2 ส.ค. เวลา 04:29 • การเมือง

แนวคิด สังคมนิยม (Socialism): การวิเคราะห์เชิงลึกว่าด้วยอุดมการณ์ หลักการ และความจริงในโลกปัจจุบัน

สังคมนิยม (Socialism) คือปรัชญาทางเศรษฐกิจและการเมืองที่หลากหลาย ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ "ความเป็นเจ้าของร่วมกัน" (Social Ownership) ในปัจจัยการผลิต (Means of Production) เช่น โรงงาน ที่ดิน เครื่องจักร และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แนวคิดนี้มุ่งหวังที่จะลดหรือขจัดความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นที่เกิดจากระบบทุนนิยม โดยให้ความสำคัญกับการผลิตเพื่อประโยชน์ใช้สอยของสังคมโดยรวม มากกว่าการมุ่งสร้างกำไรสูงสุดให้แก่เอกชน
⚙️ หลักการและกลไกสำคัญ (Core Principles and Mechanisms)
แม้สังคมนิยมจะมีหลายแขนง แต่มีหลักการร่วมที่สามารถระบุได้ ดังนี้:
1. กรรมสิทธิ์ร่วมในปัจจัยการผลิต: นี่คือหลักการแกนกลางที่แบ่งแยกสังคมนิยมออกจากทุนนิยมอย่างชัดเจน "กรรมสิทธิ์ร่วม" สามารถปรากฏในหลายรูปแบบ เช่น
  • รัฐเป็นเจ้าของ (State Ownership): รัฐบาลในฐานะตัวแทนของประชาชนเป็นผู้ควบคุมอุตสาหกรรมและบริการหลักๆ
  • สหกรณ์เป็นเจ้าของ (Cooperative Ownership): คนงานหรือสมาชิกในชุมชนร่วมกันเป็นเจ้าของและบริหารจัดการองค์กรของตน
  • สมบัติของส่วนรวม (Common Ownership): ทรัพยากรถูกจัดการโดยชุมชนโดยตรง โดยไม่มีกลไกของรัฐหรือตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องมากนัก
2. ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ (Economic Equality): สังคมนิยมมุ่งลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน โดยเชื่อว่าความมั่งคั่งที่สังคมสร้างขึ้นร่วมกัน ควรถูกกระจายอย่างเป็นธรรม กลไกที่ใช้ เช่น ระบบภาษีอัตราก้าวหน้า การจัดสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุม และการกำหนดเพดานรายได้
3. การผลิตเพื่อประโยชน์ใช้สอย (Production for Use): เป้าหมายหลักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจคือการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ (เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล) ไม่ใช่การสร้างกำไร (Production for Profit) การตัดสินใจว่าจะผลิตอะไร ผลิตเท่าไหร่ และเพื่อใคร จะถูกชี้นำโดยการวางแผนจากส่วนกลางหรือการตัดสินใจร่วมกันของชุมชน
4. ความร่วมมือและชุมชน (Cooperation and Community): ปรัชญาสังคมนิยมมองว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่สามารถทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมได้ดีกว่าการแข่งขันกันเอง จึงส่งเสริมคุณค่าของความสามัคคีและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
📈 วิวัฒนาการและประเภทของสังคมนิยม
แนวคิดสังคมนิยมมีรากฐานมายาวนาน แต่เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนในศตวรรษที่ 19 เพื่อตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและระบบทุนนิยม สามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ได้ดังนี้
  • สังคมนิยมยูโทเปีย (Utopian Socialism)) : เน้นการสร้างชุมชนในอุดมคติโดยสมัครใจเพื่อเป็นต้นแบบ โดยเชื่อว่าสามารถโน้มน้าวคนทุกชนชั้นให้เห็นถึงประโยชน์ของระบบใหม่ (อองรี เดอ แซงต์-ซิมง, ชาร์ลส์ ฟูเรียร์, โรเบิร์ต โอเวน)
