9 ส.ค. เวลา 08:00 • ธุรกิจ

‘LA GLACE’ ว่าที่แบรนด์พันล้าน จากเจ้าของอายุ 28 ปี ผลิตเท่าไหร่ ขายหมดเท่านั้น

จุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็น “LA GLACE” “ไอติม-เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์ และ “เฟรนฟราย-ทิวาทัพพ์ ธรารักษ์อนันต์” เป็นคู่รักวัยรุ่นที่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ระหว่างนั้น “ไอติม” เริ่มทำคอนเทนต์ที่ในยุคนี้ถูกนิยามว่า “อินฟลูเอนเซอร์” แต่เกือบสิบปีที่แล้วไอติมอยู่ในสถานะ “เน็ตไอดอล” เธอจึงพอมีเงินเก็บจากการรับงานรีวิวจำนวนหนึ่ง
ไม่นานทั้งคู่เริ่มชักชวนกันทำธุรกิจ ตั้งต้นจาก “โทนอัพเบส” ไปต่อกับ “สบู่ไข่” และ “คลีนซิ่งล้างหน้า” แบรนด์ประสบความสำเร็จจากการทำ Personal Branding ผ่านตัวไอติม ยอดขายพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมาเจอกับอุปสรรคก้อนใหญ่ สั่งผลิตสินค้าล็อตหลังและพบว่า ของไม่ได้คุณภาพ โดนยัดไส้จากโรงงานจีนต้นทาง ประกอบกับฝั่งโรงงานไทยที่ผลิตด้วยไม่ได้เชี่ยวชาญสินค้าสกินแคร์มากนัก
ครั้งนั้นเสียหายไป “20 ล้านบาท” ไอติมและเฟรนฟรายแก้ปัญหาด้วยการขายทุกอย่างที่มี อะไรแปลงเป็นเงินได้ขายให้หมด ทั้งรถยนต์ กระเป๋า เสื้อผ้ามือสอง ฯลฯ คิดเสียว่า จะมีเด็กอายุ 20 ต้นๆ ที่ไหนเอาเงินมาขาดทุนได้ตั้ง 20 ล้านบาท ขณะเดียวกันเริ่มวางรากฐานงานบัญชีให้แข็งแรงด้วย ช่วงปีแรกๆ ปั้นแบรนด์เพียง 2 คน หลังจากเข้าสู่ปีที่ 5 ในปี 2565 จึงเริ่มรับแอดมินและทีมงานส่วนอื่นๆ เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ
LA GLACE กลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง และเริ่มออกโปรดักต์ใหม่ๆ ที่ตั้งต้นจากความไม่เหมือนใครและต้องไม่มีใครเหมือน ปี 2564 “LA GLACE” ภายใต้การดำเนินงานของ “บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัด” มีรายได้ 13 ล้านบาท ปี 2565 โตขึ้นอีก 200% ทำเงินไป “39 ล้านบาท” การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อจากปี 2564 มาสู่ปี 2565 คือแบรนด์เริ่มปั้นทีม ทำระบบเทรนนิ่งพนักงานจริงจัง ยอดขายที่เติบโตขึ้นช่วยพิสูจน์ว่า ไอติมและเฟรนฟรายมาถูกทางแล้ว
และในช่วงปี 2566 ก็ถึงคราวก้าวกระโดดแบบ Big Step จาก 39 ล้านบาท “LA GLACE” ทำเงินไป “401 ล้านบาท” โตเกือบ 1,000% ในปีเดียว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มี “บลัชดำ” สินค้า Hero Product ออกสู่ท้องตลาด “ไอติม” ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จุดเริ่มต้นของบลัชดำมาจากไอเดียที่อยากเฟ้นหาสินค้าหน้าตาแปลกๆ เห็นภายนอกเป็นอีกแบบ แต่ใช้แล้วให้ผลลัพธ์อีกแบบหนึ่ง
เครื่องสำอางที่มีสีเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ หรือค่า pH ของแต่ละคนไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยมีลิปมันเปลี่ยนสีแบบนี้ในวัยเด็ก เพียงแต่ผ่านเวลาไปนานมากจึงอาจทำให้หลายคนหลงลืมกันไป แต่จะทำลิปแบบเดิมก็ไม่อยากให้มีภาพจำทับซ้อนกัน รวมถึงยังมีหมุดหมายเรื่อง “One fits all” ต้องเป็นสินค้าที่ใช้ได้ทุกเพศ ทุกวัย บลัชทาแก้มจึงลงตัวที่สุด
ปัจจุบัน “Hero Product” ของ “LA GLACE” มีทั้งหมด 3 ตัว ได้แก่ 1. โทนเนอร์แพด 2. บลัชดำ และ 3. คอนซีลเลอร์ โดยคอนซีลเลอร์เป็นโปรดักต์ที่ทำแบบซองเพื่อวางขายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่นด้วย เฉพาะ 3 ตัวนี้ ครอบคลุมรายได้ให้กับแบรนด์มากถึง 70% จากทั้งหมดที่มีอยู่ 80 SKU ปีนี้ “ไอติม” บอกว่า จะขยายเพิ่มอีก 20 SKU เป็นอย่างน้อย เน้นไปที่กลุ่มสกินแคร์เป็นหลักโดยยังคงคอนเซปต์เหมือนกับโทนเนอร์แพด คือเป็นสกินแคร์ที่ออกมาซัพพอร์ตเมคอัพ
แต่ปัญหาในการขยายให้ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มยังมีคอขวดที่กระบวนการผลิต “ธีรฑัต หนูดำ” ที่ปรึกษาด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ของ “LA GLACE” บอกว่า ถ้าเป็นไปตามไทม์ไลน์การผลิตที่คุยกับโรงงานไว้ มั่นใจว่า อย่างไรปีนี้ไปจบที่พันล้านได้แน่นอน ระบุว่า แบรนด์ยังมีความเสี่ยงหลายด้าน หลักๆ คือการพึ่งพาโรงงาน OEM และยังสเกลธุรกิจด้วยกระแสเงินสดของตัวเอง
สำหรับเป้าหมายปีนี้ของ “LA GLACE” คือการกระโดดสู่แบรนด์พันล้าน และภายในปี 2571 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ต้องไปให้ถึง “2,000 ล้านบาท” พร้อมหมุดหมายการเป็นแบรนด์เครื่องสำอางอันดับ 1 ในไทย โดยจะเดินหน้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ SET ในปี 2572 เพื่อขยายความแข็งแกร่งของแบรนด์
เน้นไปที่การจัดการโครงสร้างต้นทุนที่ถูกลงในคุณภาพที่ดีขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยังมีแผนทำบริษัทโฮลดิ้งซื้อแบรนด์จากไทยและต่างประเทศที่มีศักยภาพเข้ามาเติมพอร์ตโฟลิโอ อยากสร้างรากฐาน “LA GLACE” ให้แข็งแรง มองยาวไปถึงอนาคตอีกหลายสิบปี ถ้าไม่มีไอติมหรือเฟรนฟรายแล้ว แบรนด์ก็ต้องอยู่ให้ได้
โฆษณา