Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
23 ก.ค. เวลา 10:33 • ความคิดเห็น
⏰ 'กฎ 10,000 ชั่วโมง' คือ 'ภาพลวงตา'?
🤔 เมื่อ 'การทำซ้ำ' ไม่ได้ทำให้ 'เก่งขึ้น' (ถ้าคุณยังขาดสิ่งนี้!) 💥
🧭 "ทำมา 10 ปี" กับ "ทำซ้ำ 10 ครั้ง"...ความเหมือนที่แตกต่างลิบลับ
เราเคยได้ยิน “กฎ 10,000 ชั่วโมง” ว่าถ้าเราทุ่มเททำอะไรบางอย่างครบ 10,000 ชั่วโมง เราจะกลายเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ฟังดูน่าทึ่งใช่ไหมครับ? แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้อธิบายความสำเร็จในหลากหลายวงการ ตั้งแต่นักกีฬา นักดนตรี ไปจนถึงมืออาชีพในสายเทคโนโลยีและธุรกิจ แต่ถ้าหยุดถามตัวเองจริงๆ ว่า...มีอะไรบ้างที่เราทำมาเกิน 10,000 ชั่วโมงแล้ว “ยังไม่เก่งสักที”? คำตอบที่ได้อาจทำให้เราสะดุ้งเงียบๆ ในใจ เช่น
* การเขียน ที่เราทุกคนเขียนมาตั้งแต่ยังเด็ก เขียนรายงาน เขียนอีเมล เขียนข้อความในชีวิตประจำวัน...แต่มีน้อยคนที่กล้าบอกว่า “ฉันเป็นนักเขียนที่ดี”
* หรือการขับรถ ที่หลายคนขับมานานนับสิบปี แต่ก็ยังไม่สามารถขับในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ หรือสถานการณ์กดดันได้ดีขึ้นแต่อย่างใด เป็นต้น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “เวลา” ที่เราทุ่มเทอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “วิธีใช้เวลา” ด้วยต่างหาก
====
📉 กับดัก 'ประสบการณ์ 1 ปี 10 ครั้ง’ = ทำซ้ำโดยไม่เติบโต ⏳
“บางทีสิ่งที่เรามี อาจไม่ใช่ 'ประสบการณ์ 10 ปี'...แต่คือ 'ประสบการณ์ 1 ปี ที่ทำซ้ำ 10 ครั้ง'”
วลีนี้ฟังดูเจ็บ แต่จริง และสะท้อนความเป็นจริงของโลกการทำงานได้อย่างชัดเจน
หลายคนภาคภูมิใจกับจำนวนปีที่ทำงาน แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในพฤติกรรม วิธีคิด และผลงานจริง เราจะพบว่าเวลานั้นอาจไม่ได้ถูกใช้เพื่อการพัฒนาเลย แต่เป็นการวนซ้ำอยู่ใน "โหมดอัตโนมัติ" — ทำสิ่งเดิมๆ ในสถานการณ์เดิมๆ เพื่อผลลัพธ์เดิมๆ
* ประสบการณ์ 10 ปีจริงๆ หมายถึงการกล้ารับโจทย์ใหม่ ๆ การกล้าทบทวนสิ่งที่เคยทำและตั้งคำถามว่า “จะดีกว่านี้ได้ไหม?” การลงมือเรียนรู้สิ่งที่ไม่ถนัด และการยอมรับ feedback เพื่อปรับปรุงตัวเองเสมอ
* ประสบการณ์ 1 ปี 10 ครั้ง คือการติดอยู่ใน Safe Zone ที่ไม่เคยท้าทายตัวเอง หรือแม้แต่ไม่เคยสะท้อนกลับว่า “สิ่งที่ทำอยู่ยังใช้ได้กับโลกที่เปลี่ยนไปหรือไม่?”
เปรียบได้กับการขับรถทางเดิมทุกวันเป็นเวลา 10 ปี — คุณอาจจำได้ทุกไฟแดง แต่ถ้าต้องขับในต่างประเทศหรือในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทักษะที่คุณสะสมมาอาจไม่ช่วยอะไรเลย เพราะคุณไม่ได้ฝึก “ความยืดหยุ่น” และ “การตัดสินใจในสถานการณ์ใหม่” เลยสักครั้ง
* การทำซ้ำในพื้นที่ที่คุ้นเคยอาจให้ความรู้สึกมั่นใจ แต่แท้จริงแล้ว มันอาจเป็น "กับดักที่ปลอมตัวมาในรูปของความมั่นคง"
* และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ... “เราจะไม่รู้เลยว่าเรากำลังย่ำอยู่กับที่” — จนกระทั่งมีคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ทำสิ่งเดียวกันได้ดีกว่าในครึ่งเวลา และมองเห็นโอกาสที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ดังนั้น การหยุดเพื่อทบทวนว่า "ปีนี้เราโตขึ้นจากปีก่อนตรงไหน?" คือคำถามสำคัญที่ควรถามตัวเองทุกปี โดยเฉพาะในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน
====
🧬 ถอดรหัส 'Deliberate Practice’ หรือองค์ประกอบของการฝึกฝนอย่างมีคุณภาพ
“Deliberate Practice” ไม่ใช่แค่การทำซ้ำแบบอัตโนมัติ แต่คือการฝึกที่ต้องการความตั้งใจ ความเจ็บปวดทางจิตใจ ความกล้าที่จะถูกวิจารณ์ และความพยายามที่จะก้าวออกจากกรอบเดิมๆ
ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลักที่เปรียบเสมือน “กล้ามเนื้อของการพัฒนา” หากขาดไปข้อใดข้อหนึ่ง ก็อาจทำให้ชั่วโมงฝึกฝนกลายเป็นเพียงกิจกรรมซ้ำซากที่ไม่มีความหมาย
1. 🎯 เป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ (Specific Goal)
* การตั้งเป้าหมายต้องไม่คลุมเครือ เช่น “จะพัฒนาทักษะพูดในที่สาธารณะ” กว้างเกินไป จนไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างจึงจะสำเร็จ
* เปลี่ยนเป็นเป้าหมายที่จับต้องได้ เช่น “จะซ้อมเล่า Elevator Pitch ความยาว 2 นาที ให้กลุ่มเพื่อน 5 คนฟัง แล้วขอฟีดแบ็กภายในวันศุกร์นี้”
* ยิ่งเป้าหมายเล็กลง ยิ่งสามารถวัดผลและปรับปรุงได้เร็วขึ้น เสมือนการปรับพวงมาลัยในระยะทางสั้น ช่วยให้ถึงเป้าหมายระยะยาวแม่นยำขึ้น
2. 🧠 โฟกัสลึกอย่างมีวินัย (Deep Focus)
* Deliberate Practice ต้องการ “ภาวะลื่นไหล” (Flow State) ซึ่งเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราตัดสิ่งรบกวนทั้งหมดออกไป และให้เวลาเต็มที่กับกิจกรรมนั้น
* เช่น หากคุณฝึกเขียน อย่าเปิดโทรศัพท์ หรือเช็กอีเมลระหว่างทาง ควรกำหนดเวลาอย่างชัดเจน เช่น 25 นาทีแบบ Pomodoro Focus และพัก 5 นาที
* เพราะการฝึกแบบกระจัดกระจาย จะทำให้คุณไม่ได้พัฒนาจริง แต่เพียงรู้สึก “เหมือนได้ทำ” เท่านั้น
3. 🔁 วงจรฟีดแบ็กที่สม่ำเสมอและรวดเร็ว (Feedback Loop)
* ความคิดเห็นที่มีคุณค่า ไม่ได้เกิดจากคำชมว่า “ดีมาก” แต่เกิดจากการชี้ว่า “อะไรที่ยังไม่เวิร์ก และทำไมถึงไม่เวิร์ก”
* ยิ่งเรากล้ารับ Feedback เร็ว และนำกลับมาใช้เร็ว สมองจะเชื่อมโยงการเรียนรู้ได้ดีกว่า เพราะยังจำ context และความรู้สึกตอนทำได้อยู่
* การขอ feedback จากแหล่งที่ต่างกัน เช่น เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกค้า หรือแม้แต่ตัวเองผ่านการบันทึก จะช่วยให้เห็น blind spot ได้หลากหลายมุมมากขึ้น
4. 🚀 การก้าวออกจาก Comfort Zone อย่างต่อเนื่อง (Edge-of-Ability Challenge)
* ถ้าเราทำสิ่งที่ทำได้อยู่แล้วซ้ำไปซ้ำมา สมองจะปรับตัวเข้าสู่ “โหมดประหยัดพลังงาน” และหยุดสร้างเครือข่ายใหม่ทางประสาท
* การฝึกในระดับที่ “ยากขึ้นนิดเดียว” (ไม่ถึงกับท้อ แต่ไม่ง่ายจนเบื่อ) จะกระตุ้นการสร้าง neural pathway ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ
* ตัวอย่างเช่น จากเดิมคุณนำเสนอต่อทีมเล็ก ลองขยับไปสู่เวทีที่ใหญ่ขึ้น หรือจากการเขียนบทความเงียบๆ ลองเขียนให้เพจที่มีผู้อ่านจริง ซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น แต่ผลตอบแทนก็สูงกว่าอย่างมหาศาล
====
🛠️ เปลี่ยนงานประจำให้เป็นสนามฝึกฝน "จากคนทำงาน → นักฝึกฝน"
ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว ความได้เปรียบไม่ได้อยู่ที่ใครทำมากกว่า แต่อยู่ที่ใคร “เรียนรู้ได้ไวกว่า” และ “ปรับตัวได้ลึกกว่า” การพัฒนาตัวเองจึงไม่ควรรอแค่คอร์สอบรม หรือช่วงประเมินผลงานประจำปี แต่ควรเกิดขึ้นได้ “ทุกวัน” ผ่านงานที่เราทำอยู่แล้ว
ไม่ต้องลาออก ไม่ต้องรอหลักสูตรแพงๆ — แค่เปลี่ยน “มุมมอง” จากการทำงานเพื่อให้เสร็จ → เป็นการทำงานเพื่อให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ
1. 📋 เปลี่ยน To-Do List เป็น Learning List
* อย่าทำงานแค่เพื่อปิดกล่องใน checklist แต่ให้มองทุก task ว่าเป็น “โอกาสเรียนรู้” ที่ซ่อนอยู่ เช่น เขียนรายงาน = ฝึกการเล่าเรื่องเชิงข้อมูล, ทำ PowerPoint = ฝึก Visual Thinking
* ตัวอย่าง: ได้รับมอบหมายให้ทำสไลด์นำเสนอ? ลองกำหนดว่าครั้งนี้จะทดลองใช้ storytelling หรือ data visualization แบบใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน
2. 🤝 หา Feedback Buddy หรือ Mentor เฉพาะทาง
* อย่ารอให้ฟีดแบ็กมาจากหัวหน้าเพียงอย่างเดียว ลองจับคู่กับเพื่อนร่วมงานที่มีจุดแข็งต่างจากเรา เพื่อขอคำแนะนำ หรือแลกเปลี่ยน feedback อย่างจริงใจ
* ถ้ามี mentor เฉพาะทาง เช่น ด้าน presentation, negotiation, หรือ Excel formula ก็สามารถขอให้เขาช่วยดูงานเราและให้คำแนะนำรายเดือน
3. 🔍 ทำ Self-Retrospective ทุกสัปดาห์หรือหลังโปรเจกต์ใหญ่
* เขียน Reflection สั้นๆ ว่า:
* "ฉันได้ลองทำอะไรใหม่ในงานนี้?"
* "มีอะไรที่ไม่เป็นไปตามคาด?"
* "บทเรียนที่ได้คืออะไร? และจะทดลองปรับอะไรครั้งหน้า?"
* การเขียนเก็บไว้จะช่วยให้เห็น Pattern การพัฒนา และทำให้เราเรียนรู้จากตัวเองได้ลึกขึ้น แทนที่จะลืมไปอย่างรวดเร็ว
4. 📈 สร้าง Personal Growth Tracker
* ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น “ใน 3 เดือน จะพัฒนาทักษะ Storytelling จนสามารถพูดต่อทีมข้ามสายงานได้โดยไม่ต้องใช้สคริปต์”
* ใช้กลไก Feedback ที่วัดผลได้ เช่น ให้เพื่อนให้คะแนน 1–5 หลังเราพูดจบ หรือบันทึกวิดีโอตัวเองทุก 2 สัปดาห์แล้วเปรียบเทียบ
* นี่คือการฝึกแบบ Real World ที่ทำให้เรา “เห็นความก้าวหน้า” ได้จริง ไม่ใช่แค่รู้สึกว่าเก่งขึ้น
🧩 ถ้าเราฝึกแบบนี้สม่ำเสมอ งานทุกชิ้นจะไม่ใช่แค่สิ่งที่ต้องเสร็จ แต่คือ “สนามซ้อมระดับจริง” ที่เปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นเวอร์ชันที่เฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ
ถามตัวเองสั้นๆ ทุกคืนว่า “วันนี้เรา ‘ทำงาน’ หรือ ‘ฝึกฝน’?”
====
🌟 'คุณภาพ' สำคัญกว่า 'จำนวนชั่วโมง’?
“กฎ 10,000 ชั่วโมง” ไม่ผิด แต่ไม่เพียงพอ ถ้าชั่วโมงเหล่านั้นขาดการตั้งใจ ฝึกผิดวิธี หรือไม่มี Feedback ที่ดีพอ
เราต้องเลิกหลอกตัวเองว่าทำงานเยอะคือเติบโต เพราะสิ่งที่เปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นมืออาชีพ...คือ ‘ความตั้งใจ’ ที่เรากลั่นออกมาในทุกนาที ไม่ใช่แค่จำนวนชั่วโมง
📌 ถ้าเราไม่คิดว่าเรากำลังพัฒนาอะไร คนอื่นจะคิดแทนเรา...และบางครั้ง พวกเขาจะตัดสินจาก “อายุงาน” แทน “คุณภาพงาน” — ซึ่งไม่แฟร์เลย ถ้าเราไม่ได้พยายามแสดงความตั้งใจจริงให้เห็น
🧠 “ในโลกที่ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน…สิ่งที่ต่างไม่ใช่จำนวน แต่คือเจตนาและการออกแบบชั่วโมงนั้นๆ”
====
ข้อคิดหลักในบทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดเรื่อง "Deliberate Practice" ในหนังสือ "Grit" โดย Angela Duckworth
====
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#DeliberatePractice
#Grit
#ฝึกฝนอย่างตั้งใจ
#QualityOverQuantity
#LifelongLearning
#ProfessionalGrowth
การเรียนรู้
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย