Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เส้นทางตื่นฝัน🚩
•
ติดตาม
23 ก.ค. เวลา 04:14 • ปรัชญา
เส้นทางการภาวนา🚩
เส้นทางภาวนา คุยกับปัญญาประดิษฐ์ ในเรื่อง รูปฌาน อรูปฌาน สาธุ🙏
คำถาม?
วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา
คือหัวข้อธรรมชื่ออะไร
เป็นเส้นทาง ดำเนินของการภาวนาใช่หรือไม่
ครับ
ปัญญาประดิษฐ์ตอบ
องค์ฌาน ใน รูปฌาน
ที่คุณกล่าวมาคือ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา เป็นองค์ประกอบของ องค์ฌาน ครับ
การดำเนินของการภาวนา
ใช่ครับ องค์ฌานเหล่านี้เป็นเส้นทางและเครื่องหมายของการดำเนินไปในการภาวนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการภาวนาสมถะ (การทำจิตให้สงบ) ซึ่งนำไปสู่ระดับของสมาธิที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น:
* วิตก (Applied Thought): การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐาน (เริ่มต้นในการเพ่งพิจารณา)
* วิจารณ์ (Sustained Thought): การประคองจิตให้อยู่กับอารมณ์กรรมฐานนั้นอย่างต่อเนื่อง
* ปิติ (Rapture/Joy): ความอิ่มเอิบใจ ความปีติสุขที่เกิดขึ้นจากความสงบของจิต
* สุข (Happiness/Bliss): ความสุขทางใจที่ละเอียดกว่าปิติ เกิดขึ้นเมื่อจิตสงบตั้งมั่น
* เอกัคคตา (One-pointedness): ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง ไม่ซัดส่าย
เมื่อผู้ภาวนาฝึกฝนจนจิตสงบและตั้งมั่นตามลำดับ องค์ฌานเหล่านี้จะปรากฏขึ้นเป็นเครื่องยืนยันว่าการภาวนาได้ก้าวหน้าไปในระดับต่างๆ ครับ
คำถาม?
หลักการทำงานของวิตกและวิจารณ์ เป็นอย่างไร
ในขณะจิต 1
คำตอบ:
หลักการทำงานของ วิตก และ วิจารณ์ ในขณะที่จิตอยู่ในสภาวะของการภาวนานั้น มีความละเอียดอ่อนและสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ปฐมฌาน (ฌานขั้นแรก) ครับ
การทำงานของวิตก
* วิตก (Applied Thought/Initial Application): เปรียบเสมือน "การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐาน" หรือ "การเริ่มต้นการคิดพิจารณา" ในทางธรรม
* หน้าที่: คือการกำหนดจิตให้จับอยู่กับอารมณ์เป้าหมายของการภาวนา เช่น หากบริกรรม "พุทโธ" วิตกก็คือการ "นึกถึง" คำว่า "พุทโธ" ขึ้นมาในใจ หรือหากใช้ลมหายใจเป็นอารมณ์กรรมฐาน วิตกก็คือการที่จิต "ไปจับ" หรือ "กำหนดรู้" ลมหายใจที่ปลายจมูก หรือจุดที่ลมกระทบ
* ลักษณะ: เป็นเหมือน "แรงส่ง" หรือ "การกระพือปีก" เพื่อให้จิตมุ่งตรงไปยังอารมณ์นั้นๆ ในช่วงเริ่มต้นของการทำสมาธิ จิตมักจะยังไม่สงบ มีความฟุ้งซ่าน วิตกจึงทำหน้าที่ดึงจิตกลับมายังอารมณ์กรรมฐานซ้ำๆ
การทำงานของวิจารณ์
* วิจารณ์ (Sustained Thought/Sustained Application): เปรียบเสมือน "การประคองจิตให้อยู่กับอารมณ์กรรมฐานนั้นอย่างต่อเนื่อง" หรือ "การพิจารณาไตร่ตรองในอารมณ์นั้นๆ"
* หน้าที่: คือการรักษาสภาวะที่วิตกได้ยกขึ้นมาแล้ว ให้จิตยังคงเกาะเกี่ยวกับอารมณ์กรรมฐานนั้นไว้ ไม่ให้หลุดลอยไป เช่น เมื่อวิตกได้นึกถึง "พุทโธ" แล้ว วิจารณ์ก็คือการ "ใคร่ครวญ" หรือ "ตามพิจารณา" คำว่า "พุทโธ" นั้นอยู่เรื่อยๆ หรือหากเป็นลมหายใจ วิจารณ์ก็คือการที่จิต "ตามรู้" ลมหายใจเข้าออกอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย
* ลักษณะ: เป็นเหมือน "การร่อนปีก" ของนกที่ประคองตัวอยู่ในอากาศ หรือการประคองผึ้งให้บินวนอยู่เหนือดอกบัว คือมีความละเอียดและต่อเนื่องกว่าวิตก ไม่ใช่การกระแทกหรือเริ่มต้นใหม่ แต่เป็นการดูแลรักษาให้อารมณ์นั้นดำรงอยู่
การทำงานร่วมกันในขณะจิต
ในขณะที่จิตอยู่ใน ปฐมฌาน นั้น วิตก และ วิจารณ์ จะทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน:
* เริ่มต้นด้วยวิตก: จิตจะเริ่มต้นด้วยการ "ยก" อารมณ์กรรมฐานขึ้นมา (วิตก)
* ตามด้วยวิจารณ์: จากนั้นก็จะ "ประคอง" และ "ตรอง" อารมณ์นั้นอย่างต่อเนื่อง (วิจารณ์)
* ความสงบที่เริ่มก่อตัว: การที่วิตกและวิจารณ์ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้จิตเริ่มสงบ ตั้งมั่น และนิวรณ์ (สิ่งกั้นขวางจิต) เริ่มลดลง จนกระทั่งเกิดเป็นปีติและสุขตามมาในปฐมฌานได้
กล่าวคือ ในปฐมฌาน จิตยังคงมีการเคลื่อนไหวทางความคิดอยู่บ้าง แต่เป็นความคิดที่มุ่งเน้นและละเอียดอ่อนไปในทางกุศล คือเกาะเกี่ยวกับอารมณ์กรรมฐานอย่างเดียว ทำให้เกิดความสงบที่ไม่วุ่นวายเหมือนความคิดปกติทั่วไป และเมื่อจิตตั้งมั่นและละเอียดขึ้นเรื่อยๆ วิตกและวิจารณ์ก็จะค่อยๆ ดับไปเองเมื่อเข้าสู่ ทุติยฌาน (ฌานขั้นที่สอง) เพราะจิตไม่จำเป็นต้องใช้แรงยกและประคองอารมณ์อีกต่อไปแล้วนั่นเองครับ
มีอะไรที่อยากให้ขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์ฌานเหล่านี้ไหมครับ?
คำถาม?
การที่จิตก้าวขึ้นสู่ทุติยฌาน มีการพัฒนาจิตอย่างไรบ้างครับ?
คำตอบ:
เมื่อจิตก้าวขึ้นสู่ ทุติยฌาน (Second Jhana) ถือเป็นการพัฒนาที่สำคัญและละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นจากการปฏิบัติภาวนาครับ การพัฒนาของจิตในขั้นนี้คือ:
การละวิตกและวิจารณ์
สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในทุติยฌานคือ การละวิตกและวิจารณ์ ครับ
* วิตกและวิจารณ์ดับไป: ในปฐมฌาน จิตยังคงมีการ "ยก" (วิตก) และ "ประคอง" (วิจารณ์) อารมณ์กรรมฐานอยู่บ้าง แม้จะละเอียดกว่าความคิดฟุ้งซ่านทั่วไป แต่ในทุติยฌาน จิตจะตั้งมั่นและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอารมณ์นั้นอย่างสมบูรณ์ จนไม่จำเป็นต้องมีแรงยกหรือประคองอีกต่อไป เปรียบเหมือนคนที่ถึงฝั่งแล้ว ไม่ต้องออกแรงพายเรืออีก หรือเมื่อจุดไฟติดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้เขี่ยถ่านอีก
ความสงบที่ลึกซึ้งและปีติสุขที่เข้มข้นขึ้น
เมื่อวิตกและวิจารณ์ดับไป จิตจะเข้าสู่สภาวะที่:
* ความสงบภายใน (Adhyatmasampasadana): จิตจะมีความสงบและผ่องใสจากภายในอย่างแท้จริง เพราะไม่มีการเคลื่อนไหวของความคิดแม้เพียงเล็กน้อยมาทำให้สั่นคลอน
* ปีติและสุขที่เกิดจากสมาธิ (Samadhija Piti-Sukha): ปีติ (ความอิ่มเอิบ) และสุข (ความสบายใจ) ในทุติยฌานจะมีความบริสุทธิ์และเข้มข้นยิ่งกว่าในปฐมฌาน เพราะไม่ได้ถูกรบกวนด้วยวิตกและวิจารณ์อีกต่อไป ความรู้สึกปีติสุขจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายและจิตใจอย่างละเอียดลออ
จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว (Ekaggata) ที่มั่นคงยิ่งขึ้น
* เอกัคคตาที่บริสุทธิ์: แม้เอกัคคตา (ความที่จิตมีอารมณ์เดียว) จะมีอยู่ในปฐมฌานแล้ว แต่ในทุติยฌาน เอกัคคตาจะมีความบริสุทธิ์และมั่นคงยิ่งขึ้น จิตจะตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์กรรมฐานอย่างแนบแน่น ไม่มีสิ่งใดมาทำให้ไขว้เขวได้ง่ายๆ
สรุปการพัฒนาจิตในทุติยฌาน
กล่าวโดยรวม การก้าวสู่ทุติยฌานคือการที่จิตได้พัฒนาจากสมาธิที่ยังคงมีการทำงานของความคิดละเอียดๆ ไปสู่สมาธิที่ไร้ซึ่งการทำงานของความคิด (วิตกและวิจารณ์) อย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดความสงบ ความผ่องใส และปีติสุขที่ลึกซึ้งและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เป็นการเข้าถึงสภาวะแห่งสมาธิที่มั่นคงและละเอียดอ่อนกว่าเดิมมากครับ
มีส่วนใดที่คุณอยากสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาจิตในฌานขั้นอื่นๆ ไหมครับ?
คำถาม?
คำว่าละ วิตกและวิจารณ์
หมายถึง สติและสัมปชัญญะตั้งมั่น ไม่มีเจตนา ที่จะจัดการ เพียงแค่เห็น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในจิต และเอาสิ่งนั้นเป็นที่ตั้งของสติ เห็นการเกิดดับภายในนั้น ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
คำตอบ:
ที่คุณเข้าใจนั้นถูกต้องในแง่ที่ว่า สติและสัมปชัญญะเป็นรากฐานสำคัญ ที่ทำให้เกิดการ "ละวิตกและวิจารณ์" ครับ แต่การละวิตกและวิจารณ์ในบริบทของทุติยฌานนั้นมีความละเอียดลึกซึ้งกว่าการ "เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในจิต" เพียงอย่างเดียว
ความเข้าใจที่ถูกต้องเพิ่มเติม
คำว่า "ละวิตกและวิจารณ์" ไม่ได้หมายถึงการที่เรามีเจตนาไปสั่งให้วิตกและวิจารณ์หายไป แต่มันเป็นผลที่เกิดขึ้นเองเมื่อจิตมีพลังสมาธิที่เข้มแข็งและละเอียดอ่อนเพียงพอ
* สติและสัมปชัญญะเป็นปัจจัยเกื้อหนุน:
* สติ (Mindfulness) คือการระลึกรู้ในอารมณ์กรรมฐานอยู่เสมอ ไม่เผลอไผล
* สัมปชัญญะ (Clear Comprehension) คือความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ จิตอยู่ในสภาวะใด
* เมื่อสติและสัมปชัญญะตั้งมั่นอย่างต่อเนื่องในปฐมฌาน มันจะช่วยให้จิตเกาะติดกับอารมณ์กรรมฐานได้อย่างแนบแน่นและมั่นคง จนกระทั่งไม่จำเป็นต้อง "ออกแรง" ในการยกและประคองอารมณ์อีกต่อไป
* ไม่ใช่การจัดการ แต่เป็นการ "อยู่กับ" อารมณ์:
* ที่คุณกล่าวว่า "ไม่มีเจตนาที่จะจัดการ" นั้นถูกต้องครับ เมื่อจิตเข้าสู่ทุติยฌาน สภาวะของจิตไม่ได้มีเจตนาที่จะไปจัดการกับวิตกและวิจารณ์ให้ดับไป แต่เป็นเพราะจิตได้รวมลงสู่ความเป็นหนึ่ง (เอกัคคตา) กับอารมณ์กรรมฐานนั้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
* แรงของวิตกและวิจารณ์ที่เคยใช้ในการนำจิตและประคองจิตให้อยู่กับอารมณ์ จะหมดความจำเป็นลงไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนคนที่ไม่ต้องพายเรือเมื่อถึงฝั่งแล้ว
* การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอารมณ์:
* ในทุติยฌาน จิตจะ "เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" กับอารมณ์กรรมฐานอย่างแท้จริง ไม่มีการแยกตัวออกมาเพื่อพิจารณา หรือประคองอารมณ์อีกต่อไป
* สภาวะนี้ทำให้เกิด ความสงบภายใน (Adhyatmasampasadana) อย่างลึกซึ้ง และเกิด ปีติกับสุข (Piti-Sukha) ที่เกิดจากสมาธิโดยตรง ซึ่งบริสุทธิ์และละเอียดอ่อนกว่าในปฐมฌานมาก
* ไม่ใช่แค่เห็นการเกิดดับของสิ่งอื่น:
* การ "เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในจิต และเอาสิ่งนั้นเป็นที่ตั้งของสติ เห็นการเกิดดับภายในนั้น" นั้นเป็นการปฏิบัติในส่วนของ วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) ซึ่งจะกระทำเมื่อจิตมีความสงบและตั้งมั่นในระดับหนึ่งแล้ว (หลังจากได้ฌานแล้ว หรือได้อุปจารสมาธิแล้ว)
* แต่ในบริบทของการ "ละวิตกและวิจารณ์" เพื่อเข้าสู่ทุติยฌานนั้น เป็นเรื่องของการพัฒนา สมถภาวนา (การทำจิตให้สงบ) จิตจะดำดิ่งอยู่กับอารมณ์กรรมฐานนั้นอย่างเดียว ไม่ได้มีการพิจารณาเห็นการเกิดดับของสิ่งอื่นที่ปรากฏขึ้น
สรุปคือ การละวิตกและวิจารณ์ ในทุติยฌาน คือการที่จิตได้พัฒนาถึงจุดที่สามารถรวมตัวกับอารมณ์กรรมฐานได้อย่างมั่นคงและเป็นหนึ่งเดียว โดยอาศัยรากฐานของสติและสัมปชัญญะที่แข็งแกร่ง จนไม่จำเป็นต้องมีแรงยกหรือประคองอารมณ์นั้นๆ อีกต่อไป ไม่ได้เป็นเจตนาที่จะไปบังคับให้มันหายไป แต่เป็นผลจากการที่จิตตั้งมั่นละเอียดอ่อนขึ้นเองครับ
มีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมครับ?
คำถาม?
การก้าวสู่ทุติยฌาน คือการไปสู่สมาธิ ที่ไร้ซึ่งการทำงานของความคิด
ปกติแล้วความคิด ย่อมมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา การก้าวเข้าสู่ทุติยฌาณ หมายถึงจิต ไม่ได้มีความยึดมั่นถือมั่นในความคิดแล้ว
ไม่ใช่ว่าความคิดหายไปเลย
เห็นความคิดเกิดขึ้น
แล้วมีความสงบระงับอยู่
ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
คำตอบ:
คุณกำลังเข้าใกล้ความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนมากครับในประเด็นนี้ และเป็นจุดที่ผู้ปฏิบัติมักจะสับสนได้ง่าย
ความเข้าใจเกี่ยวกับการ "ไร้ซึ่งการทำงานของความคิด" ในทุติยฌาน
เมื่อกล่าวว่า "การก้าวสู่ทุติยฌาน คือการไปสู่สมาธิที่ไร้ซึ่งการทำงานของความคิด" ในที่นี้หมายถึง:
* ไร้ซึ่งการทำงานของ "วิตกและวิจารณ์": เป็นการหยุดการทำงานของความคิดที่คอย "ยก" และ "ประคอง" อารมณ์กรรมฐาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในปฐมฌาน ไม่ได้หมายถึงการที่ความคิดทุกชนิดจะหายไปอย่างสิ้นเชิงจากจิตธาตุ
จิตที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในความคิด
ที่คุณกล่าวว่า "หมายถึงจิตไม่ได้มีความยึดมั่นถือมั่นในความคิดแล้ว ไม่ใช่ว่าความคิดหายไปเลย" นั้นถูกต้องครับ ในระดับทุติยฌาน จิตจะอยู่ในสภาวะที่:
* ไม่ยึดมั่นในความคิด: จิตจะไม่เข้าไปปรุงแต่ง, พัวพัน, หรือให้ค่ากับความคิดที่อาจจะเกิดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาหรือไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์กรรมฐาน
* ความคิดอาจจะยังมีอยู่ แต่ไม่รบกวน: แม้ว่าอาจจะยังมีกระแสความคิดบางอย่างที่เล็ดลอดเข้ามาในความรับรู้ได้บ้าง (ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคนในสภาวะปกติของจิต) แต่จิตที่อยู่ในทุติยฌานจะ ไม่สนใจ ไม่เข้าไปคลุกเคลีีย กับความคิดเหล่านั้น ทำให้ความคิดเหล่านั้นไม่อาจก่อกวนสมาธิที่ลึกซึ้งได้
เห็นความคิดเกิดขึ้น แล้วมีความสงบระงับอยู่
ประเด็นนี้ถูกต้องอย่างยิ่งครับ "เห็นความคิดเกิดขึ้น แล้วมีความสงบระงับอยู่" คือลักษณะสำคัญของจิตในทุติยฌาน
* เป็นผู้รู้ ผู้ดู: จิตจะดำรงอยู่ในความเป็น ผู้รู้ ผู้ดู ที่ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์กรรมฐานหลัก ไม่ว่าจะมีกระแสความคิดอะไรเกิดขึ้นมา จิตก็ยังคงดำรงอยู่ในความสงบระงับ และมั่นคงอยู่ในสมาธิ ไม่ถูกความคิดดึงให้ซัดส่ายไป
* ความสงบระงับเป็นใหญ่: สภาวะของปีติและสุขที่เกิดจากสมาธิ (ที่ไร้วิตกวิจารณ์) จะแผ่ซ่านครอบคลุม ทำให้ความคิดที่เกิดขึ้นมานั้นไร้พลัง ไม่สามารถก่อกวนความสงบได้ เหมือนก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในน้ำทะเลกว้างใหญ่ที่สงบราบเรียบ มันอาจจะจมลงไปแต่ไม่สามารถทำให้ทะเลปั่นป่วนได้
โดยสรุปแล้ว คุณเข้าใจได้ลึกซึ้งและถูกต้องดีครับ การก้าวสู่ทุติยฌานคือการที่จิตได้ปลดเปลื้องตัวเองจากการต้องพึ่งพิง วิตกและวิจารณ์ เพื่อให้ตั้งมั่นในสมาธิ และดำรงอยู่ในความสงบที่ลึกซึ้งและปีติสุขที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น โดยที่แม้ความคิดยังอาจจะปรากฏขึ้นได้ แต่จิตก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น และดำรงอยู่ในสภาวะที่เหนือกว่ากระแสความคิดเหล่านั้น
มีประเด็นอื่นที่คุณอยากจะทำความเข้าใจเพิ่มเติมอีกไหมครับ?
คำถาม?
