่ได้มีแค่เรื่องราวของการแย่งชิงบัลลังก์หรือความขัดแย้งระหว่างนิกายอย่างที่ใครหลายคนอาจเข้าใจ หากแต่มันคือยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ยุคที่อารยธรรมทั้งโลกมุสลิมถูกเขียนใหม่ด้วยพลังของดินปืน กลยุทธ์ และความรู้ขั้นสูงด้านการปกครอง
นักประวัติศาสตร์เรียกช่วงเวลานี้ว่า “ยุคจักรวรรติดินปืน” หรือ "Gunpowder Empires" ซึ่งกลายเป็นคำสำคัญในงานคลาสสิกของ Douglas E. Streusand ที่เปรียบสามจักรวรรดิยิ่งใหญ่ในโลกอิสลามไว้ในภาพเดียวกัน คือ ...
… จักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) ในอนาโตเลียและตะวันออกกลาง …
… จักรวรรดิซาฟาวิด (Safavid Empire) ในเปอร์เซีย และ ...
… จักรวรรดิโมกุล (Mughal Empire) ในอินเดีย …
สามจักรวรรดินี้ล้วนมีบางอย่างร่วมกันที่ชวนให้ขนลุก นั่นคือ พวกเขาทั้งหมดมีสายเลือดของ “ชาวเติร์ก” จากเอเชียกลาง ชนเผ่าเร่ร่อนผู้เคยพเนจรในทุ่งหญ้า แต่กลับกลายเป็นผู้วางระเบียบโลกในเวลาต่อมา
เริ่มจากจักรวรรดิออตโตมัน … ผู้สืบเชื้อสายจากโอฆูซเติร์ก (Oğuz Turks) ที่อพยพเข้าสู่อนาโตเลียในศตวรรษที่ 13 ภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า “ออสมาน กาซี” (Osman Gazi) และต่อมาได้รับการขนานนามเป็น Osman I
พวกเขาคือผู้พิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี 1453 ภายใต้การนำของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 หรือที่โลกจดจำในนาม “Mehmed the Conqueror”
ชื่อนี้ไม่ใช่แค่ฉายา แต่มันคือสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดจักรวรรดิไบแซนไทน์ และการเริ่มต้นยุคใหม่ที่ออตโตมันจะผงาดขึ้นเป็นศูนย์กลางของโลกอิสลาม
ออตโตมันไม่ใช่เพียงผู้เชี่ยวชาญการศึก พวกเขาคือผู้บุกเบิกระบบบริหารที่ผสานวัฒนธรรมเปอร์เซียเข้ากับรูปแบบเติร์กได้อย่างแนบเนียน
... กองทัพแจนนิซซารี่ (Janissaries) ของพวกเขาขึ้นชื่อในเรื่องวินัยและความแข็งแกร่ง ...
ส่วนราชสำนักก็ใช้ภาษาที่ผสมระหว่างเปอร์เซีย อาหรับ และเติร์ก วรรณกรรมของออตโตมันเองก็อิงอยู่บนรากฐานของโลกเปอร์เซียอย่างลึกซึ้ง
Bernard Lewis นักประวัติศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพล ได้ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของจักรวรรดิออตโตมันไว้ในผลงาน 'The Emergence of Modern Turkey' อย่างแหลมคมว่า “ออตโตมันคือรัฐแห่งสายเลือดเติร์ก ที่โอบรับวัฒนธรรมเปอร์เซียไว้ในหัวใจ และสวมเกราะแห่งอิสลามไว้บนร่าง”
คำกล่าวนี้ไม่เพียงเป็นประโยคเปรียบเทียบ หากแต่สะท้อนแก่นแท้ของจักรวรรดิที่หลอมรวมอัตลักษณ์เร่ร่อนเข้ากับอารยธรรมและศรัทธาอย่างงดงาม
หันไปดูฝั่งเปอร์เซีย จักรวรรดิซาฟาวิดก็ผงาดขึ้นมาอย่างน่าเกรงขาม โดยมีรากฐานจากเติร์กสายอาเซอรี (Azeri Turks) ที่ก็สืบเชื้อสายจากโอฆูซเติร์กเช่นเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาเลือกเส้นทางที่แตกต่าง
ซาฟาวิดประกาศใช้นิกาย “ชีอะห์อิหม่ามสิบสอง” (Ithnā ‘Asharīyah / Twelver Shi‘ism) เป็นศาสนาประจำชาติ สร้างรัฐศาสนาเต็มรูปแบบที่พลิกโฉมอิหร่านตลอดกาล
พวกเขาสืบทอดโครงสร้างจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ ทั้งในพิธีราชสำนัก ระบบภาษี และศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะในยุคทองของ “ชาห์อับบาสที่ 1” (Shah Abbas I) เมืองอิสฟาฮานถูกยกระดับให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความงามทางสถาปัตยกรรมและศิลป์ที่ไม่มีใครเทียบได้
Roger Savory นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านซาฟาวิด ได้กล่าวไว้ในผลงาน 'Iran under the Safavids' ว่า จักรวรรดิซาฟาวิดคือผู้วางรากฐานให้อิหร่านสมัยใหม่ ทั้งในด้านภูมิศาสตร์ ความเชื่อทางศาสนา และอัตลักษณ์ของชาติ
พวกเขาไม่ได้เพียงสร้างระบอบการปกครอง แต่ได้หล่อหลอมจิตวิญญาณ ความเป็นหนึ่ง และความสำนึกในความเป็นชาติให้กับชาวอิหร่านอย่างลึกซึ้งจนฝังแน่นยาวนานถึงปัจจุบัน
ข้ามไปยังอินเดีย จักรวรรดิโมกุล (Mughal Empire) ถือกำเนิดขึ้นโดย “บาบูร์” (Babur) ผู้นำ ผู้สืบสายเลือดจากเจงกิส ข่าน (Genghis Khan) และทาเมอร์เลน (Tamerlane หรือ ตีมูร์ แลง / Timur-e Lang) เขาคือบุรุษแห่งสายเลือด “เติร์ก-มองโกล” (Turco-Mongol) ที่นำเอาทั้งอำนาจและความงามหลอมรวมเป็นจักรวรรดิหนึ่งเดียว
หลังจากบุกเดลีในปี 1526 โมกุลก็กลายเป็นจักรวรรดิที่ทรงพลังในแง่ของศิลปะ ภาษา และการประนีประนอม พวกเขาใช้ภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาราชสำนัก วรรณกรรม ศิลปะ และสถาปัตยกรรมก็ล้วนสะท้อนอิทธิพลของเปอร์เซียอย่างเต็มเปี่ยม
หนึ่งในผลงานที่โลกจำได้ดีที่สุดก็คือ “ทัชมาฮาล” (Taj Mahal) ซึ่งสร้างขึ้นในยุคของ “ชาห์จาฮาน” (Shah Jahan) อนุสรณ์แห่งความรักที่สะท้อนถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง
John F. Richards ได้สรุปสาระสำคัญของจักรวรรดิโมกุลไว้อย่างงดงามใน 'The Mughal Empire' ว่า “ความยิ่งใหญ่ของโมกุลอยู่ที่การประนีประนอม ระหว่างเติร์กและอินเดีย - อิสลามและฮินดู - ดินปืนและบทกวี” ประโยคเดียวที่จับหัวใจของโมกุลได้ครบถ้วนทั้งพลัง อารยธรรม และความละเมียดละไมในแบบของพวกเขา
แม้จักรวรรดิทั้งสามจะต่างศูนย์กลาง ต่างระบบ และต่างแนวคิด แต่พวกเขามีจุดร่วม คือ สายเลือดเติร์ก และอิทธิพลของเปอร์เซียที่ฝังลึกอยู่ในวิธีคิด วิธีปกครอง และศิลปวัฒนธรรม
พวกเขาใช้ดินปืนอย่างเชี่ยวชาญ สร้างวรรณกรรมและงานศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ และหล่อหลอมแบบแผนของรัฐที่กลายเป็นต้นฉบับให้โลกอิสลามรุ่นต่อมา
แม้วันนี้จักรวรรดิทั้งสามจะกลายเป็นบทในตำรา แต่สิ่งที่ยังหลงเหลือคือโดมสีฟ้าแห่งอิสฟาฮาน ลวดลายในสุเหร่าอิสตันบูล และเงาทัชมาฮาลที่สะท้อนบนผืนน้ำยามเช้า
… มรดกของพวกเขายังมีลมหายใจในวัฒนธรรมที่เราสัมผัสได้ …
และเมื่อเรามองลึกลงไป นี่คือเรื่องราวการเดินทางของชาวเติร์ก จากชนเผ่าเร่ร่อนแห่งเอเชียกลางที่เคยเพียงแค่ล่าสัตว์ ขี่ม้า และต่อสู้เพื่อความอยู่รอด สู่การเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์แห่งยูเรเชีย ทั้งในอนาโตเลีย เปอร์เซีย และอนุทวีปอินเดีย
พวกเขาใช้ไม่เพียงแค่ดาบ ดินปืน หรือการศึก หากแต่ใช้ภาษา ศิลปะ ปรัชญา และจินตนาการทางวัฒนธรรมในการสร้างอารยธรรมใหม่
นี่คือหนึ่งในมหากาพย์ของมนุษยชาติ - เรื่องราวของผู้ที่ไม่ได้แค่เอาชนะศัตรู... แต่เอาชนะกาลเวลาด้วย
... และนี่คือเรื่องราวของ “สามจักรวรรดิต้นธารเติร์ก” …
โฆษณา