23 ก.ค. เวลา 15:13 • ความคิดเห็น

ยูทำไปเพื่ออะไร

“Love beautifies the giver, and elevates the receiver “ Swananda
ที่คลาสเอบีซีที่ผมทำร่วมกับพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ จะมีช่วงสั้นๆที่ให้นักเรียนออกมาเล่าเรื่องของตัวเอง เรื่องราวหลายเรื่องเป็นเรื่องเปลี่ยนชีวิต เหตุการณ์กระทบใจ หรือเหตุการณ์ตื่นเต้นต่างๆ
1
มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้องพิ้งค์ กัณทิมา นักเรียนคนหนึ่งที่ทำธุรกิจที่บ้าน มาเล่าเรื่องราวในชีวิตที่ดูเรียบๆง่ายๆ แต่กระทบมุมมองของผมอย่างมาก
น้องพิ้งค์เกิดมาในครอบครัวคนจีนที่ลูกสาวมักมีความสำคัญน้อยกว่าลูกชาย อยากกินปลาทูก็ต้องให้พี่ชายก่อน มีอะไรก็ได้ทีหลังพี่ จนทำให้พิ้งค์น้อยเนื้อต่ำใจในความเป็นผู้หญิง ทำไมไม่มีใครรัก
หลายปีที่สะสมทำให้พิ้งค์เริ่มมีความอิจฉารุนแรง ในเมื่อเราไม่ได้ก็จะต้องต่อสู้ ตะโกน โวยวาย จะเอาให้ได้ นิสัยไม่ดีเป็นที่น่าอับอาย เป็นเด็กเวรของที่บ้าน จนอายุสิบห้าก็โวยวายอาละวาดจะไปเรียนเมืองนอกเพราะพี่ชายได้ไปเรียน บ่นจนป๊าส่งให้ไป
พิ้งค์ไปอยู่ที่อเมริกา ไปอยู่แบบพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ ได้แต่ยิ้มกับเยส ร้องไห้ทุกวันมาหนึ่งเดือน มีเด็กฝรั่งคนหนึ่งชื่อลอรี่เห็นพิ้งค์เศร้าเสียใจอยู่ เดินมาชวนไป trick or treat ซึ่งเป็นกิจกรรมฮาโลวีน ไปอยู่ท่ามกลางฝรั่งที่แปลกแยกที่บ้าน
ก่อนจะกลับ ลอรี่จูงมือพิ้งค์ไปหาพ่อแม่ของเธอ พ่อแม่สองคนก็เอ่ยปากชวนพิ้งค์ไปเทศกาล thanksgiving เป็นเทศกาลขอบคุณพระเจ้าที่เป็นวันหยุดสิบวัน ในช่วงสิบวันนั้น คุณพ่อเดฟ คุณแม่ซูซาน ก็พาไปเที่ยว ไปหาดทราย ไปกินอาหารไทย พิ้งค์ก็งงว่าทำไมถึงชวนมาและดูแลเด็กเอเชียที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้และเพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้
แปลกใจในมุมของเด็กที่ไม่เคยได้อะไรต้องโวยวายอาละวาดเพื่อให้ได้มา อยู่ดีๆ มีคนให้แบบไม่รู้ว่าให้ทำไม ดูแลทุกอย่าง สตางค์อะไรก็ไม่เอา …
ในตอนนั้นพิ้งค์คิดว่าสิบวันแล้วก็คงจบไป ฝรั่งก็คงเห่อเด็กเอเชียเป็นของเล่นเอามาเล่นสิบวันแล้วก็คงห่างๆ กันไป ปรากฏว่าพิ้งค์คิดผิด ตลอดเวลาสี่ปีที่พิ้งค์อยู่ที่โน่น ครอบครัวนี้ดูแลทุกอย่าง พาไปสกี อยากกินอาหารไทยก็พาไป พาไปทะเล ดูแลเหมือนลูก
พิ้งค์จำได้ว่าทุกครั้งที่ไปบ้าน เขาก็จะเตรียมซอสพริกขวดใหม่ไว้ให้ทุกครั้งเพราะกลัวอาหารไม่ถูกปาก มีครั้งหนึ่งพิ้งค์เปิดตู้เย็นเจอซอสพริกสิบขวด ก็สงสัยว่าต้องทำขนาดนี้เลยเหรอสำหรับการดูแลเด็กแค่คนเดียว
หรือไปแข่งเทนนิส พิ้งค์ก็ไม่เคยมีใครมาเชียร์ แต่ครอบครัวนี้มานั่งดูนั่งเชียร์ตลอดทั้งๆที่ไม่ใช่พ่อแม่
เห็นพิ้งค์เป็นลูกอีกคนหนึ่งตลอดสี่ปีที่อยู่ที่อเมริกา
1
ระหว่างเล่าเรื่อง พิ้งค์โชว์จดหมายที่มีค่าที่สุดในชีวิตที่เป็นลายมือจากครอบครัวนี้ว่า Love, from your American family… my asian daugther เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับพิ้งค์
เรื่องราวเล็กๆของคนธรรมดาที่ไม่ได้มีจุดพีค ไม่ได้มีจุดว้าว แต่ทำให้สม่ำเสมอเป็นร้อยๆ ครั้งจนรู้สึกท่วมท้นถึงความรัก พิ้งค์บอกว่าสิ่งที่ได้จากอเมริกานั้นไม่ใช่การศึกษา แต่คือวิธีคิด giver ของครอบครัวนี้
1
เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้พิ้งค์เปลี่ยนทัศนคติไปอย่างสิ้นเชิง พิ้งค์หันกลับมาขอบคุณเรื่องราวในชีวิตทุกอย่าง จากชีวิตที่เคยมีแต่อิจฉาริษยา ต้องการเงิน ไม่เคยพอใจอะไร กลับมาขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ไปเรียนต่อและเปลี่ยนชีวิตตัวเองทั้งๆที่ไม่ได้มีสตางค์
เปลี่ยนมุมมองจาก taker เป็น giver แทน พิ้งค์ก็เริ่มอุปถัมภ์เด็กน้อยสามคนที่ไม่มีโอกาส เพิ่มผู้ใหญ่ใจดีขึ้นมาอีกหนึ่งคนในสังคม
พิ้งค์บอกว่า ตอนนี้ไม่เคยโหยหาอยากกินปลาทูอีกแล้ว ไม่ได้โหยหาอ้อมกอดแล้ว แต่อยากเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับเพราะรู้ซึ้งถึงพลังแห่งผู้ให้จากครอบครัวแสนดีที่พิ้งค์ไปเจอมาที่อเมริกา
2
พิ้งค์สงสัยมาตลอดว่าทำไมในโลกที่มีแต่ความโหดร้ายเกลียดชัง ทำไมครอบครัวเล็กๆ สามคนนี้จึงมองข้ามทุกอย่างแล้วมารับเด็กเอเชียคนนึงที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแล้วรักเหมือนลูก แม้แต่เพื่อนพิ้งค์ที่เป็นลูกสาวบ้านนี้ก็ยังเปิดใจให้พ่อแม่แบ่งความรักให้พิ้งค์
พิ้งค์เลยตัดสินใจไปถามเขาว่าที่ทำให้พิ้งค์ทั้งหมด ให้พิ้งค์เยอะขนาดนี้ ยูทำไปเพื่ออะไร…
คำตอบของบ้านนี้ก็แสนเรียบง่าย แค่ตอบสั้นๆ ว่า…
ไอให้เพราะไออยากให้ ไม่เห็นต้องมีเหตุผลอะไรเลยนี่นา
ผมก็เองก็เชื่อว่าถ้าเด็กน้อยสามคนที่น้องพิ้งค์อุปถัมภ์มา คงสงสัยว่าพิ้งค์มาช่วยเขาทำไมและถามคำถามเดียวกัน น้องพิ้งค์ก็น่าจะตอบแบบเดียวกันอย่างแน่นอนและก็เชื่อว่าเด็กน้อยสามคน ถ้ามีโอกาสให้ก็จะให้คนอื่นต่อไปอย่างแน่ๆ
2
ผมอยากเขียนถึงเรื่องราวแบบนี้ในบรรยากาศและสื่อรอบตัวที่พร้อมกระตุ้นให้เราโกรธ กราดเกรี้ยว โมโห ให้เราก่นด่าคนในโซเชียล เผื่อจะช่วยเตือนความเป็น giver ในตัวเรากันที่ซ่อนอยู่จากสภาวะลบ
และก็ช่วยเตือนกันว่าโลกก็ไม่ได้มีแต่คนใจร้ายใส่กันเสมอไป
Givers breed givers ก็ได้เช่นกันนะครับ….
โฆษณา