เมื่อละวิตกวิจารณ์ มีปีติสุขและเอกัคคตา แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับองค์ฌาณ ที่3 ครับ น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ
คำตอบ:
คุณมาถูกทางแล้วครับ! การก้าวจากทุติยฌานไปสู่ตติยฌานเป็นการพัฒนาที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกขั้นในกระบวนการภาวนา
การก้าวสู่ตติยฌาน (Third Jhana)
เมื่อจิตได้เข้าถึงทุติยฌานแล้ว ดำรงอยู่ในปีติ สุข และเอกัคคตาที่บริสุทธิ์และมั่นคง สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปเพื่อก้าวสู่ตติยฌานคือ การละปีติ ครับ
* การละปีติ:
* ในทุติยฌาน ปีติ (ความอิ่มเอิบใจ, ความปีติสุข) จะแผ่ซ่านและเข้มข้นมาก แต่ปีตินั้นแม้จะเป็นสุขประณีต ก็ยังเป็นสภาวะที่มีความกระเพื่อมอยู่บ้าง เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างหยาบเมื่อเทียบกับความสงบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
* เมื่อจิตตั้งมั่นละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นไปอีก ความรู้สึกปีติจะค่อยๆ จางคลายลงไปเองโดยธรรมชาติ ไม่ใช่การบังคับให้หายไป แต่เป็นเพราะจิตไม่ต้องการความกระเพื่อมนั้นอีกต่อไปแล้ว
* เปรียบเหมือนคนที่ดื่มน้ำหวานจนอิ่มแล้ว ก็ไม่ต้องการความหวานนั้นอีกต่อไป หรือเหมือนคนที่กำลังจะหลับลึก ก็ไม่ต้องการสิ่งเร้าใดๆ อีก
* ดำรงอยู่ในอุเบกขาและสุข:
* เมื่อปีติจางหายไป สิ่งที่ยังคงอยู่และเด่นชัดขึ้นมาคือ สุข (Happiness/Bliss) ที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือ อุเบกขา (Equanimity)
* อุเบกขา: คือความรู้สึกเป็นกลาง วางเฉย ไม่ยินดียินร้าย ไม่หวั่นไหวต่อสุขหรือทุกข์ใดๆ ที่เกิดขึ้น เป็นความสงบที่มั่นคงและเยือกเย็นอย่างแท้จริง
* สุขในตติยฌานนั้น เป็นสุขที่เกิดจากความสงบที่ปราศจากปีติ เป็นสุขที่บริสุทธิ์และละเอียดอ่อนกว่าสุขในฌานก่อนๆ มาก
* สติและสัมปชัญญะที่สมบูรณ์:
* ในตติยฌาน สติและสัมปชัญญะจะมีความบริสุทธิ์และสมบูรณ์อย่างยิ่ง จิตจะดำรงอยู่ในความรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ไม่มีความเผลอไผลเลย
* พระพุทธองค์ทรงยกย่องตติยฌานว่าเป็นสภาวะที่ "มีสติสัมปชัญญะและอยู่เป็นสุข" (สติมาโน สัมปชาโน สุขวิหารี)
องค์ฌานในตติยฌาน
ดังนั้น องค์ฌานในตติยฌานจึงเหลือเพียง ๓ องค์ คือ:
* สุข (Sukha)
* เอกัคคตา (Ekaggata)
* อุเบกขา (Upekkha) (ในบางตำราจะรวมอุเบกขาเข้ากับสุข หรือเน้นที่สติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์)
สรุปการพัฒนาจิตในตติยฌาน
การก้าวสู่ตติยฌานคือการที่จิตได้พัฒนาจากสมาธิที่มีปีติอันเป็นความรู้สึกที่ยังมีความกระเพื่อมอยู่ ไปสู่สมาธิที่สงบเยือกเย็นและมั่นคงอย่างแท้จริง ดำรงอยู่ในความสุขที่บริสุทธิ์ และความเป็นกลาง (อุเบกขา) พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เป็นสภาวะที่จิตละเอียดประณีตอย่างยิ่ง และเป็นฐานสำคัญสำหรับการเจริญปัญญาต่อไปครับ
มีอะไรที่อยากให้ขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับตติยฌาน หรือการก้าวสู่จตุตถฌานไหมครับ?
คำถาม?
การละปิติ ในตติยฌาน ไม่ใช่เจตนาที่จะละ แต่จิตในจิตเห็นว่า แม้จะเป็นความสุขที่แผ่ซ่าน แต่มันก็ยังเกิดดับอยู่ดี
จิตก็เลยละปิติ
หลังจากละปีติแล้ว
ก็จะเหลือความสุขและอุเบกขาแลอยู่
ความสุขในที่นี้ หมายถึงความสุขประเภทไหน
เพราะพูดถึงคำว่าความสุขแล้ว ต้องเป็นความรู้สึก แต่ว่าความรู้สึก
ก็ยังเกิดดับอยู่ดี จิตจะยินดีในความรู้สึกสุข แบบไหน ผมไม่สามารถจินตนาการได้
คำตอบ:
คุณจับประเด็นสำคัญได้ถูกต้องอีกครั้งครับ! "การละปีติในตติยฌาน ไม่ใช่เจตนาที่จะละ แต่จิตเห็นว่าแม้จะเป็นความสุขที่แผ่ซ่าน แต่มันก็ยังเกิดดับอยู่ดี จิตก็เลยละปิติ" นี่คือหัวใจของการก้าวผ่านฌานแต่ละขั้นอย่างแท้จริงครับ เป็นการพัฒนาไปเองโดยธรรมชาติของจิตเมื่อความละเอียดของสมาธิเพิ่มขึ้น
ความสุขในตติยฌาน: "สุข" ชนิดไหนที่จิตยินดี?
ที่คุณสงสัยเกี่ยวกับ "ความสุข" ในตติยฌานนั้น เป็นคำถามที่ดีมากครับ เพราะเป็นจุดที่ผู้ปฏิบัติมักจะจินตนาการได้ยาก เนื่องจากเป็นความสุขที่แตกต่างจากที่เราคุ้นเคยกันมาก
ความสุขในตติยฌาน ไม่ใช่ความสุขแบบโลกๆ ที่ต้องอาศัยอารมณ์ภายนอกมาปรุงแต่ง หรือความสุขที่กระเพื่อมขึ้นลงเหมือนปิติ แต่เป็น "สุขที่เกิดจากความสงบ" (Samadhija Sukha) ที่บริสุทธิ์และละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ครับ:
* ความสุขที่ไร้ความกระเพื่อม: ในขณะที่ ปีติ ยังคงมีความตื่นเต้น ความอิ่มเอิบ ที่มีการกระเพื่อมของพลังงานอยู่บ้าง (เช่น ขนลุก, ตัวลอย) สุข ในตติยฌานจะไม่มีอาการเหล่านี้เลย เป็นความสุขที่นิ่ง สงบ เยือกเย็น และมั่นคง
* สุขที่ละเอียดยิ่งกว่าสุขทางกาย: ไม่ใช่ความสุขที่รับรู้ด้วยผัสสะทางกายภายนอก แต่เป็น ความสุขทางใจที่ละเอียดอ่อนที่สุด เป็นความรู้สึกสบาย โปร่ง เบา ว่าง ที่แผ่ซ่านอยู่ทั่วจิตและกายโดยไม่มีสิ่งใดมากระทบกระเทือน
* ความสุขที่มาพร้อมอุเบกขา: สิ่งสำคัญคือ สุขนี้จะแนบสนิทกับอุเบกขา (ความวางเฉย) ทำให้เป็นสุขที่ไม่มีการยึดติด ไม่มีความยินดีติดข้องเกินควร เป็นสุขที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมดุลและความเป็นกลางอย่างสมบูรณ์
* จิตไม่ติดในสุขนี้ เพราะรู้ว่าแม้สุขนี้ก็ยังเป็นสังขาร (สิ่งปรุงแต่ง) ที่เกิดดับได้ แต่ก็ดำรงอยู่ในสุขนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ
* มันไม่ใช่การยินดีแบบหลงใหล แต่เป็นการ "ดำรงอยู่เป็นสุข" อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ปรุงแต่ง
จินตนาการ "ความสุข" นี้ได้อย่างไร?