  • ลัทธิมาร์กซ์ (Marxism)/สังคมนิยมปฏิวัติ (Revolutionary Socialism) : วิเคราะห์ว่าประวัติศาสตร์คือการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างนายทุน (Bourgeoisie) และชนชั้นกรรมาชีพ (Proletariat) เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมนิยมต้องเกิดจากการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพเพื่อโค่นล้มระบบทุนนิยม ( คาร์ล มาร์กซ์, ฟรีดริช เองเกลส์, วลาดิเมียร์ เลนิน)
  • ประชาธิปไตยสังคมนิยม (Democratic Socialism) : เชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมนิยมสามารถทำได้ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยและการปฏิรูป ไม่ใช่การปฏิวัติ โดยให้กรรมสิทธิ์ปัจจัยการผลิตที่สำคัญเป็นของสังคม ขณะที่ยังคงรักษาระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของพลเมือง (เอดูอาร์ด แบร์นชไตน์, พรรคแรงงานในอังกฤษช่วงแรก)
  • สังคมประชาธิปไตย (Social Democracy) : ไม่ได้มุ่งล้มล้างระบบทุนนิยม แต่ต้องการปฏิรูปโดยใช้กลไกรัฐเข้าแทรกแซงเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้าง "รัฐสวัสดิการ" (Welfare State) ที่แข็งแกร่ง และควบคุมตลาดให้อยู่ในกรอบที่เป็นธรรม เป็นรูปแบบที่พบได้ทั่วไปในกลุ่มประเทศนอร์ดิก (สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก)
  • สังคมนิยมแบบตลาด (Market Socialism) : พยายามผสมผสานระหว่างกรรมสิทธิ์ร่วมในปัจจัยการผลิตเข้ากับกลไกตลาด โดยให้องค์กรที่เป็นของสังคม (เช่น สหกรณ์) แข่งขันกันในระบบตลาด (ออสการ์ ลังเก, แนวคิดบางส่วนในยูโกสลาเวียในอดีต)
📚 กรณีศึกษาและผลลัพธ์
การนำแนวคิดสังคมนิยมไปปฏิบัติจริงให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก
  • สหภาพโซเวียตและกลุ่มยุโรปตะวันออก
เป็นตัวอย่างของ สังคมนิยมแบบรัฐ (State Socialism) ที่มีการวางแผนจากส่วนกลางอย่างเข้มข้น (Command Economy) ในช่วงแรกสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมหนักได้อย่างรวดเร็วและยกระดับการศึกษาและสาธารณสุขพื้นฐานได้ แต่ท้ายที่สุดต้องเผชิญกับปัญหาประสิทธิภาพต่ำ ขาดนวัตกรรม การขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และการจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การล่มสลายในที่สุด
  • กลุ่มประเทศนอร์ดิก (เช่น สวีเดน, เดนมาร์ก)
มักถูกอ้างถึงในฐานะตัวอย่างความสำเร็จของ สังคมประชาธิปไตย ประเทศเหล่านี้ยังคงรักษาระบบเศรษฐกิจแบบตลาดและกรรมสิทธิ์เอกชนไว้เป็นส่วนใหญ่ แต่มีการเก็บภาษีในอัตราที่สูงเพื่อนำมาจัดสรรเป็นรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพสูง เช่น การศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลถ้วนหน้า และการดูแลผู้สูงอายุ ผลลัพธ์คือ สังคมมีความเท่าเทียมสูง คุณภาพชีวิตดี และมีความสุขในอันดับต้นๆ ของโลก อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิผลสูงในการสร้างรายได้เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการที่มหาศาล
  • จีนและเวียดนาม
ปัจจุบันใช้ระบบที่เรียกว่า "เศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม" (Socialist Market Economy) ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ซับซ้อน โดยพรรคคอมมิวนิสต์ยังคงผูกขาดอำนาจทางการเมืองและควบคุมรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ แต่เปิดให้มีการแข่งขันแบบตลาดและกรรมสิทธิ์เอกชนในภาคส่วนอื่นๆ รูปแบบนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการขจัดความยากจนและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด แต่ก็มาพร้อมกับความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการไม่มีเสรีภาพทางการเมือง
🎙️การวิพากษ์สังคมนิยม (Critiques of Socialism)
แนวคิดสังคมนิยมถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็น โดยเฉพาะจากมุมมองของเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกและเสรีนิยมใหม่
1. ปัญหาการคำนวณทางเศรษฐกิจ (Economic Calculation Problem): นักเศรษฐศาสตร์อย่าง ลุดวิก ฟอน มีเซส และ ฟรีดริช ฮาเย็ค ให้เหตุผลว่า ในระบบเศรษฐกิจที่ไม่มีกรรมสิทธิ์เอกชนในปัจจัยการผลิตและไม่มีกลไกราคาที่เกิดจากตลาดเสรี ผู้ที่วางแผนจากส่วนกลางจะขาดข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การผลิตที่ขาดดุลหรือเกินดุล และการใช้ทรัพยากรที่ไม่คุ้มค่า
2. การลดลงของแรงจูงใจ (Reduced Incentives): นักวิจารณ์ชี้ว่าการกระจายความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียมและการที่รัฐเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ จะทำลายแรงจูงใจของปัจเจกบุคคลในการทำงานหนัก คิดค้นนวัตกรรม และรับความเสี่ยงทางธุรกิจ เพราะผลตอบแทนจากการทำงานหนักไม่ได้ตกอยู่กับตนเองโดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภาพโดยรวมของเศรษฐกิจลดลง
3. การสูญเสียเสรีภาพ (Loss of Freedom): การที่รัฐมีอำนาจควบคุมเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จมักจะนำไปสู่การขยายอำนาจควบคุมในด้านอื่นๆ ของชีวิต และอาจนำไปสู่ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) ดังที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศคอมมิวนิสต์ ฟรีดริช ฮาเย็ค เรียกเส้นทางนี้ว่า "ถนนสู่ความเป็นทาส" (The Road to Serfdom)
📊 แนวโน้มใหม่
ในศตวรรษที่ 21 แนวคิดสังคมนิยมไม่ได้หายไปไหน แต่มีการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ๆ
  • สังคมนิยมแห่งศตวรรษที่ 21 (21st-Century Socialism): เป็นแนวคิดที่พยายามเรียนรู้จากความล้มเหลวของรัฐสังคมนิยมในศตวรรษที่ 20 โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากภาคประชาสังคม ประชาธิปไตยในระดับรากหญ้า และการกระจายอำนาจมากขึ้น
  • การรับมือกับความท้าทายสมัยใหม่: นักคิดสังคมนิยมยุคใหม่กำลังถกเถียงว่าหลักการสังคมนิยมจะสามารถรับมือกับปัญหาปัจจุบันได้อย่างไร เช่น
ระบบอัตโนมัติ (Automation): แทนที่จะปล่อยให้เทคโนโลยีสร้างความเหลื่อมล้ำโดยทำให้คนตกงาน อาจใช้กรรมสิทธิ์ร่วมในหุ่นยนต์และ AI เพื่อให้ผลประโยชน์จากการเพิ่มผลิตภาพตกเป็นของสังคมโดยรวมในรูปของชั่วโมงทำงานที่สั้นลงหรือ "รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า" (Universal Basic Income)
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): การวางแผนเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากส่วนกลาง อาจมีประสิทธิภาพกว่าการปล่อยให้กลไกตลาดที่มุ่งเน้นกำไรระยะสั้นเป็นตัวตัดสิน ซึ่งมักจะมองข้ามต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม (Externalities)
สังคมนิยมเป็นอุดมการณ์ที่ซับซ้อนและมีหลากหลายรูปแบบ การประเมินคุณค่าของแนวคิดนี้จำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงประจักษ์จากกรณีศึกษาในประวัติศาสตร์ ควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจในหลักการเชิงทฤษฎีและข้อถกเถียงต่างๆ เช่นเดียวกับการวินิจฉัยโรคที่ต้องอาศัยหลักฐานทางคลินิกและพยาธิสรีรวิทยา การจะเข้าใจ "สังคมนิยม" ได้อย่างถ่องแท้จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งในเชิงอุดมคติ กลไกการทำงาน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง และการปรับตัวให้เข้ากับบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
🔆 กลุ่มประเทศที่มักถูกยกเป็น "ตัวอย่างของความสำเร็จ" (ส่วนใหญ่เป็นแบบสังคมประชาธิปไตย)
ประเทศในกลุ่มนี้ไม่ได้ล้มล้างระบบทุนนิยม แต่ใช้หลักการสังคมนิยมเข้ามาผสมผสานอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการสร้าง "รัฐสวัสดิการ" (Welfare State) ที่แข็งแกร่ง พวกเขายังคงรักษากลไกตลาดและกรรมสิทธิ์เอกชนไว้ แต่รัฐเข้ามามีบทบาทอย่างสูงในการเก็บภาษีเพื่อกระจายความมั่งคั่งและจัดหาบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ
ตัวอย่างสำคัญ: กลุ่มประเทศนอร์ดิก (สวีเดน, เดนมาร์ก, นอร์เวย์, ฟินแลนด์) 🇸🇪🇩🇰🇫🇮 ผ่านกลไกการบริหาร
  • ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economy): เป็นระบบทุนนิยมที่เปิดให้มีการแข่งขันเสรี แต่รัฐควบคุมอุตสาหกรรมที่สำคัญบางอย่าง และมีกฎระเบียบที่เข้มงวดเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและแรงงาน
  • ภาษีอัตราสูง: มีการเก็บภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจในอัตราที่สูงมาก เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับสวัสดิการสังคม
  • รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า (Universal Welfare): ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพสูงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือในราคาที่ต่ำมาก เช่น การรักษาพยาบาล, การศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย, เงินบำนาญ, เงินช่วยเหลือคนว่างงาน, และสิทธิการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรที่ยาวนาน
  • สหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง: มีบทบาทสำคัญในการกำหนดค่าจ้างและสภาพการทำงาน ทำให้แรงงานมีอำนาจต่อรองสูง
ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ (Evidence-Based Outcomes)
  • ความเหลื่อมล้ำต่ำ: เป็นกลุ่มประเทศที่มีช่องว่างระหว่างรายได้ของคนรวยและคนจนน้อยที่สุดในโลก
  • คุณภาพชีวิตสูง: มักได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก มีความปลอดภัยสูง และมีความไว้วางใจทางสังคม (Social Trust) ในระดับสูง
  • เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง: มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
ข้อสังเกต: ความสำเร็จของโมเดลนี้ไม่ได้มาจากการเป็น "รัฐสังคมนิยม" แต่มาจากการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพของระบบตลาดและความเป็นธรรมทางสังคมที่ได้จากหลักการสังคมนิยม
⛓️‍💥 กลุ่มประเทศที่มักถูกยกเป็น "ตัวอย่างของความล้มเหลว" (ส่วนใหญ่เป็นแบบรัฐสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์)
ประเทศในกลุ่มนี้ใช้แนวทางสังคมนิยมที่เข้มข้นกว่า โดยรัฐเข้าควบคุมปัจจัยการผลิตทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด (Command Economy) และมักปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยมพรรคเดียว
ตัวอย่างสำคัญ
สหภาพโซเวียต (The Soviet Union) 🇷🇺 ผ่านกลไกการบริหาร
  • การวางแผนจากส่วนกลาง (Central Planning): รัฐเป็นผู้กำหนดว่าจะผลิตอะไร, เท่าไหร่, และจำหน่ายอย่างไร โดยไม่มีกลไกราคาชี้นำ
  • กรรมสิทธิ์ของรัฐ: ปัจจัยการผลิตทั้งหมดเป็นของรัฐ ไม่อนุญาตให้มีกรรมสิทธิ์เอกชนในธุรกิจ
  • ระบบการเมืองพรรคเดียว: พรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ผลลัพธ์เชิงประจักษ์
  • ช่วงแรก: สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมหนักและแสนยานุภาพทางการทหารได้อย่างรวดเร็ว
  • ความล้มเหลวระยะยาว
  • เศรษฐกิจซบเซา: ขาดนวัตกรรมและประสิทธิภาพอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่มีแรงจูงใจและการแข่งขัน
  • การขาดแคลนสินค้า: เกิดปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนต้องต่อคิวยาวเพื่อซื้อของ
  • การสูญเสียเสรีภาพ: มีการกดขี่ทางการเมืองอย่างรุนแรง, ละเมิดสิทธิมนุษยชน, และไม่มีเสรีภาพในการแสดงออก
  • การล่มสลาย: ในที่สุดระบบเศรษฐกิจและการเมืองก็ล่มสลายลงในปี 1991
เวเนซุเอลา (Venezuela) 🇻🇪 ผ่านกลไกการบริหาร
  • "สังคมนิยมแห่งศตวรรษที่ 21": เริ่มในยุคของประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ มีการโอนกิจการสำคัญ (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำมัน) มาเป็นของรัฐ
  • การควบคุมราคาและสกุลเงิน: รัฐเข้าควบคุมราคาสินค้าและอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเข้มงวด
  • ประชานิยม: ใช้งบประมาณมหาศาลจากรายได้น้ำมันเพื่อสนับสนุนโครงการสวัสดิการต่างๆ
ผลลัพธ์เชิงประจักษ์
  • ภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวด (Hyperinflation): การควบคุมราคาและการพิมพ์เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ทำให้มูลค่าของเงินแทบไม่เหลือ
  • การล่มสลายทางเศรษฐกิจ: การบริหารจัดการอุตสาหกรรมน้ำมันที่ผิดพลาดและราคาน้ำมันที่ตกต่ำ ทำให้รายได้หลักของประเทศหายไป ระบบการผลิตภายในประเทศพังทลาย
  • วิกฤตมนุษยธรรม: ขาดแคลนอาหาร, ยารักษาโรค, และสินค้าที่จำเป็นอย่างรุนแรง ประชาชนหลายล้านคนต้องอพยพออกนอกประเทศ
เกาหลีเหนือ (North Korea) 🇰🇵 ผ่านกลไกการบริหาร
  • อุดมการณ์จูเช (Juche): เน้นการพึ่งพาตนเองอย่างสุดโต่งและตัดขาดจากโลกภายนอก
  • ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางที่เข้มงวดที่สุด: รัฐควบคุมทุกมิติของชีวิตประชาชน
  • ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ: ปกครองโดยตระกูลคิม มีการสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคลอย่างเข้มข้น
ผลลัพธ์เชิงประจักษ์
  • ความอดอยากรุนแรง: เกิดภาวะอดอยากครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1990 และยังคงมีปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างต่อเนื่อง
  • ความยากจนสุดขีด: เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
  • การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง: ประชาชนไม่มีเสรีภาพใดๆ และถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า "รูปแบบ" ของสังคมนิยมที่นำมาใช้ และ "ระบบการเมือง" ที่ควบคู่กันไป คือปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จหรือล้มเหลว
  • โมเดลที่ประสบความสำเร็จ (สังคมประชาธิปไตย) มักจะเกิดขึ้นใน ระบอบประชาธิปไตย ที่เคารพสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม โดยไม่ได้ทำลายกลไกตลาด แต่ใช้เป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่ง แล้วจึงใช้หลักการสังคมนิยมในการ "กระจาย" ความมั่งคั่งนั้นเพื่อสร้างความเท่าเทียมและหลักประกันทางสังคม
  • โมเดลที่ล้มเหลว (รัฐสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์) มักจะเกิดขึ้นใน ระบอบอำนาจนิยม ที่พยายาม "ควบคุม" การผลิตทั้งหมดจากส่วนกลาง ซึ่งนำไปสู่ความไร้ประสิทธิภาพ การขาดแรงจูงใจ และมักควบคู่ไปกับการกดขี่ทางการเมืองเพื่อรักษาอำนาจไว้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา