24 ก.ค. เวลา 13:26 • ท่องเที่ยว
Lofoten

🗻✨ “โลโฟเตน” หมู่เกาะเหนือโลก ที่สวยเหมือนหลุดมาจากโปสการ์ด

เรื่องเล่าจากคนหลงทาง…แล้วตกหลุมรักหมู่บ้านปลาตากแห้งกลางฟยอร์ด ลองคิดดูสิคะ
ถ้าวันหนึ่งคุณได้ไปที่ที่ไม่มีห้าง ไม่มี Starbucks ไม่มีตึกสูง ไม่มีอะไรเลยนอกจาก ภูเขา ทะเล หมู่บ้านไม้ และกลิ่นปลาตากแห้ง
ฟังดูไม่ดึงดูดใช่ไหม?
แต่เดี๋ยวก่อน! ขอให้คุณอย่าเพิ่งปิดบทความนี้ เพราะสิ่งที่กำลังจะเล่าต่อไป อาจทำให้คุณอยากเก็บกระเป๋าแล้วบินไปนอร์เวย์ทันที (แม้จะเหลือเงินแค่พอซื้อลูกชิ้นในเซเว่นก็ตาม)
🎒 นี่คือ “โลโฟเตน” (Lofoten Islands)
หมู่เกาะโลโฟเตน (Lofoten Islands) สวรรค์เหนือเส้นอาร์กติกที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต
โลโฟเตนถูกจัดอันดับในหลายสำนักให้เป็น
“Top 10 Most Beautiful Islands in the World” (โดย CNN, Lonely Planet, National Geographic)
หมู่เกาะโลโฟเตน คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่น่าหลงใหลที่สุดของนอร์เวย์ ด้วยทิวทัศน์ที่ดูราวกับภาพวาด หมู่เกาะนี้ทอดตัวยาวอยู่เหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก โลโฟเตนมีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยภูเขาหินแกรนิตสูงชันที่พุ่งขึ้นจากทะเลสีฟ้าใส พร้อมหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่เรียงรายด้วยกระท่อมไม้สีแดงแบบ “rorbu” ที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ให้บรรยากาศเรียบง่ายแต่งดงามแบบนอร์ดิกแท้ ๆ
สิ่งที่ทำให้โลโฟเตนแตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่น คือการผสมผสานของธรรมชาติที่ขรุขระแต่เปี่ยมด้วยความสงบ เสน่ห์ของที่นี่ไม่ได้มีแค่ภูเขาและมหาสมุทร แต่ยังมีฟยอร์ดลึก หาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลใสเหมือนกระจก และแสงเหนือ (Northern Lights) ที่ปรากฏในฤดูหนาวได้อย่างชัดเจน เป็นหนึ่งในสถานที่ชมแสงเหนือที่ดีที่สุดในโลก และในฤดูร้อนก็จะได้สัมผัสพระอาทิตย์เที่ยงคืน (Midnight Sun) ซึ่งพระอาทิตย์ไม่ตกดินเลยตลอดหลายสัปดาห์ – เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและหาไม่ได้จากที่อื่น
วิวที่เห็นตรงหน้า…ไม่ใช่แค่สวยธรรมดา
แต่มันคือการปะทะกันระหว่าง ทะเลสีฟ้าใส กับ ภูเขาแหลม ๆ สูงปรี๊ด ที่จู่ ๆ ก็โผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
หมู่บ้านชาวประมงไม้สีแดงก็เรียงตัวกันอย่างน่ารัก ราวกับฉากในแอนิเมชันของพิกซาร์
ขอเรียกง่าย ๆ ว่า “หมู่บ้านที่แม้แต่หินข้างถนนก็น่าถ่ายรูป”
ภาพถ่ายในช่วงฤดูร้อน ปี 2020 เวลา 00:40 เราเพิ่งลงมาจากเขา ดวงอาทิตย์ไม่ตกในฤดูร้อน ส่วนภาพมีหิมะเป็นภาพในฤดูหนาว เครดิตภาพจาก Internett
โลโฟเตน (Lofoten) ไม่ใช่แค่หมู่เกาะทางตอนเหนือของนอร์เวย์ แต่มันคืออีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากทุกที่ที่คุณเคยรู้จัก ทั้งในแง่ของภูมิประเทศ สภาพอากาศ วัฒนธรรม และความรู้สึกที่ได้เมื่อได้เหยียบย่างเข้าไป
แม้โลโฟเตนจะตั้งอยู่เหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ซึ่งโดยปกติแล้วคือพื้นที่ที่หนาวเย็นเกือบทั้งปี แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่พิเศษก็คือ “มันไม่ได้หนาวอย่างที่คิด” ในช่วงฤดูร้อนจะอบอุ่นกว่าเมืองอื่นในละติจูดเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด ด้วยอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่น Gulf Stream ที่ไหลผ่านชายฝั่งนอร์เวย์ตอนเหนือ ในขณะที่เมืองทางตอนเหนือของแคนาดาหรือไซบีเรียอยู่ในระดับเดียวกันและมักจะติดลบยาวนานตลอดฤดูหนาว โลโฟเตนกลับมีอุณหภูมิที่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจและน่าทึ่งในตัวมันเอง
หมู่เกาะนี้มีพื้นที่ราว 1,200 ตารางกิโลเมตร (ใหญ่กว่าภูเก็ตเกือบสองเท่า) แต่กลับมีประชากรเพียงประมาณ 24,000 คน หรือพูดอีกแบบคือ ทั้งเกาะนี้คนอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขตดอนเมืองในกรุงเทพฯ ที่เราเดินเบียดกันทุกวัน ความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความหมายแบบนี้เองที่ทำให้โลโฟเตนกลายเป็นที่ที่ใครหลายคนใช้ “หนีจากโลก” ชั่วคราว แล้วกลับมาเจอโลกจริง ๆ ที่ธรรมชาติยังงดงามอยู่
สิ่งที่คุณจะได้เจอที่โลโฟเตนในฤดูร้อน คือแสงอาทิตย์ที่ไม่มีวันตก – ใช่คะ พระอาทิตย์เที่ยงคืนเป็นของจริงที่นี่ มันจะลอยอยู่ใกล้เส้นขอบฟ้าไปตลอดทั้งคืน ให้แสงนวล ๆ เหมือนช่วงเย็นตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะออกเดินเขาตอนตีสอง หรือพายคายัคตอนตีสาม คุณก็ยังเห็นวิวเหมือนตอนห้าโมงเย็นเป๊ะ ๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แปลกและวิเศษมาก ส่วนในฤดูหนาว คุณจะได้พบกับปรากฏการณ์แสงเหนือ (Aurora Borealis) ที่ระบำอยู่บนท้องฟ้าแบบไม่มีแสงเมืองมากวนใจ
เครดิตภาพจาก Mitty Motto ภาพแสงเหนือ
โลโฟเตนเป็นหนึ่งในจุดชมแสงเหนือที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป เพราะไม่มีตึกสูง ไม่มีหมอกควัน มีเพียงฟ้าเปิดและความเงียบ หากคุณโชคดีเท่านั้นคุณจะได้เห็นมัน คนนอร์เวย์ที่อยู่ต่าง
เมืองทางใต้ ก็อาจไม่มีโอกาสได้เห็น เคยลองเพื่อน ๆ นอร์เวย์บางคน เขาก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน สำหรับตัวเอง เดินทางมากกว่า 5 ครั้ง จึงมีโอกาสได้เห็นมันอย่างสมใจ นั่นคือ ความมหัศจรรย์ของตัวเองที่ได้รับ
มีครั้งหนึ่ง เจอหญิงวัยกลางคนจากอิตาลีที่เดินทางคนเดียวมาที่นี่ เธอบอกว่า “ที่มาที่นี่ เพราะอยากรู้ว่า แสงเหนือที่เคยเห็นในหนัง มันรู้สึกยังไงเมื่ออยู่ต่อหน้า…” และเธอก็ได้เห็นจริง ๆ ในคืนที่ท้องฟ้าเปิด และแสงเหนือระบำอยู่เหนือศีรษะเธอ นั่นแหละ…เธอร้องไห้เลย เราเองก็บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน เมื่อครั้งแรกที่ได้เห็น กรี๊ดเสียงสนั่นลั่นทุ่ง เหมือนคนบ้าแบบ จิตวิปลาตไปชั่วขณะ
ที่นี่มีภูเขาชื่อ Reinebringen ซึ่งบอกก่อนว่าทางขึ้นไม่เหมือนเดินในสวนลุม! ต้องปีนกันจริงจังหน่อย แต่ขอบอก…วิวด้านบนคุ้มมาก! เห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ท่ามกลางฟยอร์ดแบบพาโนรามา ใครได้ขึ้นไปจะเข้าใจคำว่า “เหนื่อยแทบตายแต่โคตรคุ้ม!” ใช่เลย เราต้องเดินขึ้นบันได ที่ทางรัฐบาลจัดทำเพื่อให้สะดวกมากขึ้น ตอนปี 2020 ที่เราเดินขึ้นไป บันไดยังสร้างไม่ถึงจุดยอดของภูเขา ต้องปีนแบบชันมากอีก 300 เมตรได้ ห้ามมองลงด้านล่างเด็ดขาด เรากับเพื่อนจับปีนเหลี่ยมเขาที่ถ้าพลาดก็ไม่อาจมีลมหายใจต่อได้
บันไดกว่า 1400 ขั้น กว่าเราจะไปถึง แต่คุ้มมากมาย เวลา 23:40 ก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย สวยสมใจ ปัจจุบันบันไดได้มีการทำเพิ่มกว่า 1500 ขั้น
ยอดเขา Reinebringen ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่เกาะแห่งนี้ แม้จะมีชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ — ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ ปลอดภัยเสมอไป นี่คือด้านที่หลายคนอาจมองข้ามไปเมื่อเห็นภาพสวย ๆ บนโซเชียลมีเดีย
ความสวยที่แฝงด้วยอันตราย – Reinebringen ไม่ใช่แค่ฉากฝัน
แต่สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครเล่า คือ เส้นทางขึ้นเขานี้ทั้งชัน แคบ และอาจลื่นอันตรายถึงชีวิตในบางสภาพอากาศ แม้จะมีการสร้างบันไดหินกว่า 1,500 ขั้นโดยชาว Sherpa จากเนปาล เพื่อเพิ่มความปลอดภัย แต่ธรรมชาติของภูเขายังคง “ดิบ” อยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อฝนตก หรือมีหมอกลงจัด
ช่วงเวลาที่ควรระวังเป็นพิเศษ
• ❄️ ปลายฤดูใบไม้ผลิ – ต้นฤดูร้อน (พฤษภาคม – มิถุนายน):
เป็นช่วงที่หิมะบางส่วนยังไม่ละลายหมด เส้นทางบางจุดอาจมีน้ำแข็งซ่อนตัวอยู่ใต้ก้อนหิน เดินพลาดเพียงก้าวเดียวก็อาจลื่นตกได้
• 🌧️ ฤดูฝน (ปลายสิงหาคม – ตุลาคม):
ฝนตกทำให้บันไดหินและทางเดินกลายเป็นโคลนลื่น ทางบางช่วงไม่มีราวจับ ไม่มีพื้นที่ให้หยุดพักหรือหลบ ต้องใช้สมาธิและรองเท้าดี ๆ เท่านั้น
• 🌫️ ช่วงที่มีหมอกจัด:
วิวอาจหายไปจนหมดก็จริง แต่ที่อันตรายยิ่งกว่าคือ มองไม่เห็นขอบหน้าผา หรือทางแคบที่ต้องเบี่ยงหลบคนสวนทาง หมอกสามารถทำให้คนหลงทิศหรือก้าวพลาดได้ง่ายมาก
• 💨 วันลมแรง:
แม้จะไม่มีฝนหรือหมอก แต่ลมที่พัดแรงจัดบนยอดเขาสามารถพัดคนเสียหลักได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่คุ้นชินกับภูเขาสูง
อากาศที่นอร์เวย์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช็ครายละเอียดให้พร้อมก่อนออกเดินทาง
ย้อนไปปีที่ผ่านมาก็มีข่าวเกี่ยวกับการช่วยเหลือทางอากาศและอุบัติเหตุหลายครั้งบนเขาแห่งนี้ เช่นในปี 2019 มีการช่วยนักปีนเขาด้วยเฮลิคอปเตอร์ถึง 3–4 ครั้งเฉพาะเดือนสิงหาคม หลังฝนตกหนักทำให้ทางเดินเละและกลายเป็นโคลนลื่น
ในปี 2022 เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระบุว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกคนเสียชีวิตบนยอดเขาในเดือนมิถุนายน 2022 โดยเป็นนักท่องเที่ยวอเมริกัน
อย่าหลงเชื่อแค่ภาพสวยในโซเชียล
ทุกปีมีนักท่องเที่ยวบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากการประมาทที่ Reinebringen เพราะคิดว่า “ทางมันสั้น แค่ขึ้นถ่ายรูปแล้วลง”
แต่ที่จริง เส้นทางนี้เป็นเส้นทางกลางภูเขาหินที่สูงชันและไม่อภัยความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว
ในขณะเดียวกัน ถ้าเตรียมตัวดี เคารพธรรมชาติ และรู้ขีดจำกัดตัวเอง การเดินขึ้น Reinebringen ก็จะกลายเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่คุณจะจำไปตลอดชีวิต — ไม่ใช่เพราะแค่วิวที่สวยที่สุดในนอร์เวย์
แต่เพราะคุณได้ “เอาชนะธรรมชาติอย่างมีสติ” และได้กลับลงมาอย่างปลอดภัย
การเตรียมตัวเพื่อความปลอดภัย
1. รองเท้าเดินเขาคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ใช่แค่รองเท้าผ้าใบทั่วไป แต่ควรเป็นรองเท้าปีนเขาที่มีดอกยางลึก และยึดเกาะได้ดี
2. เช็กพยากรณ์อากาศก่อนออกเดินทาง แม้ท้องฟ้าจะใสในตอนเช้า แต่ที่นี่อากาศเปลี่ยนแปลงได้ในไม่กี่ชั่วโมง เว็บไซต์ของ Lofoten หรือแอป Yr.no ให้พยากรณ์ที่แม่นยำพอสมควร
3. เตรียมน้ำ อาหาร และเสื้อกันฝน เส้นทางขึ้น-ลงใช้เวลาโดยเฉลี่ย 2–3 ชั่วโมง แต่บางคนใช้ถึง 4 ชั่วโมงหากพักบ่อยการมีของกินเบา ๆ และน้ำเพียงพอช่วยให้ไม่เหนื่อยล้าเกินไป และพร้อมเผชิญสภาพอากาศแปรปรวน แนะนำ Kviikk Lunsj ยี่ห้อ Chocolate ที่ควรพกพาติดตัว หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป
4. ห้ามปีนลัดเส้นทาง แม้บางจุดจะดูเหมือน “ทางลัด” แต่หลายคนเคยพลัดตกจากจุดเหล่านี้แล้ว และบางรายถึงขั้นเสียชีวิต เราเองก็เกือบเหมือนกัน แต่โชคดีที่วันนั้นอากาศดีมาก ปัญหาสำคัญ คือ การลื่น
5. หากเดินคนเดียว ต้องแจ้งคนรู้จักหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หรือใช้แอป GPS/แอปบันทึกเส้นทางเดินป่า เช่น Komoot, AllTrails เผื่อฉุกเฉิน
ภาพปลา codfish ถูกนำมาส่งที่ร้านอาหาร ซึ่งก็ไม่ควรพลาดในการชิมซุปปลาที่แสนอร่อย
ลองนึกภาพหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ทุกบ้านแขวนปลาค็อดแห้งเรียงเป็นแถว – เหมือนโรงซักรีดปลาก็ไม่ปาน อีกหนึ่งเสน่ห์คือวัฒนธรรมที่ไม่เสแสร้ง ชาวบ้านที่นี่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่จริงใจ พวกเขายังรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่นการเฉลิมฉลองฤดูปลาทุกปี ร้านกาแฟเล็ก ๆ มักมี เบเกอรี่โฮมเมด ที่ทำจากปลา หรือ Fisk cake ที่แสนจะอร่อย พร้อมคุณป้าเจ้าของร้านที่ยิ้มให้แบบไม่ต้องฝืน นั่งจิบกาแฟข้างฟยอร์ดอาจจะไม่มีเพลง Lo-fi เปิดคลอ แต่มีเสียงคลื่นเบา ๆ และลมเย็นที่พัดพารอยยิ้มออกจากใจอย่างไม่รู้ตัว
ที่นี้มีหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ อยู่หลายแห่ง สามารถขับรถเที่ยวตามเส้นทางสาย E10 (Lofoten National Tourist Route) ซึ่งเป็นแนวถนนเลียบชายฝั่งที่สวยที่สุดเลยก็ว่าได้ ระหว่างเกาะต่าง ๆ จะมีสะพานที่เชื่อมเกาะเข้าไว้ด้วยกันในหมู่เกาะ Lofoten แห่งนี้ จะมีสะพาน Enøysundet ซึ่งยาวประมาณ 180 เมตรทีเดียว คุณสามารถแวะชมหมู่บ้านชายทะเลหรือหาที่พักได้ตามเส้นทาง เช่น Reine, Nusfjord, Hamnøy และ Å คือสุดท้ายของหมู่เกาะแห่งนี้
ขับรถไปตามเส้นทางนี้จะเห็นวิวทะเล ภูเขา และบ้านชาวประมงสลับกันไปตลอดทาง มีจุดแวะถ่ายรูปมากมาย และถนนค่อนข้างเงียบ รถไม่เยอะ ขับเพลินแบบไม่ต้องรีบ การเที่ยวด้วยรถยนต์จึงเป็นทางเลือกหลักของนักท่องเที่ยวที่มาถึงแถบนี้ หรือปีนเขาง่าย ๆ เช่น Tjeldbergtinden หรือ Hoven (เหมาะสำหรับมือใหม่)
แค่วิวระหว่างทางขณะขับรถโดยไม่ต้องจอด ก็สวยบาดใจ วิวสาย E10
📌เกือบสุดท้ายปรากฏการณ์ธรรมชาติ – แสงเหนือ & พระอาทิตย์เที่ยงคืน
• ฤดูหนาว (ต.ค.–มี.ค.) เป็นช่วงชม แสงเหนือ (Aurora Borealis) ที่ยอดเยี่ยม
• ฤดูร้อน (ปลายพ.ค.–กลางก.ค.) จะได้สัมผัส พระอาทิตย์เที่ยงคืน – ดวงอาทิตย์ไม่ตกดินเล
🚗 จะไปยังไง? ยากไหม? ถ้าจะมาเที่ยว Lofote
พูดตรง ๆ… ไปยากนิดหน่อยคะ (ไม่ได้ขึ้น MRT แล้วถึงแน่นอน)
คุณต้องบินจากออสโลไปเมืองชื่อว่า Bodø จากนั้นเลือกเอาจะนั่งเรือเฟอร์รี่ไป หรือขึ้นเครื่องบินเล็ก ๆ ไปลงที่สนามบินเล็ก ๆ ในเกาะอย่าง Svolvær หรือ Leknes
แต่เชื่อเถอะ…
ทันทีที่คุณก้าวออกจากสนามบิน แล้วเห็นภูเขาหินแหลม ๆ โผล่มาอยู่ข้างหน้า
คุณจะลืมทุกความเหนื่อย และพูดกับตัวเองว่า…
“เออ…คุ้มโว้ย”
เรามาพักกันที่ เมือง Å สวยสมใจ เดินขึ้นเขาได้หลังทานอาหารเย็น
💡 เคล็ดลับท่องเที่ยว
• ฤดูร้อนคือช่วงที่ดีที่สุดในการเที่ยวแบบนี้ (มิถุนายน–สิงหาคม)
• อย่าลืมพกรองเท้าเดินสบาย และเสื้อกันลม เพราะแม้อากาศจะดี แต่ลมทะเลแรง
• รถเช่าจำเป็นมากสำหรับเส้นทางนี้ เพราะระบบขนส่งสาธารณะครอบคลุมไม่ทั่วถึง
✈️ สรุปว่า…ทำไมโลโฟเตนถึง “ไม่เหมือนที่ไหนในโลก”?
• ที่อื่นมีภูเขา ที่อื่นมีทะเล แต่ ไม่มีที่ไหนที่ภูเขาพุ่งจากทะเลทันที
• ที่อื่นอาจมีธรรมชาติสวย แต่ ไม่มีที่ไหนที่ธรรมชาติใหญ่กว่าคนขนาดนี้
• ที่อื่นอาจมีความสงบ แต่ ไม่มีที่ไหนที่เงียบจนคุณได้ยินเสียงใจตัวเองชัดขนาดนี้
• และที่อื่นอาจมีหมู่บ้านปลาน่ารัก ๆ แต่ ไม่มีที่ไหนที่ปลาตากแห้งกลายเป็นศิลปะกลางฟยอร์ด
การเที่ยวแถบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของ “วิว”
แต่มันคือการ “ใช้ชีวิตช้า ๆ”
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยเกินจะอธิบาย
เดินเล่นริมฟยอร์ด มองภูเขา นั่งจิบกาแฟ แล้วเงยหน้าดูท้องฟ้า
ไม่มีอะไรเร่งรีบ ไม่มีความวุ่นวาย
ถ้าคุณกำลังหาที่เงียบ ๆ เพื่อรีเซ็ตใจ… ที่นี่เหมาะกับคุณมาก ๆ คะ
ขอเป็นกำลังใจให้ป้าดาวด้วยนะคะ ชอบเที่ยวและเดินทาง ด้วยวัยของป้าเอง ต้องขอบคุณตัวเองที่ยังแข็งแรงและสามารถเดินทางและมีความสุขกับการเดินเขาเข้าป่า ฝากกดติดตามด้วยนะคะ
เขียน โดย ป้าดาวนอร์เวย์
เพจ ป้าดาวนอร์เวย์
#ป้าดาวนอร์เวย์ #เที่ยวไปเรื่อย #visitoslo #lifeinnorway
โฆษณา