Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
twilight12/2.1
•
ติดตาม
28 ก.ค. เวลา 14:37 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
บักเจมส์ เชิร์จเวิร์ด โกหกสิ่งใดกับเรา บนแผนที่โลกของเขาในศตวรรษที่ 19 ???(4.8)
ทวีปมู (Mu) หรือ รีมูเลีย (LeMUria) ก็เห็นพ้องต้องกันครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดรคือ นครอันตธานที่จมหายลงใต้ทะเลแปซิฟิกใต้เมื่อกว่า ๑๓,๐๐๐ ปี เราทั้งหลายได้รู้เรื่องราวจากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga) จากตำนานกล่าวกันว่า “เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อน แล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี”
จุดจบ คือจุดเริ่มต้น และ จุดเริ่มต้น ก็คือจุดจบ หลังจากจุดจบทวีปมูเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของอารยธรรมจุดต่าง ๆ ในโลกยุคหลังของผู้รอดจากภัยพิบัติ สายสัมพันธ์บรรพบุรุษ กำเนิดแม่น้ำคงคา
เริ่มต้นขอนำตำนานสำนวนหนึ่งของชาวอินเดียต่อแม่น้ำคงคา จากหนังสืออินเดีย แผ่นดินมหัศจรรย์ ผู้เขียนคือ คุณอรุณ เฉตตีย์ ในอดีตนั้นมีฤาษีกปิละ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาหิมาลัย อยู่มาวันหนึ่งพวกโอรสของท้าวสักกะกษัตริย์แห่งอโยธยาออกตามม้าที่หายไป เมื่อมาพบม้ายืนอยู่ข้างพระฤาษี ก็เลยยัวะ! ตะโกนด่าและแกล้งท่านต่าง ๆ นา ๆ จนท่านตบะแตก จ้องมองไปที่กลุ่มเจ้าชาย เกิดไฟเผาผลาญเจ้าชายกลายเป็นเถ้าถ่าน และสาปสำทับไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่น้ำคงคา
ฤาษีกปิละใช้ตาไฟเผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ บางตำราก็เรียกว่า “ท้าวสคระ”
ต่อมาท้าวภคีรส ผู้สืบเชื้อสายจากท้าวสักกะปฐมกษัตริย์ ซึ่งมีความเศร้าโศกเสียใจมากที่บรรพบุรุษของตนโดนสาปเช่นนั้น จึงบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อขอพรพระอิศวร (พระศิวะมหาเทพ) ให้ช่วยวิงวอนแม่น้ำคงคาให้ไหลหลั่งลงมาสู่แผ่นดินเป็นการชำระบาปของผู้ที่ต้องคำสาป และแล้วพระแม่คงคาก็เห็นใจ ยอมหลั่งสายน้ำจากเขาไกรลาสลงสู่พื้นดิน เพื่อชำระอัฐิของพวกโอรสและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นมลทิน นี่คือ ตำนานกำเนิดสายน้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์สำนวนหนึ่ง
ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู เริ่มจากดอกบัวเป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก
ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 – 30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ
แผนที่โบราณ
ท่านฤาษีวาลมิกิ (Valmiki) นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐ – ๒๐๐ ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี (Rishi) ที่เมืองอโยเดีย (Ayhodai) กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า “มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก”
ความเป็นมาย่อๆของนักบวลนาอะคาล ในจารึกแห่งนาอะคาล ที่ปัจจุบันมีนักวิชาการหลายท่าน บอกว่า มันไม่น่าจะมีอยู่จริงๆ บนโลกใบนี้ "มาสู่พม่าจากแผ่นดินบ้านเกิดของพวกเขา ที่ได้อยู่ในทิศตะวันออก" นี่คือ ทวีปมู หรือทวีปเลมูเรียที่อินเดีย
จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล (Naacal) นำความรู้วิทยาการต่าง ๆ ศาสนาโบราณ การบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์มาสู่มายา, ไอยคุปย์ (ตอนเหนือ), อารยัน (ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพ เมื่อครั้งลงมาอยู่ชมพูทวีป)
นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการเผยแพร่ศาสนาโบราณ และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และไอยคุปย์ (ตอนใต้) ในขณะที่ ซาอีร์ ปฏิบัติตามศาสนธรรมของโธท (Thoht) บูชาเทพโอซิริส ขณะเดียวกัน ชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า “เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา”
รวมถึงพีระมิดแห่งเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้ (Mexico City) คำจารึกของพีระมิดกล่าวไว้ว่า “พีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก” ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลาง รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา
ประโยชน์ส่วนหนึ่งของวิหารพีระมิด ใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด และประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน
การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุดของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง, ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่เรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา (Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่า และพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก (Genesis)
https://www.silpa-mag.com/history/arti
ผู้เขียนขอวิเคราะห์คาแรกเตอร์ของพระอินทร์ ในเวบนี้ต่อเลยนะครับ ใกล้จะจบแล้วล่ะ
เนื่องจาก ในย่อหน้าแรกของบทความนั้น มันไม่ชัดเจน ผู้เขียนบล้อกก็เลยขอลองจินตนาการอีกแบบนึงบ้างว่า หากชนเผ่าที่นับถือพระอินทร์เผ่านั้นๆ ลงมาที่อินเดียหรือบริเวณชมพูทวีปก่อนล่ะ ?จะเป็นไปได้ไหม แล้วค่อยอพยพเข้าไปที่กรีซ และดินแดนยุโรปทีหลัง?
แล้วก็มาทำให้มียุคพระเวทเกิดขึ้นในอินเดีย เมื่อราวๆ4000BC ต่อมา ความนิยมในตัวพระอินทร์ตกต่ำลง เพราะว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีเหล่าบรรดาเทพตรีมูรติเกิดขึ้นมา และทั้งองค์อื่นๆอีกมากมาย เป็นสาเหตุหลักสำคัญ เผ่านี้ก็เลยจึงหนีเข้าไปอยู่อาศัยที่กรีซ จากพระอินทร์ก็จึงกลายเป็นเทพซุส และเทพทอร์ ตามลำดับเช่นอย่างนี้
ในกรณีนี้ ยิ่งเป็นไปได้ยากมาก หรือว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย (แถมเพิ่มปัญหาและความน่าฉงนด้วยอีกสิ่งหนึ่งว่า เหตุใดพวกเขาจะต้องไปที่กรีซ ทำไมไม่ไปที่อื่นก่อน) ยิ่งสมมุติว่าถ้าเราเชื่อที่เอ็ดการ์ เคย์ซีบอก ว่าแอตแลนติสได้จมลงและสูญสลายลงไปในยุคโฮโลซีน คือ เมื่อราวๆ11,700BC ที่ผ่านมา ตามที่เขาชี้แจงในสื่อนั้น
เผ่าที่นับถือเทพพระอินทร์ชนเผ่านี้ จะเอาความเชื่อเรื่องพระอินทร์ไปให้กรีซ หรืออาณาจักรแอตแลนติส ที่ได้จมลงนานแล้ว ไปเพื่อสิ่งใดกัน ?? นอกจากอินเดียยังไม่เอาแล้ว แล้วยังเข้ามายุคสมัยหลังแอตแลนติสล่มสลายอีก (คือเทพซุส นั่นล่ะครับ) ชาวกรีกที่เป็นชาวฝรั่งคอเคซอยด์เช่นนั้นและเหล่านั้น จะยอมรับนับถือเทพเหลือๆของพวกเอเชียเราหรือครับ??!!!
ย่อมเป็นไปได้น้อย ที่เค้าจะลดศักดิ์ศรีของตนเองมาขนาดนั้นมานับถือเทพที่มาจากเอเชีย และเทพที่เค้านับถือ ก็ต้องสามารถที่จะดลบันดาลความสุข ความสบาย ความอุดมสมบูรณ์ ข้าวปลาอาหารต่างๆ9ล9 แต่มาแล้ว อาณาจักรแอตแลนติสก็ล่มสลาย ชาวกรีกจะนับถือถึงขั้นยกให้เป็นกษัตริย์ของแอตแลนติสหรือครับแบบนี้???
ทวีปแอตแลนติสขณะที่กำลังจะล่มสลาย ผู้เขียนพินิจว่า ทวีปนี้น่าจะล่มสลายเมื่อหลักแสนปีBCขึ้นไปด้วยซ้ำไป ไม่น่าจะใช่ในยุคโฮโลซีน อย่างที่เคย์ซีหรือใครๆหลายท่านกล่าวอ้าง และมันก็น่าจะเป็นทวีปมู ที่บักเจมส์ไปจำก้อปปี้มา
และเมื่อเปรียบเทียบตัวเลขของการเกิดของยุคพระเวทเมื่อราวๆ4000BC กับตัวเลข ที่แม้กระทั่งจะไม่จริงของการกล่าวของเอ้ดการ์ เคย์ซี ในเรื่องราวการจมลงของแอตแลนติสเมื่อ11,700 BC -12,000BC นั้น เอาสองชุดมาเปรียบกัน ก็จะเห็นความยาวนานก่อน-หลังของเวลา ที่มิอาจจะเป็นไปได้เลย
ผู้เขียนก็คิดว่ากรณีนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้ ผู้เขียนก็ลองคิดไปงั้นๆเองล่ะครับ ยิ่งมาเห็นในตอนกลางๆของบทความก็ยิ่งมั่นใจ ว่าเขาเขียนถูกแล้ว ถึงการเรียงลำดับไทม์ไลน์ว่าเดินทางมาจากฝั่งยุโรปก่อน แล้วจึงค่อยเข้ามาที่ทางตอนเหนือของอินเดียทีหลัง ในราวๆประมาณ4,000BCที่ผ่านมา
(เขียนถูก แต่ได้ข้อมูลมาผิดๆนะครับ ) แต่เรามาพิจารณาในย่อหน้าลำดับที่แปดของบทความนี้กันก่อนนะครับ อันกล่าวว่า
นอกจากนี้ คัมภีร์ปุราณะและมหากาพย์ต่าง ๆ ยังขัดแย้งกันเอง เล่าเรื่องพระอินทร์ไม่ตรงกัน จึงยากที่จะตัดสินได้ว่าเล่มใดบ้างเล่าเรื่องเดิม เล่มไหนแต่งแปลงใหม่ตามเงื่อนไขสังคมที่เปลี่ยนไป หรือเขียนเลอะเทอะไม่รู้เรื่อง
ในการกล่าวแบบนี้ของผู้เขียนบทความ สามารถใช้ประกอบเป็นหลักฐานเพิ่มความหนักแน่นในข้อสงสัยของผู้เขียนบล้อกที่ว่า ประวัติและความเป็นมาของพระอินทร์อาจจะถูกตกแต่งหรือบิดเบือนในภายหลังได้เหมือนกันครับ เนื่องจากเขาบอกว่ามันมีหลายสำนวนที่เกี่ยวกับพระอินทร์ที่แตกต่างกันอย่างน่าแปลกใจนั่นเอง
ตอนกลางๆของบทความนั่นคือ ในย่อหน้าที่สิบสาม ของนิตยสารศิลปะ วัฒนธรรม ซึ่งเขาบอกว่า
วีรกรรมที่สำคัญของพระอินทร์ในพระเวท คือการประหาร “วฤตระ” (จาก รากศัพท์ “วฤ” ที่แปลว่า “กักขัง” หรือ “ยับยั้ง”)
หรือว่านี่จะคือ "วฤตระ"ในคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์-ฮินดู???นาคที่ได้กักเก็บน้ำเอาไว้ จนกระทั่งพระอินทร์ต้องไปปราบมัน แต่ชาวอาร์เมนอยด์เปอร์เซียที่ลงมาอยู่ทีหลังชาวพราหมณ์ บอกว่านี่คือ ปีศาจแห่งฤดูหนาวของพวกเขา
ไม่มีใครรู้แน่ว่า วฤตระเป็นตัวอะไร แต่บางท่านเสนอว่าน่าจะหมายถึง “ปีศาจแห่งฤดูหนาว” ที่กักขังน้ำในแม่น้ำ ลำธารเป็นน้ำแข็งไม่ให้ไหล และยับยั้งฝนให้เป็นหิมะ ทำให้หญ้าเที่ยว ปศุสัตว์อดอยากไม่ให้นม หากมองจากมุมมองของคนในประเทศหนาวก็น่าจะเป็นไปได้ อย่าลืมว่าพระอินทร์มีวรรณะสีเขียว เหมาะจะเป็นเจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิที่นำฝนฟ้าใหม่มาล้างแห้งแห่งฤดูหนาว
"วฤตระ " ปีศาจแห่งฤดูหนาว แต่ไปอยู่ในคัมภีร์พระเวทของชาวเอเชียได้อย่างไร ?!!มีคำตอบที่น่าคิดครับ
ท่านผู้อ่าน ลองสังเกตช่วงระยะเวลาสองช่วงระยะเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ นั่นคือ
ระยะเวลาที่ชาวอารยัน ที่นับถือเทพพระอินทร์ เดินทางเข้ามาในอินเดียภาคเหนือในปัจจุบัน คือ เมื่อประมาณ4,000BC-3,000BC และเมื่อสมัยยุคพระเวท เกิดขึ้นมาในอินเดีย คือ เมื่อราวๆ4000BC -2500BC
นั่นมันเป็นช่วงระยะเวลาที่คาบเกี่ยวและต่อเนื่องกัน มันอาจจะหมายถึงว่า ชาวเผ่านี้นั้น ซึ่งผู้เขียนบล้อกขอสรุปว่าคือพวกชาวอาร์เมนอยด์ เปอร์เซียเลยนะครับ (ที่อพยพเข้ามาแล้วนั้น พวกเขาสามารถที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือดัดแปลง ตกแต่ง หรือแก้ไขตำรับตำราต่างๆของคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้ไม่ยาก
ไม่ว่าจะในคัมภีร์พระเวท หรือในปุราณะ,)
แล้วคำว่า "วฤตระ" นี่หรือครับ ?คือตัวอย่างของภาษาโปรโต-อินโด-ยูโรเปียน ที่ว่า มาจากชนเผ่าเร่ร่อนนั้นในแถบเอเชียกลาง และยุโรปนั้นๆ นี่ก็เป็นเพียงแต่เป็นคำที่มาจากบาลี- สันสกฤติ ธรรมดาๆ นี่เอง
ที่เอเชียเราต่างหากเป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นมาใช้และเขียนมันบนจารึกและในหนังสือต่างๆ ซึ่งใช้ตัวอักษร อักขระมคธ (เพราะว่าได้ประดิษฐ์ขึ้นที่เมืองมคธ ที่อินเดีย จึงเรียกว่า อักษรมคธ หรือ ภาษามคธ )
พระพุทธเจ้าเองว่ากันว่า พระองค์ทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่มคธ เมืองนี้ล่ะ จึงสันนิษฐานว่า พระองค์น่าจะใช้ภาษานี้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยเป็นหลัก
*แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระองค์น่าจะทรงพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษานะครับ เนื่องจากอินเดียในสมัยโบราณนั้น ผู้คนใช้ภาษาพูดกันหลากหลายแตกต่างกันในแต่ละเมือง
ภาษาบาลี-มคธยังเป็นตัวอักษรชนิดเดียวกัน ที่ต่อมาเราใช้บันทึกเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาและคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถาต่างๆในเวลาต่อมาด้วย
ภาษามคธ ที่ปัจจุบันนำมาบันทึกในตำรับตำราพระพุทธศาสนา พระไตรปิฏก และอรรถกถาต่างๆนั้น เกิดขึ้นที่เมืองมคธ รัฐพิหาร ของอืนเดีย เป็นสถานที่แรกบนโลก แต่ไม่ใช่ที่เขมรนะครับ อันนี้เป็นการเข้าใจผิด
เดี๋ยวเราจะมาวิเคราะห์ภาษาและตระกูลของภาษานี้กันนะครับ มันมีรายละเอียดค่อนข้างมากและเยอะด้วย บางท่านอาจจะสงสัย แล้วมีกับไม่มีโปรโต นำหน้าอินโด-ยูโรเปียนนั้น ทั้งสองแบบมันต่างหรือเหมือนกันอย่างไร?หรือว่าก็คือสิ่งๆเดียวกัน แล้วเมืองมคธ มีสภาพเป็นอย่างไรจะถูกตกแต่งประวัติคล้ายๆกับกรุงกบิลพัสดุ์รึเปล่า?
มันมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ผู้เขียนขอวิเคราะห์ของโพสจังก่อนนะครับ
แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ผู้เขียนบล้อกมั่นใจว่า การโกหกเรื่องนี้ มาจากบริเวณใดก่อน และไปหาบริเวณใดต่อมา ผู้เขียนบทความ ยังได้ยกเอาโคลงโบราณของชาวยุโรปมาประกอบด้วย เพื่อจะให้เห็นว่า พระอินทร์นั้นอยู่ในชนเผ่าซึ่งเคยเร่ร่อนในดินแดนของเค้ามาก่อน แต่ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจหรอก
ว่าท่านกวีนิพนธ์ท่านนั้น เขียนยกย่องสดุดีพระอินทร์หรือเทพไท้องค์ใดกันแน่ครับ? ผู้เขียนจึงไม่ขอเอามาลงดีกว่า ขี้เกียจวิเคราะห์ด้วย เพราะคงยากและก็ไม่มีประโยชน์อะไร
" วฤตระ "ก็มีความหมายคล้ายๆ กับ "หนาว "ของฝรั่งเหมือนกันครับ แต่ความจริงมันแปลว่า น้ำ หรือน้ำฝน หรือฤดูฝน ต่างหากครับ น่าจะเหมาะสมกว่า พอมาเป็นปีศาจ ก็ทำหน้าที่กักขังน้ำ หรือทำให้เกิดความแห้งแล้งแห้งเหี่ยว ไม่อุดมสมบูรณ์ นี่ก็เป็นหลักฐานที่ปรากฏในตำรับตำราของพราหมณ์-ฮินดู ถึงการเข้ามายุ่มย่ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตำรับตำราด้วย ของพวกอาร์มินิดส์
มันเป็นทั้งคำวิเศษณ์และกริยาด้วย ถ้าใช้เป็นวิสามานยนามหรือเป็นนามเฉพาะ ก็แปลว่า บุคคลหรือผู้ที่มีคุณลักษณะอย่างนี้ หรือ ทำกริยาอย่างนี้ เป็นต้นก็ได้ครับ นี่เป็นภาษาที่จัดอยู่ในตระกูล โปรโต-อินโด-ยูโรเปียนหรือ ? แล้วผู้ใดกันล่ะ ? ที่คิดค้นภาษาตระกูลนี้ และเมื่อใด?ใช่ในสมัยเดียวกับของบักเจมส์ไหมนะ?
วฤตระ ในคัมภีร์พระเวทนั้น หมายถึง นาคที่เกเรไปกักเก็บน้ำท่าของชาวบ้านครับ บันดาลไม่ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พระอินทร์ท่านก็ทรงไปปราบ ด้วยสาเหตุนี้หรือไม่ ?ไม่อาจทราบได้ จึงทำให้ชาวพราหมณ์-ฮินดูในเวลาต่อมา ไม่ค่อยชอบพฤติกรรมของพระองค์ที่ได้ไปรังแกพวกพญานาค จึงได้ลดชั้นของพระอินทร์ลง
ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ผู้เขียนตรองว่า ภาษาโปรโต-อินโด-ยูโรเปียน นี่ล่ะครับ คือเครื่องมือตรงกลางที่ใช้ในการแต่งเรื่องชั้นงามเกี่ยวกับพระอินทร์และชาวอารยันอาร์เมนอยด์ ของอารยัน-นอร์ดิกส์ให้มีความสัมพันธ์กัน (แต่ตอนพวกอาร์มินิดส์เข้ามา ยังไม่มีรูปแบบ ของภาษาโปรโต-อินโด-ยูโรเปียนเกิดขึ้น เพิ่งมีมาในช่วงศตวรรษที่19 นี่เอง) ทั้งๆที่ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกันได้เลย ถ้าจะมองถึงความเป็นไปได้ต่างๆ และถ้าจะแต่งก็คงจะสมัยเดียวกับบักเจมส์แน่ๆเลยคือในศตวรรษที่19ครับ
ส่วนเหตุผล ที่ทำไมชาวอาร์เมนอยด์ที่ได้เข้ามา จึงได้มีความสนอกสนใจในตัวเทพองค์อินทร์ของพวกพราหมณ์-ฮินดูนัก ทำไมจึงไม่ไปยุ่งเกี่ยวมีส่วนร่วมขอแต่งประวัติกับเทพองค์อื่นๆ ???
นั่นก็เพราะเมื่อพวกเขาได้เมื่อเข้ามาที่อินเดีย ก็พบว่าพวกพราหมณ์-ฮินดูนั้น ต่างก็ได้นับถือพระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะนี่แล้วล่ะกันอย่างมากและแพร่หลายในอินเดีย
เนื่องจากเป็นเทพที่เกิดขึ้นมาองค์แรกๆในศาสนาพราหมณ์ พวกอาร์เมนอยด์ที่เข้ามาพบเจอ จึงอาจเกิดสนใจและอยากมีส่วนร่วมในการตกแต่ง ดัดแปลง แก้ไขตำราของพราหมณ์เค้า ตามธรรมดาของพวกที่อาจจะมีร่างกายสูงใหญ่กว่า ชอบรังแกคนพื้นเมือง และก็ยังชอบขีดๆเขียนๆด้วยเป็นทุนเดิม
ในย่อหน้าที่ถัดจาก เรื่องวฤตระนี้ ก็ทำให้เราได้ทราบถึงรายละเอียดข้อเท็จจริงของชาวอารยัน เปอร์เซีย ว่าพวกเขาได้เข้ามายังอินเดียทางตอนเหนือในสมัยใด คือเมื่อประมาณ 4000BC - 3000BC พวกเขาเดินทางอพยพเข้ามาจริงครับ แต่เป็นเผ่าที่ไม่ได้นับถือท้าวสักกะ หรือสนใจที่จะเคารพพระอินทร์แต่อย่างใด
แม้กระทั่งตัวเลขการหายไปของแอตแลนติสลวงๆที่11,700BC ของเคย์ซีในช่วงยุคโฮโลซีนนั้น ยังไม่ถูกต้องเลย เพราะยุคพระเวทที่อินเดียเริ่มประมาณ 4000 BC ดังนั้น พระอินทร์ก็ไม่น่าจะไปอินเดียก่อนกรีซ
เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้น เกิดอาจจะสนใจในตำนานของเทพพระอินทร์หรือท้าวสักกะ ที่ชาวอารยันพื้นเมือง คือชาวพราหมณ์-ฮินดูนั้นแต่งขึ้นมาในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่พวกเขาจะอพยพหนีภัยธรรมชาติในช่วงยุคโฮโลซีนมาที่อินเดีย เช่น มีผมและเคราสีทอง ชอบดื่มสุรา ส่วนชาวพื้นเมือง ก็จะแต่งว่ามีผิวพรรณสีแดง
ด้วย ก็แต่งคาแรกเตอร์ของพระอินทร์กันแบบนี้ล่ะ แย่งกันไป แย่งกันมา ตามแต่ยุค แต่สมัย ระหว่างชาวอารยันพื้นเมืองที่เป็นชาวพราหมณ์กับชาวอารยันเปอร์เซีย ในขณะสมัยที่พระองค์ทรงเป็นเทพเกิดใหม่ที่กำลังบูมๆเป็นที่นิยมคลั่งไคล้ จนกระทั่งมีเทพตรีมูรติ และองค์ใหม่กว่า เกิดขึ้นมามาก
กอรปกับอาจจะมีชาวพราหมณ์-ฮินดูเค้าไม่ชอบบุคลิกลักษณะขององค์อินทร์ ที่มีนักเขียนท่านใดไม่ทราบ เพราะมีเยอะ ไปแต่งผิดใจ อ่านแล้ว รู้สึกว่าไม่เหมาะจะเป็นเทพให้ผู้คนเคารพนับถือนัก พวกเขาก็ตัดออกจากในสารบบของพราหมณ์-ฮินดู แล้วหันไปเคารพนับถือเทพใหม่ๆที่ถูกจริต ถูกนิสัยกว่า
พระอินทร์เกิดหรือถูกสร้างขึ้นมาจากที่ไหน?ก็คำว่า อินทร์ นี้มาจากไหนกันล่ะครับผู้อ่าน ก็มาจากอินเดีย อินเดียนั่นล่ะครับ คือผู้เนรมิตเทพพระอินทร์ขึ้นมาแห่งแรกของโลก โดยชาวพราหมณ์-ฮินดูก่อนนะครับ (ซึ่งก็ถือว่าคือ อารยันกลุ่มหนึ่ง เรียกว่า ชาวอารยันพื้นเมือง) ก่อนที่ท่านจะมาสมัครเปลี่ยนใจหันมาเป็นพุทธมามกะ เคารพนับถือพระพุทธเจ้าของเรา
พระอินทร์หรือว่าท้าวสักกะ ที่เปลี่ยนใจหันมานับถือและเคารพพระพุทธศาสนา
แล้วสาเหตุอันใดกันล่ะ ?ที่ชาวคอเคซอยด์หรือชาวตะวันตก เค้าต้องการจะเอาพระอินทร์ของเรา ไปเป็นของเค้าเสียละเกิน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า อยู่ในพระพุทธศาสนาและก็เกิดที่อินเดีย ไยต้องจะให้เป็นเทพของฝรั่ง หรือว่าเพราะความเป็นอารยันของพวกเขา และก็เข้าใจผิดว่าพระพุทธองค์ก็เป็นชาวอารยันด้วยเหมือนกัน
นั่นก็เป็นเพราะสาเหตุหลักๆคือต้องการจะบลัฟกันระหว่างพราหมณ์กับศาสนาพุทธ (ท้าวสักกะทรงมีพระนิสัยแย่ๆ) และพุทธศาสนากับชาวฝรั่งนั่นเอง (ท้าวสักกะเกิดเพราะฝรั่ง) และความต้องการจะอยากจะครอบครอง รวมถึงความเข้าใจผิดพลาดและสับสนในชาติกำเนิดของพระพุทธเจ้า
อารยัน คำๆนี้ ก็มาจากอารยะ อันแปลว่า เผ่าพันธุ์ที่มีอารยะธรรมสูง ซึ่งตรงกันข้าม กับเผ่าพันธุ์บ้านป่า เมืองเถื่อน ที่ไร้การศึกษา และไม่มีคุณธรรม มโนธรรม ที่เราเรียกว่า เผ่าอนารยะชน ถ้าจะวัดในเรื่องความมีอารยธรรมกัน ผู้เขียนก็คิดว่า พระพุทธองค์ก็นำพาความเป็นอารยะให้กับชาวพุทธทั่วโลกได้ ตลอดจนศาสนิกชนอื่นๆอีกมากมาย ถือเป็นชาวอารยะได้เช่นกันครับ