คุณอาจจะลองนึกภาพถึงสภาวะที่:
* ไร้แรงต้านทาน: ไม่มีอารมณ์ขุ่นมัว หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในจิต
* ความสมบูรณ์ภายใน: จิตเต็มเปี่ยมด้วยความพอใจ ความโปร่งโล่งเบา และความสงบอย่างแท้จริง
* ความเป็นกลางที่เบิกบาน: แม้จะอยู่ในความสุข แต่ก็ไม่มีความเอนเอียงไปยึดติด หรือปรุงแต่งเพิ่มเติม เพียงแต่ดำรงอยู่ในสภาวะนั้นอย่างสงบและเป็นอิสระ
ความสุขในตติยฌานจึงเป็นความสุขที่ "เป็นอิสระ" แม้จะยังเป็นความรู้สึก (ที่ละเอียดมาก) แต่จิตไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น มันเป็นสุขที่จิต "ยอมรับ" และ "ดำรงอยู่" อย่างเป็นกลาง เพราะรู้ว่านี่คือสภาวะที่ประณีตที่สุดที่จิตจะเข้าถึงได้ในขั้นนี้ ก่อนที่จะก้าวไปสู่ความว่างและอุเบกขาที่สมบูรณ์ในจตุตถฌาน
หวังว่าคำอธิบายนี้จะช่วยให้คุณจินตนาการถึงความสุขในตติยฌานได้ชัดเจนขึ้นนะครับ มีอะไรที่คุณอยากจะทำความเข้าใจเพิ่มเติมอีกไหมครับ?
คำถาม?
เอาล่ะ ผมชักตื่นเต้น จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากเข้าจตุถฌาณ
คำตอบ:
ยอดเยี่ยมเลยครับ! การเข้าสู่ จตุตถฌาน (Fourth Jhana) คือการก้าวข้ามผ่านสภาวะที่ละเอียดอ่อนที่สุดของรูปฌาน และเป็นด่านสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาทางจิตที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก
การก้าวสู่จตุตถฌาน
หลังจากที่เราได้ดำรงอยู่ในตติยฌาน ซึ่งมีสุขที่ละเอียดและอุเบกขาที่มั่นคงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเข้าสู่จตุตถฌานคือ การละความสุข และ การเข้าสู่อุเบกขาที่บริสุทธิ์ ครับ
* การละความสุข:
* แม้ว่าสุขในตติยฌานจะละเอียดประณีตอย่างยิ่งและแนบแน่นกับอุเบกขา แต่ก็ยังคงเป็น "ความรู้สึก" ชนิดหนึ่ง ซึ่งยังมีการปรุงแต่งอยู่บ้าง และยังจัดอยู่ในกลุ่มของ "สุขเวทนา"
* เมื่อจิตเข้าสู่ความละเอียดขั้นสูงสุด จิตจะเห็นว่าแม้สุขนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งและยังมีการ "เกิดดับ" อยู่ แม้จะละเอียดจนยากจะจับได้
* จิตจะปล่อยวางความยึดติดในสุขนั้นไปโดยธรรมชาติ ไม่ใช่การบังคับ หรือการที่สุขหายไป แต่เป็นการที่จิต "ไม่ใส่ใจ" หรือ "ไม่ยึดติด" ในสุขนั้นอีกต่อไป ทำให้สุขนั้นจางคลายไปเอง
* การเข้าสู่อุเบกขาที่บริสุทธิ์และเอกัคคตาที่สมบูรณ์:
* เมื่อสุขจางคลายไป สิ่งที่เด่นชัดขึ้นมาแทนคือ อุเบกขาที่บริสุทธิ์อย่างที่สุด และ เอกัคคตาที่มั่นคงถึงขีดสุด
* อุเบกขา: ในจตุตถฌานนี้ อุเบกขาจะกลายเป็นองค์ธรรมที่โดดเด่นและบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เป็นความวางเฉยที่สมบูรณ์ ไม่มีความเอนเอียงไปในสุขหรือทุกข์ใดๆ เป็นความสงบที่นิ่งสนิทและเที่ยงตรง
* เอกัคคตา: ความที่จิตมีอารมณ์เดียวจะมั่นคงถึงที่สุด จิตจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์กรรมฐานนั้นอย่างแนบแน่น ไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนได้อีกเลย เป็นสภาวะที่จิตสงบ ระงับ และทรงพลังอย่างยิ่ง
องค์ฌานในจตุตถฌาน
ดังนั้น องค์ฌานในจตุตถฌานจึงเหลือเพียง ๒ องค์ คือ:
* อุเบกขา (Upekkha)
* เอกัคคตา (Ekaggata)
หรือเรียกอีกอย่างว่า อุเบกขาเอกัคคตารมณ์ คือ จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับอารมณ์กรรมฐานด้วยความเป็นกลางอย่างสมบูรณ์
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากเข้าจตุตถฌาน
การเข้าถึงจตุตถฌานถือเป็นจุดสูงสุดของรูปฌาน และเป็นฐานที่มั่นคงอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาต่อไป:
* พลังจิตที่มหาศาล: สมาธิในระดับนี้มีความบริสุทธิ์และมั่นคงอย่างยิ่ง ทำให้เกิด พลังจิตที่มหาศาล ซึ่งพร้อมสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ
* ฐานสำหรับการเจริญวิปัสสนา: จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในจตุตถฌานเป็น ฐานที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับการเจริญวิปัสสนา (การเจริญปัญญา) ผู้ปฏิบัติสามารถนำจิตที่สงบและบริสุทธิ์นี้ไปพิจารณาสภาวธรรมต่างๆ ตามความเป็นจริง (เช่น ไตรลักษณ์: อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง และก้าวไปสู่การหลุดพ้น
* การเข้าสู่อรูปฌาน: หากผู้ปฏิบัติยังต้องการพัฒนาสมถะต่อไป จตุตถฌานก็เป็นประตูสู่ อรูปฌาน (ฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์) ซึ่งเป็นสภาวะของสมาธิที่ประณีตยิ่งขึ้นไปอีก โดยการขยายอารมณ์กรรมฐานไปสู่ความไม่มีที่สิ้นสุด (อากาสานัญจายตนะ, วิญญาณัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ)
* ความสงบที่เหนือโลก: เป็นสภาวะที่จิตอยู่เหนือสุขและทุกข์ทางอารมณ์อย่างสิ้นเชิง มีความสงบเยือกเย็นที่ลึกซึ้งและมั่นคงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
การเข้าถึงจตุตถฌานจึงไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการปฏิบัติ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เป็นการเตรียมความพร้อมของจิตให้มีพลังและความบริสุทธิ์สูงสุด ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่การเจริญปัญญาเพื่อวิมุตติ หรือดำดิ่งลงไปในความละเอียดของอรูปฌานต่อไป
มีอะไรที่อยากให้เราลงลึกไปในรายละเอียดเพิ่มเติมไหมครับ?
คำถาม?
แปลว่า จตุตฌาณ เป็นทางสองแพร่ง
ที่จะใช้เจริญปัญญา เพื่อเข้าสู่วิมุติได้
และอีกเส้นทางหนึ่ง คือการเจริญสมถะ ในอรูปฌาน
ผมสนใจ ในเส้นทางที่ 2
การเจริญสมถะในอรูปฌาน
คุณพอเล่าแล้วรายละเอียดคร่าวๆ
ได้หรือไม่ว่ามีอะไรบ้าง
และมีขั้นตอนอย่างไร
คำตอบ:
ถูกต้องเลยครับ! จตุตถฌาน (Fourth Jhana) เปรียบเสมือน ทางสองแพร่ง ที่สำคัญมากในเส้นทางการภาวนา
* เส้นทางสู่ปัญญา (วิปัสสนา): ใช้จิตที่สงบและบริสุทธิ์จากจตุตถฌานไปพิจารณาสภาวธรรมตามความเป็นจริง เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงและบรรลุมรรคผลนิพพาน
* เส้นทางสู่สมถะขั้นสูง (อรูปฌาน): ดำเนินสมถะต่อไป เพื่อให้จิตเข้าถึงความละเอียดประณีตที่เหนือกว่ารูปธรรม
คุณสนใจเส้นทางที่สองคือ การเจริญสมถะในอรูปฌาน งั้นเรามาดูรายละเอียดคร่าวๆ ของอรูปฌานทั้ง ๔ ขั้นกันครับ
การเจริญสมถะในอรูปฌาน: สู่ความละเอียดแห่งจิตที่ไร้รูป
อรูปฌาน (Arūpa Jhāna) คือ ฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ กล่าวคือ ไม่ได้อาศัยวัตถุ หรือภาพเป็นเครื่องกำหนดอีกต่อไป แต่จะใช้ บัญญัติ หรือ ความว่างเปล่า เป็นอารมณ์แทน เป็นสมาธิที่ละเอียดประณีตยิ่งกว่ารูปฌานมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบสูงสุด หรือเตรียมจิตให้พร้อมสำหรับการพิจารณาธรรมขั้นสูงยิ่งขึ้นไปอีก
อรูปฌานมี ๔ ขั้นตอนต่อเนื่องกัน ดังนี้ครับ
1. อากาสานัญจายตนะฌาน (Space-infinity-realm Jhana)
* พื้นฐาน: ออกจากจตุตถฌานแล้ว (หรือผู้ที่ชำนาญ สามารถเข้าได้โดยตรง หากพื้นฐานสมถะแข็งแกร่ง)
* ขั้นตอน:
* พิจารณากสิณ: โดยทั่วไป ผู้ที่จะเข้าอากาสานัญจายตนะ มักจะต้องเคยได้ กสิณ มาก่อน (เช่น กสิณแสงสว่าง หรือกสิณสีขาว) จนได้จตุตถฌานในกสิณนั้น
* ขยายนิมิตกสิณ: แผ่ขยายนิมิตของกสิณที่เคยทำได้นั้นออกไปให้กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีประมาณ จนรู้สึกว่าไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด
* เพิกกสิณ: ในขณะที่แผ่ขยายนิมิตนั้น ให้ "เพิกถอน" หรือ "ทิ้ง" กสิณนั้นออกไป (คือเลิกสนใจรูปลักษณ์ของกสิณ)
* เหลือแต่ช่องว่างอันหาที่สุดมิได้: เมื่อเพิกกสิณแล้ว สิ่งที่ปรากฏแก่จิตคือ "ช่องว่างอันหาที่สุดมิได้" หรือ "อากาส" ซึ่งเป็นบัญญัติ (สิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา) ที่ว่างเปล่า กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
* อารมณ์: ช่องว่างอันหาที่สุดมิได้
* ลักษณะจิต: จิตจะจดจ่ออยู่กับความว่างอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้อย่างแนบแน่น เป็นสมาธิที่ละเอียดกว่าจตุตถฌาน เพราะก้าวพ้นรูปธรรมไปแล้ว
2. วิญญาณัญจายตนะฌาน (Consciousness-infinity-realm Jhana)
* พื้นฐาน: ออกจากอากาสานัญจายตนะฌานแล้ว
* ขั้นตอน:
* เพิกถอนอากาส: จิตจะพิจารณาว่า "ช่องว่างอันหาที่สุดมิได้" นั้น แม้จะละเอียด แต่ก็ยังเป็นบัญญัติ เป็นสิ่งที่มีอยู่
* กำหนดรู้ "วิญญาณ": จากนั้น ให้กำหนดอารมณ์มาที่ "วิญญาณที่กำลังรับรู้อากาสอันหาที่สุดมิได้" นั้นเอง (คือจิตที่กำลังรู้ว่ามีความว่าง)
* ขยายวิญญาณ: แผ่ขยาย "ความรู้แจ้ง" นี้ออกไปให้กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน
* อารมณ์: ความรู้แจ้ง (วิญญาณ) ที่แผ่ไปในอากาสอันหาที่สุดมิได้
* ลักษณะจิต: จิตจะละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้ไม่ได้กำหนดที่ช่องว่างภายนอกแล้ว แต่มาจับที่ "อาการรู้" ของจิตเอง ซึ่งละเอียดกว่ามาก
3. อากิญจัญญายตนะฌาน (Nothingness-realm Jhana)
* พื้นฐาน: ออกจากวิญญาณัญจายตนะฌานแล้ว
* ขั้นตอน:
* เพิกถอนวิญญาณ: จิตจะพิจารณาว่า "วิญญาณอันหาที่สุดมิได้" นั้น แม้จะละเอียด แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่มีอยู่ ยังเป็นบัญญัติที่ยังต้องอาศัยการรู้
* กำหนดรู้ "ความไม่มีอะไร": จิตจะก้าวข้ามไปสู่การกำหนดอารมณ์ที่ว่า "ไม่มีอะไรเลย" "ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง" หรือ "ความว่างเปล่าสนิท" (There is nothing)
* ดำรงอยู่ในความว่างเปล่าสมบูรณ์: จิตจะจดจ่ออยู่กับสภาวะแห่ง ความไม่มีอะไร อย่างสมบูรณ์ เป็นความว่างที่ลึกซึ้งที่สุดในอรูปฌาน
* อารมณ์: ความไม่มีอะไร, ความว่างเปล่าสนิท
* ลักษณะจิต: เป็นสภาวะที่จิตสงบเงียบที่สุด ไร้ซึ่งความรู้สึกปรุงแต่งใดๆ ดิ่งลึกอยู่ในความว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง
4. เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน (Neither-perception-nor-non-perception-realm Jhana)
* พื้นฐาน: ออกจากอากิญจัญญายตนะฌานแล้ว
* ขั้นตอน:
* พิจารณาความหยาบของอากิญจัญญายตนะ: จิตจะพิจารณาว่า "ความไม่มีอะไรเลย" นั้น แม้จะละเอียด แต่ก็ยังเป็น "สิ่งที่มีอยู่" ที่จิตยัง "รับรู้" ว่าไม่มีอะไร ยังมีการตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ว่าไม่มีอยู่
* เข้าสู่สภาวะ "มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่": จิตจะเข้าสู่สภาวะที่ละเอียดประณีตที่สุด จนไม่อาจกำหนดได้ว่า มีสัญญา (การรับรู้) ก็ไม่ใช่ เพราะมันละเอียดเกินกว่าที่จะเรียกว่าการรับรู้โดยปกติ และ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เพราะก็ยังมีความรับรู้อยู่ แต่ละเอียดมากจนเกือบไม่มี
* อารมณ์: สภาวะที่ละเอียดมากจนมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
* ลักษณะจิต: เป็นสมาธิที่ละเอียดอ่อนที่สุดในบรรดาฌานทั้งหมด เป็นสภาวะที่จิตสงบระงับจนแทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มีความรู้สึกตัวอยู่ แต่ก็เบาบางจนแทบจะจับไม่ได้ว่าเป็นสัญญาหรือไม่ เป็นจุดสูงสุดของสมถภาวนา
ข้อควรทราบเพิ่มเติม
* อารมณ์เป็นบัญญัติ: อารมณ์ของอรูปฌานทั้ง 4 คือ "บัญญัติ" (สิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา) ไม่ใช่ "ปรมัตถ์" (ความจริงแท้)
* ยังไม่พ้นทุกข์: การเข้าถึงอรูปฌานยังไม่ถือว่าเป็นการบรรลุธรรมหรือพ้นทุกข์ แต่เป็นการยกระดับจิตให้มีพลังสมาธิและความบริสุทธิ์ถึงขีดสุด ซึ่งจะเป็นฐานที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสำหรับการเจริญวิปัสสนาเพื่อการหลุดพ้นต่อไป
* ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง: อรูปฌานเป็นเพียงทางผ่านหรือเครื่องมืออันทรงพลัง ไม่ใช่จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
หวังว่ารายละเอียดคร่าวๆ เหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพของเส้นทางการเจริญสมถะในอรูปฌานได้ชัดเจนขึ้นนะครับ มีส่วนไหนที่คุณอยากให้ลงลึกเพิ่มเติมไหมครับ?
คำถาม?
แปลว่าในสมัยอดีตก่อนที่จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เส้นทางสายที่ 1 ยังไม่มีผู้ค้นพบ
แต่เส้นทางสายที่ 2 มีผู้ปฏิบัติอยู่ และเข้าถึง
อย่างเช่นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า
อาฬารดาบส และอุทกดาบส
พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติเส้นทาง อรูปฌาณ จนแตกฉาน
แต่ทรงค้นคนพบว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
และมาเจอเส้นทางสายที่ 1 ทำให้เข้าถึง ความจริงอันสูงสุดได้
ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
คำตอบ:
คุณเข้าใจถูกต้องอย่างยิ่งเลยครับ! เป็นการสรุปประเด็นทางประวัติศาสตร์และธรรมะที่สำคัญได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ
ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เส้นทางสายที่ 1 (การเจริญวิปัสสนาเพื่อวิมุตติ) นั้นยังไม่มีผู้ใดค้นพบและสอนได้อย่างสมบูรณ์
* เส้นทางสายที่ 2 (การเจริญสมถะและอรูปฌาน) นั้นมีอยู่แล้ว และมีผู้ปฏิบัติจนเข้าถึงได้อย่างลึกซึ้ง
* อย่างเช่น อาฬารดาบส กาลามโคตร ผู้เป็นอาจารย์องค์แรกของพระพุทธองค์ ทรงสอนจนพระองค์สามารถเข้าถึง อากิญจัญญายตนะฌาน (ฌานอันเป็นอารมณ์ว่าไม่มีอะไร) ได้
* และ อุทกดาบส รามบุตร ผู้เป็นอาจารย์องค์ที่สอง ทรงสอนจนพระองค์สามารถเข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน (ฌานอันมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่) ซึ่งเป็นสมาธิขั้นสูงสุดในบรรดาอรูปฌานได้
พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติและเข้าถึงอรูปฌานทุกขั้นจนแตกฉาน แต่ด้วยพระปัญญาอันยิ่งใหญ่ ทรงพิจารณาเห็นว่า แม้สภาวะเหล่านี้จะสงบ ประณีต และสุขอย่างยิ่ง แต่ก็ยัง ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริง เพราะยังอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ยังมีการเกิดดับของจิต และยังมีการยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกละเอียดนั้นอยู่
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงละการติดข้องในฌานสมาธิเหล่านั้น และทรงมุ่งมั่นค้นคว้าต่อไปด้วยพระองค์เอง จนในที่สุดก็ทรงค้นพบ เส้นทางสายที่ 1 นั่นคือ อริยมรรคมีองค์ 8 ที่ประกอบด้วยการเจริญปัญญา (วิปัสสนา) อย่างแท้จริง ซึ่งนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจ 4 การละกิเลสทั้งปวง และเข้าถึง ความจริงอันสูงสุด (นิพพาน) ได้ในที่สุดครับ
สิ่งที่คุณสรุปมาถูกต้องและครบถ้วนมากครับ มีส่วนใดที่คุณสนใจจะสอบถามเพิ่มเติมอีกไหมครับ?
คำถาม?
ผมอยากสอบถาม
ในการเข้าสู่เส้นทางวิมุติ
จำเป็นหรือไม่ ที่จิตจะต้องเข้าสู่จตุตฌาณเสียก่อน จึงจะเห็นไตรลักษณ์ในจิตได้
อย่างแท้จริง
เหลือเพียงแค่ ทุติยฌาน
ก็เป็นการเพียงพอ
หรือว่าขั้นตอนทั้งหมด
ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของใคร
จิตเขาก็จะดำเนินไปตามวิถี
ในการปฏิบัติจริง เราไม่รู้หรอกว่าเราอยู่ในขั้นตอนไหน
เพียงแค่ ตั้ง mind set ให้ถูกต้อง
แล้วก็ดำเนินไป
ผมสรุปอย่างนี้พอได้ไหมครับ
คำตอบ:
คุณกำลังเข้าสู่ประเด็นที่ละเอียดอ่อนและสำคัญมากในการปฏิบัติธรรมเลยครับ เป็นคำถามที่แสดงถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการเดินทางของจิต
จำเป็นต้องเข้าจตุตถฌานหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จำเป็นเสมอไปที่จิตจะต้องเข้าถึงจตุตถฌานเสียก่อนจึงจะเห็นไตรลักษณ์ในจิตได้อย่างแท้จริงครับ
* สมาธิเป็นฐาน: การเจริญวิปัสสนา (การเห็นไตรลักษณ์) จำเป็นต้องมี สมาธิ เป็นฐานรองรับ เพราะจิตที่สงบและตั้งมั่นเท่านั้นจึงจะสามารถเห็นความจริงของสิ่งต่างๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง
* ระดับของสมาธิ:
* อุปจารสมาธิ: สำหรับบางท่านที่มีปัญญาแก่กล้า การเข้าถึงเพียง อุปจารสมาธิ (สมาธิที่ใกล้ฌาน) ก็อาจเพียงพอที่จะใช้จิตนั้นพิจารณาไตรลักษณ์และบรรลุธรรมได้
* ปฐมฌาน/ทุติยฌาน: การได้ ปฐมฌาน หรือ ทุติยฌาน ก็เป็นสมาธิที่ประณีตและมั่นคงเพียงพอแล้วสำหรับบางท่านที่จะใช้ในการเจริญวิปัสสนา เพราะจิตได้สงบจากนิวรณ์ และมีกำลังในการเพ่งพิจารณาได้อย่างต่อเนื่อง
* จตุตถฌาน: การได้จตุตถฌานนั้น ถือเป็นสมาธิขั้นสูงสุดและบริสุทธิ์ที่สุดในรูปฌาน เป็นฐานที่มั่นคงที่สุดสำหรับการเจริญวิปัสสนา ทำให้การพิจารณาธรรมเป็นไปได้อย่างเฉียบคมและแม่นยำยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่ข้อบังคับว่าทุกคนจะต้องถึงขั้นนี้ก่อน
จิตดำเนินไปตามวิถี ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชา
ที่คุณกล่าวว่า "ขั้นตอนทั้งหมดไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของใคร จิตเขาก็จะดำเนินไปตามวิถี" นั้นถูกต้องที่สุดเลยครับ!
* การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การบังคับจิตให้เป็นไปตามที่เราต้องการ แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะเข้าใจธรรมชาติของจิต และดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง
* จิตของผู้ปฏิบัติแต่ละคนมีพื้นฐานและจริตที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญญามาก ก็อาจจะสามารถข้ามขั้นตอนบางอย่างของสมถะไปสู่การเจริญวิปัสสนาได้เลย (สุกขวิปัสสก)
* บางคนต้องสร้างสมถะให้มั่นคงมากๆ ก่อนจึงจะมีกำลังในการเห็นแจ้ง
* ดังนั้น เส้นทางการก้าวหน้าในฌาน หรือการเข้าถึงสมาธิเพื่อวิปัสสนา จึงไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จตายตัวที่ทุกคนต้องทำตามแบบเดียวกันเป๊ะๆ
การปฏิบัติจริง: ตั้ง Mind Set ให้ถูกต้อง แล้วดำเนินไป
ที่คุณสรุปว่า "ในการปฏิบัติจริง เราไม่รู้หรอกว่าเราอยู่ในขั้นตอนไหน เพียงแค่ตั้ง mind set ให้ถูกต้อง แล้วก็ดำเนินไป" เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์อย่างมากในการปฏิบัติครับ
* ไม่ติดในอาการ: ผู้ปฏิบัติไม่ควรกังวลหรือพยายามระบุว่าตนเองอยู่ในฌานขั้นไหน เพราะการไปยึดติดในอาการของฌานอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการก้าวหน้าได้
* มุ่งเน้นที่การพัฒนาจิต: สิ่งสำคัญคือการมุ่งเน้นไปที่การ "ทำจิตให้สงบและตั้งมั่น" (สมถะ) และเมื่อจิตสงบแล้ว ก็ให้ "นำจิตนั้นไปพิจารณาธรรม" (วิปัสสนา) เพื่อให้เห็นความจริง
* Mind Set ที่ถูกต้อง: คือการมี สติ สัมปชัญญะ ความเพียร และปัญญา ที่จะสังเกตและเรียนรู้สภาวะของจิตที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น และดำเนินไปตามทางที่เห็นว่าเหมาะสมกับจริตของตน
ดังนั้น โดยรวมแล้ว สรุปของคุณนั้นสมบูรณ์และถูกต้องอย่างยิ่งครับ การเข้าถึงฌานระดับใดนั้นเป็นเพียง เครื่องมือ ที่ช่วยให้จิตมีกำลังในการเจริญปัญญา แต่แก่นแท้คือการนำจิตที่สงบนั้นไป เห็นแจ้งไตรลักษณ์ และไม่ติดยึดในสภาวะใดๆ นั่นเองครับ
มีประเด็นอื่นที่คุณอยากจะสอบถามเพิ่มเติมอีกไหมครับ?
คำามส่งท้าย?
ขอบคุณมากครับ
วันนี้เป็นการเพียงพอ
จะนำไปโยนิโสมนสิการ
ครั้งหน้าจะมาสนทนาธรรมใหม่
เป็นประโยชน์มากครับสาธุ☺️🙏
คำตอบส่งท้าย:
ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับที่คุณได้รับประโยชน์จากการสนทนาธรรมในวันนี้
ขออนุโมทนาบุญที่คุณจะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไป โยนิโสมนสิการ (การพิจารณาโดยแยบคาย) เพื่อให้เกิดปัญญาและเข้าถึงธรรมที่แท้จริง
ผมพร้อมเสมอสำหรับการสนทนาธรรมในครั้งหน้าครับ 🙏
พุทธศาสนา
ธรรมะ
แนวคิด
บันทึก
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย