27 ก.ค. เวลา 06:18 • ประวัติศาสตร์

Battle of Mount Badon ยุทธการสำคัญที่ (ยัง) ไม่รู้ว่ารบกันที่ไหน

เชื่อว่าท่านที่หลงเข้ามาอ่าน Blog นี้ส่วนใหญ่จะไม่เคยได้ยินเรื่องการยุทธที่เนินเขาบาดัน (Badon)
อาจจะมีข้อยกเว้นสำหรับท่านที่เป็นนักประวัติศาสตร์ตัวจริงหรือผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์อังกฤษอย่างจริงจัง
หรือไม่อีกทีก็ต้องเป็นแฟนตัวยงของตำนานกษัตริย์อาเธอร์ ระดับที่ก้าวข้ามเรื่องโรมานซ์ทั้งหลายไปสู่การค้นหาตัวจริงของอาเธอร์ในประวัติศาสตร์แล้ว
การยุทธที่เนินเขาบาดันสำคัญอย่างไร
สำคัญตรงที่ในการยุทธครั้งนี้ชาวไบรตันหรือเคลท์ซึ่งเป็นพื้นเมืองอังกฤษมีชัยชนะเด็ดขาดเหนือผู้รุกรานชาวแซกซัน ส่งผลให้เกาะอังกฤษเข้าสู่ยุคสมัยที่มีสันติสุขอยู่หลายทศวรรษ
แฟนคลับของอาเธอร์เรียกยุคสมัยที่สันติสุขนี้ว่ายุคทองของกษัตริย์อาเธอร์ (Arthurian Golden Age)
นักประวัติศาสตร์ประมาณว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งบนเส้นเวลาระหว่างปี ค.ศ. 495 – 510
จะเห็นว่านอกจากไม่รู้ว่ารบกันที่ไหนแล้ว รบกันเมื่อไรก็ยังไม่รู้แน่ รู้แต่ว่าใครรบกับใครและฝ่ายไหนชนะเท่านั้น
มาปูพื้นความเข้าใจกันก่อน
ก่อนหน้านั้นพื้นที่ทางใต้ของเกาะอังกฤษอยู่ใต้การปกครองของโรม แต่เมื่อการเมืองภายในของโรมเริ่มไม่นิ่ง โรมไม่สามารถกระชับอำนาจการปกครองหัวเมืองในพื้นที่ห่างไกลได้ สภาพการณ์บนเกาะอังกฤษจัดว่าเป็นกลียุคย่อมๆ ได้ทีเดียว
เริ่มจากความวุ่นวายที่ชนพื้นเมืองชาวไบรตันลุกขึ้นต่อต้านการปกครองของโรม ไม่แต่เท่านั้นในพื้นที่ที่โรมแผ่อำนาจไปไม่ถึงก็มีอีกหลายเผ่าเช่นพิคท์และสก๊อตติที่คอยตอดเล็กตอดน้อยอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้วันดีคืนร้ายยังมีพวกแซกซันที่ล่องเรือจากภาคพื้นทวีปยุโรปข้ามมารุกรานเพื่อหวังยึดครองตั้งถิ่นฐานอีก
เรียกได้ว่าชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไปอยู่ไม่เป็นสุข ระแวงโจรผู้ร้ายอยู่ตลอดเวลา
กองทหารโรมันที่ควรจะมีหน้าที่คุ้มครองป้องกันและรักษาความสงบก็พึ่งไม่ได้ มีทั้งวินัยหย่อนยาน ละทิ้งหน้าที่ หนีทัพหรือแม้แต่แปรพักตร์
เมื่อปี ค.ศ. 410 จักรพรรดิโฮโนริอุสของกรุงโรมคงรู้สึกว่าไม่คุ้มที่จะรักษาดินแดนสุดขอบอารยะธรรมอย่างเกาะอังกฤษไว้อีก จึงทำการตัดหางปล่อยวัดอย่างเป็นทางการ บอกให้คนที่นั่นดูแลตัวเอง
อีทีนี้พื้นที่ตอนใต้ของอังกฤษก็เป็นรัฐล่มสลายอย่างแท้จริง เพราะไม่มีรัฐบาลกลางที่คอยจัดระเบียบสังคม แต่ละแคว้นแต่ละเมืองต้องดูแลตัวเอง ปกป้องชาวบ้านในเขตคุ้มครองของตัวเอง
ภัยคุกตามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคนั้นคือการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวแซกซัน ซึ่งไม่ได้มาโดยสันติแต่ถืออาวุธมาแย่งชิงที่ดิน เล่นเอาคนพื้นเมืองอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดกันทีเดียว
ในยุคที่โรมเรืองอำนาจนั้น อังกฤษได้รับการถ่ายทอดอารยะธรรมแบบชาวโรมันมามากพอดู ในเชิงโครงสร้างพื้นฐานมีการสร้างถนน ป้อมค่าย บ้านเรือน โรงมหรสพหรือแม้แต่ที่อาบน้ำสาธารณะแบบโรมัน ในเชิงวัฒนธรรมชนชั้นสูงในอังกฤษเรียนและพูดภาษาละติน ใช้ชีวิตแบบชาวโรมัน
ซึ่งแน่นอนว่ามีการเขียนถึงความเป็นไปต่างๆ แบบร่วมสมัยให้นักประวัติศาสตร์ได้ค้นพบ ศึกษาและตีความ
แต่เมื่อสิ้นสุดยุคที่โรมันเรืองอำนาจ ข้อเขียนเหล่านั้นพลอยยุติไปด้วย กลายเป็นยุคมืดไปชั่วเวลาหนึ่ง มีแต่หลักฐานทางกายภาพกับเรื่องเล่าแบบปากต่อปาก ตำนานหรือบทกวี ให้ตีความกัน
ดังนั้นเมื่อบรรดาวอร์ลอร์ดชาวไบรตันรวมตัวกันทำสงครามกับแซกซันและมีชัยชนะเด็ดขาดจนทำให้แซกซันต้องยุติการรุกรานเกาะอังกฤษไปหลายทศวรรษ จึงแทบไม่มีใครบันทึกไว้ว่ารบกันที่ไหนเมื่อไร
มีแต่เรื่องเล่าสืบต่อกันมา
บันทึกฉบับเดียวที่พอจะเรียกได้ว่าร่วมสมัยเป็นของกิลดาส์ (Gildas) ที่บอกว่าการยุทธที่เนินเขาบาดันเกิดขึ้นก่อนเวลาที่เขาเขียนบันทึกสี่สิบสี่ปี ซึ่งถ้าคิดว่าบันทึกนี้ถูกต้อง การยุทธที่เนินเขาบาดันจะเกิดในปี ค.ศ. 503
แต่ก็เช่นเคยว่านักประวัติศาสตร์มีปัญหากับวิธีการนับศักราชในเอกสารโบราณจนยังหาข้อยุติเรื่องนี้ไม่ได้
ที่ชุลมุนชุลเกยิ่งกว่านั้นคือกิลดาส์บันทึกไว้ว่าในการยุทธครั้งนี้ มีฝ่ายหนึ่งตั้งรับในป้อมค่ายและอีกฝ่ายหนึ่งปิดล้อม แต่ไม่ได้บอกว่าใครตั้งรับและใครปิดล้อม
ซึ่งเรื่องนี้พอจะเข้าใจได้ว่า ทุกคนในยุคนั้นรู้เรื่องการยุทธครั้งนี้ดี และกิลดาส์เองก็คงไม่คิดว่าสิ่งที่แกเขียนจะกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นเดียวที่เหลือให้คนรุ่นหลังศึกษา แกจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใส่รายละเอียดในสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว
ตัวกิลดาส์เป็นนักบวช ข้อเขียนของแกก็ออกไปในทางต่อต้านสังคม ทำนองว่าพระเจ้าลงโทษเพราะผู้คนไม่อยู่ในศีลธรรมอันดี
จะมีเรื่องเดียวที่แกชื่นชมก็คือการยุทธที่เนินเขาบาดัน ซึ่งอาจตีความได้ว่าเรื่องนี้มีผลกระทบใหญ่หลวงและชาวไบรตันร่วมสมัยกับแกต่างชื่นชมโสมนัสกับวีรกรรมของคนรุ่นก่อนที่เอาชนะผู้รุกรานได้
แล้วเรื่องนี้เกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์ตรงไหน
ตรงที่ตำนานหรืออาจจะเป็นวรรณกรรมที่แต่งขึ้นทีหลังหลายร้อยปีบอกว่า อาเธอร์คือผู้นำชาวไบรตันในการยุทธครั้งนั้น
บางกระแสถึงกับใส่รายละเอียดให้ในการยุทธชาวไบรตันเป็นฝ่ายตั้งรับ ชาวแซกซันเป็นฝ่ายปิดล้อม หลังจากฟัดกันนัวอยู่สองสามวัน อาเธอร์ก็นำหน้าทหารม้าชาร์จเข้าใส่แนวของแซกซัน สังหารนักรบแซกซันไปราวพันคน ปิดฉากการรุกรานไปได้พักหนึ่ง
ซึ่งถ้ามองกันตามสามัญสำนึกคือ ชาวไบรตันเป็นเจ้าของแผ่นดินมาแต่เดิมและชาวแซกซันเป็นผู้รุกราน ฝ่ายไบรตันตั้งรับในป้อมค่ายก็ดูสมเหตุผลอยู่ และถ้าสร้างภาพวีรบุรุษนำทหารม้าชาร์จใส่แนวข้าศึก มันก็ทำให้เกิดความฮึกเหิมเลือดรักชาติเดือดพล่านดี
จะเรียกว่ายุทธการนี้คือจุดสูงสุดของอาเธอร์ในฐานะวีรบุรุษที่รวบรวมชาวไบรตันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ขับไล่ผู้รุกรานพ้นไปจากแผ่นดินก็เป็นได้
เรื่องปิดฉากการรุกรานนี่นักโบราณคดีเชื่อว่ามีน้ำหนักที่เป็นไปได้ เพราะจากการขุดค้นพบว่า หลังช่วงต้นศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมาพบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของแซกซันเบาบางมากไปหลายทศวรรษ
มีบางรายบอกว่า โครงกระดูกชาวบ้านร้านถิ่นเชื้อสายไบรตันที่ขุดพบในช่วงนั้นแสดงถึงโภชนาการที่ดีระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า เป็นเพราะไม่มีการรุกรานจากศัตรูภายนอก หรืออีกทีก็เกิดจากการที่ไม่มีโรมคอยรีดภาษี
แต่เรียกว่าเป็นยุคทองพอได้อยู่
กิลดาส์ไม่ได้บันทึกไว้ว่าใครเป็นผู้นำนักรบชาวไบรตันในครั้งนั้น นักประวัติศาสตร์บอกว่าคนที่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นนักการทหารที่มีตัวตนจริงๆ ในช่วงเวลานั้น และเป็นน่าจะเป็นผู้นำชาวไบรตันได้คือ แอมโบรซิอุส ออเรลิอานุส (Ambrosius Aurelianus)
เราไม่รู้อีกเช่นกันว่าแอมโบรซิอุสมีเทือกเถาเหล่ากออย่างไร รู้แค่ว่าเขาเป็นชนชั้นสูง อาจเป็นเชื้อสายชาวโรมันที่มาตั้งหลักปักฐานในอังกฤษเมื่อนานมาแล้ว จนลูกหลานมีความรู้สึกว่าเป็นชาวไบรตัน หรือมิเช่นนั้นก็เป็นชาวไบรตันแท้ๆ ที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างชาวโรมันตามแบบฉบับของชนชั้นสูงในยุคก่อนหน้านั้น
กิลดาส์เขียนถึงแอมโบรซิอุสด้วยเหมือนกัน ระบุว่าเขาเป็นนักการทหารชั้นเลิศและเป็นผู้นำชาวไบรตันต่อตีผู้รุกรานชาวแซกซันได้ชัยชนะหลายครั้ง แต่ไม่ได้เจาะจงว่าเขาเป็นผู้นำในการยุทธที่เนินเขาบาดัน
ซึ่งผู้นำตัวจริงอาจเป็นคนอื่นที่ถูกกลืนหายไปในกระแสประวัติศาสตร์แล้วก็ได้
สุดท้ายวกกลับมาเรื่องที่จั่วหัวไว้ คือรบกันที่ไหน
ก็เหมือนกันที่ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ และก็ยังไม่มีการขุดค้นพบร่องรอยของสมรภูมิที่ควรจะมีทั้งร่องรอยของป้อมค่าย ซากอาวุธและที่สำคัญคือหลุมศพ
อย่างไรก็ตามสถานที่ที่ในปัจจุบันนักวิชาการส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่สุดคือเมืองชื่อ Bath ในอังกฤษ แต่ก็มีคนเสนอสถานที่อื่นทั้งในอังกฤษเอง เวลส์และสก๊อตต์แลนด์ ซึ่งข้ออ้างส่วนใหญ่คือชื่อที่พ้องเสียงกัน และตำแหน่งที่ตั้งที่น่าจะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในอดีต
สรุปคือ ไบรตันและแซกซันรบกันจริงในยุทธการใหญ่ครั้งหนึ่ง ไบรตันชนะ ส่วนยุทธการครั้งนั้นเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไร ใครเป็นผู้นำทั้งสองฝ่ายไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
เรื่องนี้งงดี
โฆษณา