แต่เป็นอารยะนะครับ ไม่ใช่เป็นอารยัน และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นด้วยครับนะครับชาวอารยัน
คราวนี้ เราจะวิเคราะห์ทวีปมู ของบักเจมส์ในโพสจัง เพราะว่ามันใกล้กันมาก หมายถึง ทวีปมูของบักเจมส์ กับอาณาจักรแอตแลนติสนะครับ มีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งบริเวณที่ตั้งในแผนที่ ขนาด (แต่ตรองว่า แอตแลนติสน่าจะมีขนาดใหญ่กว่า เพราะอยู่ใต้มหาสมุทร ส่วนทวีปมู ถูกขนาบด้วยแผ่นดินใหญ่ทั้งสองฝั่ง น่าจะมีขนาดเล็กกว่า)และอีกอย่างหนี่งคือ ลักษณะทางคุณภาพ
เช่น ตำนานและเวลาที่การล่มสลายด้วยภัยทางธรรมชาติคล้ายๆกัน ความเป็นอยู่ของประชากรที่ศิวิไลย์คล้ายๆกัน ( แต่ทวีปมูของบักเจมส์ จะมีชนชั้นผู้นำเป็นชาวผิวขาวนะครับ อันนี้ เป็นข้อแตกต่าง
ถึงแม้ว่ามันจะตั้งอยู่ในระนาบเกือบจะเดียวกันนะครับ) ส่วนอาณาจักรแอตแลนติส เอ้ดการ์ เคย์ซีแจงว่า เป็นชนชาวผิวแดง ผู้เขียนบล้อกไม่ค่อยเชื่อถือนักพลังจิตของอเมริกาท่านนี้เท่าใดเลย กับข้อมูลที่เขาให้สัมภาษณ์
แต่โอกาสหน้า ผู้เขียนจะลองไปค้นหาข้อมูลจากท่านอื่นมาเขียนให้นะครับ(แต่ผู้เขียนบล้อกคิดว่าน่าจะมีลักษณะเป็นชนชาวผิวขาว พิจารณาจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชาวกรีกในสมัยโบราณนะครับ ที่นิยมใส่สีโทนขาวสว่างๆกัน ไม่เคยใส่สีมืดๆทีมๆเลย)
สำนวนเกี่ยวกับแม่น้ำคงคาในย่อหน้าที่สองของโพสจังดอทคอมก็เช่นกัน ก็มีความคล้ายกับตำนานการล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติสเช่นกันครับ มีเรื่องของจุดเริ่มต้นและก็จุดจบของวัฏจักร เพียงแต่เปลี่ยนจากมหาสมุทรแอตแลนติสมาเป็นแม่น้ำคงคาเท่านั้นครับ
เรื่องของน้ำและการชำระบาปของมนุษย์นี่ก็คล้ายๆกันอย่างน่าประหลาดใจ (ทวีปมู เป็นแม่น้ำคงคา ที่ไหลลงมาจากภูเขาไกรลาศ)มันคล้ายกัน เสียจนผู้เขียนบล้อกตรึกว่า มันอาจจะคือสถานที่เดียวกันก็ได้ ที่ความทรงจำของบักเจมส์ไปก้อปปี้มาเอามาใส่นะครับ
ในย่อหน้าที่สามของโพสจัง จะสังเกตถึงการเหยียดหยามท้าวสักกะและวงศ์ตระกูลท้าวสักกะของฤาษีกปิละ ผู้อยู่ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แสดงถึงความสัมพันธ์ของพระอินทร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เริ่มจะสั่นคลอนและเฉยชาต่อพระองค์แล้วเวลานั้นในบทความ
และเพราะว่าได้เกิดมีเทพใหม่ๆมากมาย
ในย่อหน้านี้ ทำให้ทราบว่ามีการใช้ม้ากันด้วย อันนี้ถูกต้องครับ
น่าจะคือชาว
อาร์เมนอยด์ นั่นเอง ที่ได้อพยพลงมากันแล้ว ซึ่งถ้าหาก วิเคราะห์จากนิสัยและพฤติกรรมที่ปรากฏอยู่ในบทความ ก็จะพบว่า พวกเขาน่าจะเป็นชนชาติที่ชอบใช้ม้ากัน
เป็นพาหนะและมีความผูกพันกับมันมากมายเพียงใด
ตั้งแต่ในราวๆ4,000BC -3,000BC เเต่พวกเขาคงจะไม่ได้นำเรื่องราวของพระอินทร์หรือท้าวสักกะติดมาแน่นอนครับ จะเห็นว่ามีลักษณะของการดูหมิ่นและเหยียดหยามท้าวสักกะของชาวพื้นถิ่นในย่อหน้าที่สามของฤาษีกปิละ
ถ้าเป็นเทพชาวต่างชาติจริงๆ พวกเขาคงจะไม่กล้ากระทำกริยาแบบนั้นกับแขกผู้มาเยือนอย่างชัดเจนออกสื่อขนาดนั้นแน่นะครับ อาจจะต้องใช้เวลายาวนานมากสักหน่อย หรือแอบๆกระทำ
ผู้เขียน จึงเห็นว่า พระอินทร์น่าจะเป็นเทพของอินเดียมากกว่า เป็นเทพของชาวพื้นถิ่นนี่ล่ะครับ จึงดูถูกหมิ่นกันได้ง่ายกว่าอะไร อีกทั้ง พวกที่ลงมาที่เป็นเหมือนฝรั่งกึ่งๆนั้น ก็ยังสามารถทำทั้งที่จะยกย่องเอาเข้าไปเป็นพวก หรืออาจจะดูถูกก็ได้ ทำได้เลยทั้งสองอย่างในกรณีนี้
ในย่อหน้าที่แปด กล่าวว่า เมื่อชาวอารยันเมื่อได้ลงมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพ คือเปลี่ยนให้พวกนักบวชนาอะคาล มาเป็นวิษณุเทพ !!!??
ชาวอารยันในโพสจังนี้ ก็คงจะหมายถึงชาวเปอร์เซียนั่นล่ะครับ เวบโพสจังกล่าวในย่อหน้าที่แปดในทำนองราวว่า ชาวอาร์เมนอย์นี่เอง คือผู้สร้างศาสนาพราหมณ์-ฮินดูด้วยตนเอง มิใช่ชาวพราหมณ์พื้นถิ่นเลย
ซึ่งนี่ก็มิถูกต้องแล้วครับ แถมยังขัดแย้งอีกด้วย หากสมมุติว่าพวกเขานำความเชื่อคติของพระอินทร์ เข้ามายังอินเดียจริงๆ ไยต้องปล่อยให้พวกพราหมณ์-ฮินดู (ซึ่งศาสนาพราหมณ์นั้นพวกตนก็เป็นผู้สร้างขึ้นมานะ ตามที่อ้างในโพสจัง) มาดูหมิ่นเทพพระอินทร์ของพวกตนด้วยในเวลาต่อมา
ในย่อหน้าที่เก้าก็สัมพันธ์กับย่อหน้าที่แปด ที่ตอนต้นกล่าวว่านักบวชนาอะคาลได้อพยพเข้ามาสู่อินเดียทางตอนเหนือ ส่วนย่อหน้าที่แปด โพสจังได้ใช้คำว่า อารยันแทนคำว่า นักบวชนาอะคาลลงไปเลย ซึ่งก็หมายถึงสิ่งเดียวกัน แต่ทว่า มันมิถูกต้องนะครับ
ผู้เขียนว่า สงครามชายแดนเนี่ย มีเบื้องลึกเบื้องหลังนะครับ
เค้าก็เส้น มีสาย มีสปาย มีเงินของเค้า แล้วไอ้คนของเราก็คงจะเป็นประเภท มันนี่ๆๆ (ทีนี้ พอมอนนี่อิ่ม ก็จะให้ไสหัวไป ไม่นึกถึงตอนนั้นบ้างล่ะครับ อ.แลน นี่พูดบ้าอยู่ทุกวัน อยากให้ได้สองศูนย์ ให้พี่ริวแตดใช้)
ความเป็นจริง เรื่อง ตำนานพระมหาจักรพรรดิ หรือว่า ท้าวสักกะนี้ พวกฝรั่งชาติตะวันตกเค้าก็รู้และเริ่มระแคะระคาย อยากจะสืบ อยากจะได้ครอบครองมาตั้งนานแล้วครับ คนไทยขายชาติ ขายศาสนา ที่เป็นสปายให้พวกมันก็มี อยากจะเป็นท้าวสักกะเองเลยก็มีเหมือนกัน
อย่างเช่น ครูอินทรา ที่อ้างตัวเองว่าเป็นท้าวสักกะ นั่นไงครับ รายนึง (ดังนั้น มันนี่ ก็อาจจะไม่จำเป็นมากนัก รวมถึงการเน้นไปที่สร้อยของพวกริษยาด้วย อันนี้ยิ่งไปกระตุ้นตัณหาของมันใหญ่)ที่ตอนนี้ไปอยู่ปักหลักฐาวรที่อเมริกา ครูอินทรา ผู้มีความคิดฝันอยากจะรวมศาสนา และให้ศาสนาคริสต์อยู่เหนือสูงสุด โดยสถาปนาตัวเองให้เป็น ดาวิด
จะมาพิพากษาโลก (อ้างตนว่า เป็นท้าวสักกะมาเกิด แต่อยากให้คริสต์อยู่เหนือที่สุด แปลกดีรึป่าวครับ มันยุติธรรมหรอครับแบบนี้? ความคิดของพวกขายชาติ พวกบ่อนทำลายศาสนาไปอยู่อเมริกา แล้วตอนนี้ แถมมีสัญชาติไทยด้วย!!!???)
คล้ายๆกับคุณนาตาลี ตื่นรู้เลย ที่ได้เคยกล่าวไว้ ซึ่งเธออาจจะเข้าใจผิดมาหลายประการ อันมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐป้อนข้อมูลความรู้ให้เธอและกลุ่มของพวกเธอมาอย่างก็ไม่เข้าใจในความเป็นมาของพระพุทธศาสนาดีเฉกเช่นกัน ในลักษณะบางอย่างจึงเหมือนกับสปาย
มาสืบค้นข้อมูลของพระพุทธศาสนาของเรา แต่ก็คนละแบบอย่างที่ครูอินทรากระทำนะครับ เธออาจจะไม่รู้ แต่ครูอินทรานั้นในหัวสมองมีโปรเจ้คส์ใหญ่เลยล่ะ (แต่เขาก็มีอายุเยอะแล้วนะครับ ท่านนั้น )คุณนาตาลี ที่ปัจจุบันนี้ก็ได้ไปใช้ชีวิตที่นั่นเช่นกันเหมือนครูอินทรา
ก็สนอกสนใจศึกษาเรื่องทวีปแอตแลนติสนี้อยู่มากเหมือนกันนะครับ (ซึ่งผู้เขียนก็คิดว่า มันน่าจะเป็นทวีปเดียวกับมูของบักเจมส์)
คุณนาตาลี ตื่นรู้ ได้เรียกลักษณะของตาที่เป็นรูปคล้ายๆก้นหอยเกลียวๆที่ได้ปรากฏบนมหาสมุทรแอตแลนติส ว่า "ตารู้" เพราะว่าชาวเกาะแอตแลนติสนั้น เค้านิยมนั่งสมาธิกันมาก และคนที่อาศัยกันอยู่ที่นั่น ต่างก็มีสติปัญญาและศีลธรรมอันดีงามกันทุกคน
สามเหลี่ยมอันแสดงถึงพลังแห่งสากลจักรวาล (ต้องปลายแหลมขึ้นสู่อากาศ) มันจะปรากฎอยู่เป็นสัญลักษณ์ในศาสนาที่สำคัญต่างๆของโลก ในอาณาจักรโบราณต่างๆ เช่น ปิรามิดในอียิปต์ ,มายา และในเอเชียกลาง รวมถึง คำว่า ตารู้ของคุณนาตาลีในแอตแลนติส ด้วย
อันคำว่า" ตารู้ "นั้นที่คุณนาตาลีนิยามกับลักษณะทวีปแอตแลนติส บนมหาสมุทรแอตแลนติส มันก็คล้ายๆกับที่พระพุทธศาสนาของเราสอนมากเลยว่า ถ้าหากเรานั่งสมาธิ และได้อาจารย์สอนที่ถูกวิธีด้วย เราทุกคนก็จะสามารถมีตาใน หรือมีตาที่สาม สามารถที่จะใช้ตาใน หรือ ตาทิพย์นี้
ออกสอดส่ายดูโน่น ดูนี่ ที่สายตาของคนเราปกตินั้น ไม่อาจจะใช้มันได้เลย หากว่ามิสามารถจะได้รับการฝึกฝนที่ดีพอ แต่ถ้าคุณนาตาลี ตื่นรู้ จะใช้คำว่า " ตื่นรู้ " กับพระพุทธศาสนาของเรานั้น อันมีความหมายถึง ตา หรือดวงตา แต่มิใช่การตื่นรู้ในพระธรรมของพระพุทธเจ้า
ผู้เขียนพินิจว่า มันคล้ายๆกับการดูหมิ่นพระพุทธศาสนาของเราเหมือนกัน ผู้เขียนมิใคร่ชอบเลยในสิ่งนั้นเลย และบางครั้ง ผู้เขียนยังพินิจว่า เธอมีทรรศนคติที่เอียงไปทางศาสนาคริสต์มากกว่าศาสนาพุทธนิดหน่อย บางทีเธออาจจะนับถือศาสนาด้วยก็ได้ หรืออาจจะแค่ผูกพันมากกว่า จึงชอบมากกว่า ส่วนของเรามักจะดูว่ามีสิ่งใดปกปิดบ้างเป็นหลัก
แต่เธอก็มิได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดนะ บางทีเธอและกลุ่มพวกนั้นอาจจะต้องการข้อมูลความจริงที่เพิ่มมากขึ้นก็ได้ ชดเชยในสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐมอบข้อมูลให้กับกลุ่มเธอมาอย่างผิดๆและไม่เข้าใจ นั่นเอง (โดยมาเอาที่ผู้เขียน)
แต่ข้อมูลความรู้ของคุณนาตาลี ตื่นรู้ ที่ผู้เขียนได้รับมา บางครั้ง ก็มีประโยชน์กับส่วนรวมและผู้เสพย์อยู่มิใช่น้อยนะครับ เช่น ความรู้ที่ว่าในสมัยอดีตกาล ได้มีอาณาจักรโบราณที่คนบนเกาะอยู่ร่วมกับไดโนเสาร์ได้สบายๆ อันนี้มีจริงๆครับบนโลก นั่นก็คือ อาณาจักรเลมูเรีย นั่นเอง
https://www.silpa-mag.com/history/arti
*
https://www.facebook.com/100080078192459/posts/pfbid0MA3HP3DwurhSbJbGscVd33urMcaaCJpQpEd5h7HjjEZCjqGFmRNuUhYw5pNzYc1Zl/?app=fbl
https://postjung.com/tag/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B9
วิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์
วิทยาศาสตร์น่ารู้
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย