23 ก.ค. เวลา 10:53 • ธุรกิจ

การตอบสัมภาษณ์งานแบบสุดเดือดจากคุณนพ พงศธร ในงาน CTC 2025

วันก่อน ผมมีโอกาสร่วมโต๊ะทานข้าวกับ คุณเอ็ม ธีรยา ธีรนาคนาถ CEO & Co-founder CareerVisa Digital ในการอบรมภายในขององค์กรแห่งหนึ่ง เลยได้คุยกันเรื่องเซสชัน “Business Growth Cycle” โดยคุณนพ พงศธร ในงาน CTC 2025 ที่พูดถึง เทคนิคการเร่งธุรกิจให้โต โดยเฉพาะตัวอย่างการสัมภาษณ์งานที่ฟังแล้วคืออย่างเดือด🔥😂
คุณนพยกตัวอย่างการสมัครตำแหน่ง Sales Manager โดยหากคุณนพมาเข้าสัมภาษณ์ คุณนพจะตอบกลับ HR หรือ CEO ดังนี้ (ขอยกตัวอย่างมาให้ได่อ่านกัน เพื่อเข้าใจบริบทมากขึ้นครับ)
เป้าหมายบริษัทคือ อยากโตจาก 200 ล้านบาทไป 500 ล้านบาท
บริษัทอยากโตจาก 200 ไป 500 ล้าน แล้วเท่าที่ผมฟังเนี่ย บริษัทยังไม่มี CRM และ Strategy ที่ชัดเจน สิ่งที่ผมจะทำถ้าผมได้เข้ามาเนี่ย คือ ผมจะมี Probation ประมาณ 3 เดือน ใน 3 เดือนนี้ผมต้องแจ้งลาออกจากที่ทำงานเก่า 30 วัน ซึ่งผมยังเหลือวันลาอีก 10 วัน ผมจะเข้ามาก่อน ผมอยากให้พี่ช่วยนัดเซลล์ของพี่ให้ผมใน 10 วันนั้นหน่อย ใน 5 วันแรกผมจะคุยกับเซลล์ทุกคน พอคุยกับเซลล์ทุกคนเสร็จ 5 วันหลัง ผมต้องการคุยกับลูกค้า 3 ประเภทของพี่
1) ลูกค้าที่เคยไปขาย แล้วขายได้ และปัจจุบันก็ใช้อยู่
2) ลูกค้าที่เคยไปขาย แล้วขายได้ แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว
3) ลูกค้าที่เคยไปขาย แต่ปิดการขายไม่ได้
มีกี่รายชื่อ ผมต้องการภายใน 5 วันนั้น ผมจะโทรหาพวกเขาให้ได้มากที่สุด
แล้วในวันที่ผมเริ่มทำงานเนี่ย ผมจะขอคุยกับทีม Marketing ก่อน เพราะบริษัทต่างๆ จะมีสองประเภทคือ
1) Sale Lead: เซลล์เป็นคนนำ Marketing เป็นซัพพอร์ต เช่น เซลล์แอมเวย์เป็นคนขาย และสิ่งที่สามารถทำให้ปิดการขายได้ง่ายคือ Marketing ช่วยขึ้น Billboard หรือป้ายโฆษณาต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าเปิดใจง่ายขึ้น
2) Marketing lead: การตลาดยิงแอดหาลูกค้า แล้วเซลล์มีหน้าที่ไปหาลูกค้าเพื่อเสนอราคา
บริษัทของเราเหมาะกับแบบแรกมากกว่า ฉะนั้นผมต้องคุยกับ Marketing ของพี่ ทีนี้ในสัปดาห์แรกถ้าคุยกันแล้ว ผมจะให้เขา Craft Strategy มาว่าเขาจะต้องใช้เงินกี่บาท Allocate ไปในกี่ส่วน เพื่อที่จะสร้าง Awareness ซึ่งโดยปกติแล้ว Conversion ของอุตสาหกรรมเราอยู่ที่ 1 ต่อ 20 หรือก็คือ เซลล์โทรหา 20 คน จะนัดคุยได้และปิดการขายได้ 1 คน
ยอดบิลเฉลี่ยเท่าที่ผมเห็นมา อยู่ประมาณ 5 ล้านบาทต่อใบ แสดงว่าอีก 300 ล้านที่พี่ต้องการเนี่ย น่าจะต้องการอีกจำนวนนี้ แล้วผมก็ต้องการที่จะทำให้ทั้งปีเนี่ย ผมทำถึง ฉะนั้นในสัปดาห์ที่ 2 ที่ผมเข้ามา ผมจะต้องเริ่มวางระบบ CRM ให้พี่ก่อน
จากเมื่อกี้ที่ถามมา พี่ไม่มีระบบ CRM ผมจะเปรียบเทียบให้ คือ CRM ที่ดีเนี่ย มันต้องใช้ SAP กับ Salesforce แต่ดูจากยอดขายพี่ อาจจะยังไม่พร้อมที่จะใช้ SAP ฉะนั้น ผมจะหา CRM ของไทย ประมาณ 3 เจ้ามาให้พี่เลือก ภายในสุดสัปดาห์ที่สอง พี่จะได้เลือกว่าจะเอาเจ้าไหน ผมจะให้เขา implement เข้ามา โดยใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
ระหว่างนั้น ผมจะหาคำตอบว่าเซลล์เก่า ๆ ของพี่เนี่ย ที่ผมถามดูคือ ไม่มีระบบอะไรเลย แสดงว่า เซลล์ที่อยู่เนี่ย เป็นเซลล์ที่ไม่มีที่ไป เพราะถ้าเซลล์ที่เขาเก่ง เขาน่าจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว เพราะว่าพี่ไม่มีระบบระเบียบในการให้โบนัสหรือเงินเดือนอย่างชัดเจนเลย ผมจะหาคำตอบให้ได้ว่า ใครที่เขาเก่งจริง ๆ แค่ต้องได้รับการฝึกฝน หรือเซลล์ปัจจุบันใช้ได้มั้ย ถ้าไม่ได้ สัปดาห์ที่ 4 พี่ต้องเอาเขาออก แต่ผมจะ Recruit คนใหม่มาให้พี่ในสัปดาห์ที่ 2 เหมือนกัน
เสร็จแล้วพอเข้ามาทั้งหมดนี้ ผมจะมาวาง Strategy เซลล์ ซึ่งผมจะไม่ลงไปขายเอง ผมจะมีเซลล์ทั้งหมด 15 คนให้กับพี่ ภายในสัปดาห์ที่ 5 ซึ่งก็คือเดือนที่ 2 เพราะอะไรทำไมต้องเป็น 15 คน?
เพราะว่าจาก Lead ที่พี่ทำมาเนี่ย มันมีตัวเลขดังต่อไปนี้ แล้วเราจะต้องไปขายให้ได้ ถ้า 15 คน ตีง่ายๆ ว่า 100 คนต่อเดือน เราก็จะได้ 1,500 Lead ต่อเดือน เปอร์เซ็นต์การปิดการขายอยู่ที่ 1 ต่อ 20 แปลว่าเราจะได้ยอดขายประมาณเท่านี้ แล้วเราจะค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ
แต่มันจะไม่เกิดขึ้น ถ้า Marketing พี่ ไม่ทำให้ด้วย ฉะนั้นถ้าพี่ให้ผมคุยกับ Marketing ตั้งแต่สัปดาห์แรก แล้วเขาไม่ Qualified ผมจะช่วยพี่หา Marketing Manager ผมพอรู้ว่า ผมต้องไปดึงตัวใครมา
สมมติผมทำได้หมดนี้ เดือนที่ 3 จาก 200 จะยังไม่ไปถึง 500 ล้านหรอก แต่มันจะขึ้นมาประมาณ 250 ก่อน แปลว่า อัตราเร่งมันกำลังดี ถ้าวันที่ 90 ผมทำ 250 ล้านไม่ได้ พี่ไม่ต้องไล่ผมออก ผมเซ็นใบลาออกเอง
คุณนพถามกลับว่าถ้าคุณเป็น HR หรือ CEO แล้วผมขอเงินเดือน 120,000 บาท คุณจะให้ไหม ?
1
จากเรื่องนี้ คุณเอ็มแบ่งปันมุมมองให้ฟังว่า คนที่จะสามารถพูดแบบนี้ได้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักกลยุทธ์ ซึ่งพอหน้างานจริง มันต้องใช้อีกความสามารถนึงในการรับแรงปะทะ แรงต่อต้าน เพราะถ้ามีแต่ความเป็นนักกลยุทธ์ โดนรีเจคบ่อยๆ ใจคนเราบางทีก็อาจจะท้อได้เหมือนกัน (ทั้งๆที่บางครั้ง สุ้ต่อ 2-3 ก้าวก็สำเร็จแล้ว) ซึ่งคนที่สามารถจะมีทั้งสองอย่างนี้ได้ ส่วนใหญ่เป็น entrepreneur กันหมด และเขาคงเลือกไปทำธุรกิจของตัวเองกันมากกว่า555
แล้วเราจะมีวิธียังไงในการรู้เรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์
คุณเอ็มแชร์ว่า เราก็อาจจะถามว่า
"อะไรคือเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตคุณ? แล้วคุณผ่านมาได้ยังไง?"
ซึ่งจะทำให้เราพอประเมินได้ว่าแคนดิเดตคนนี้มีความสามารถในการรับความเจ็บปวด และสู้ไม่ถอยหรือไม่ รวมถึงเขาต้องบอกได้ ว่าได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้มาบ้าง
ส่วนตัว ผมว่า คำตอบแบบที่คุณนพเล่าให้ฟังนั้น ถือว่า “เทพมาก” เพราะมันสะท้อนถึงระดับความตั้งใจจริง ความเข้าใจเชิงลึก และทักษะการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนกำลังจะไปสัมภาษณ์งานสามารถเรียนรู้และเตรียมตัวให้ดีขึ้นได้ แต่อีกด้านหนึ่ง สำหรับมุมมองของ HR ก็อย่างที่คุณเอ็มเล่าเลย คือ ถ้าเราอยากได้ “คนที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้จริง” เราต้องถามให้ลึกกว่านั้น เพื่อมองเห็นความสามารถในการรับแรงกดดัน และหัวใจที่ไม่ถอยง่าย ๆ อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เขาเสนอ ก็เป็นสิ่งสำคัญ
สามารถติดตามเรื่องราวดีๆ แบบนี้ได้อีกช่องทางผ่าน
Facebook Page: Por nattakorn 🙂
โฆษณา