27 ก.ค. เวลา 10:47 • การศึกษา

10 เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้: เปลือยบาดแผลในอดีตแห่งความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบันมักถูกกล่าวถึงในฐานะ "บ้านพี่เมืองน้อง" ที่มีวัฒนธรรมและศาสนาใกล้ชิดกัน แต่หากย้อนมองดูหน้าประวัติศาสตร์ที่ยาวนานหลายร้อยปี จะพบว่าความสัมพันธ์ของสองอาณาจักรเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การแข่งขัน และบาดแผลที่ส่งผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นี่คือ 10 เรื่องราวในอดีตที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้
1. การล่มสลายของ "เมืองพระนคร" และการกวาดต้อนผู้คน
ในยุคที่อาณาจักรอยุธยารุ่งเรือง ได้มีการทำสงครามกับอาณาจักรขอม (เขมร) หลายครั้ง โดยเหตุการณ์สำคัญคือการที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ทรงตีนครธม เมืองหลวงของอาณาจักรขอมได้สำเร็จในปี พ.ศ. 1974
สงครามครั้งนี้นำมาซึ่งการกวาดต้อนผู้คนจำนวนมาก ทั้งช่างฝีมือ นางรำ ปัญญาชน และราชวงศ์ มายังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งส่งผลให้วัฒนธรรมและองค์ความรู้ของเขมร ไม่ว่าจะเป็นระบำ อักษรศาสตร์ และศิลปะต่างๆ ได้หลั่งไหลเข้ามามีอิทธิพลในราชสำนักสยาม แต่ในทางกลับกัน นี่คือจุดเริ่มต้นของ "ยุคมืดของกัมพูชา" ที่อาณาจักรต้องย้ายเมืองหลวงหนีลงใต้และอ่อนแอลงอย่างมาก
2. สภาวะ "สองนาย" ที่กัมพูชาต้องเผชิญ
หลังการล่มสลายของเมืองพระนคร กัมพูชาตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอและต้องเผชิญกับการขยายอำนาจของสองมหาอำนาจที่ขนาบข้าง คือ สยามทางทิศตะวันตก และญวน (เวียดนาม) ทางทิศตะวันออก กัมพูชาตกอยู่ในสภาวะ "สองนาย" หรือ "เจ้าสองฝ่าย" ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับทั้งสองอาณาจักรเพื่อความอยู่รอด สยามและญวนมักจะแทรกแซงการเมืองภายในของกัมพูชาอยู่เสมอ โดยเฉพาะการสนับสนุนเชื้อพระวงศ์คนละฝ่ายให้ขึ้นครองราชย์ ทำให้การเมืองภายในของกัมพูชายิ่งไร้เสถียรภาพ
1
3. สงคราม "อานามสยามยุทธ"
ความขัดแย้งระหว่างสยามและญวนในการแย่งชิงอิทธิพลเหนือกัมพูชาปะทุขึ้นอย่างรุนแรงที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในสงครามที่เรียกว่า "อานามสยามยุทธ" (พ.ศ. 2374-2390) สงครามที่ยาวนานกว่า 14 ปีนี้ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับแผ่นดินและผู้คนชาวกัมพูชาที่ต้องกลายเป็นสมรภูมิรบ แม้สุดท้ายจะจบลงด้วยการที่กัมพูชายอมส่งเครื่องบรรณาการให้ทั้งสองฝ่ายดังเดิม แต่ก็ทิ้งรอยแผลแห่งความบอบช้ำไว้ให้กับชาวเขมรอย่างแสนสาหัส
4. การชุบเลี้ยงราชวงศ์เขมรในกรุงเทพฯ เพื่อหวังผลทางการเมือง
ราชสำนักสยามมักจะรับเชื้อพระวงศ์เขมรที่ขัดแย้งกันมา "ชุบเลี้ยง" ไว้ในกรุงเทพฯ เช่น สมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ (นักองค์ราชาวดี) ที่ทรงเติบโตและได้รับการศึกษาในราชสำนักรัชกาลที่ 4 ซึ่งแม้จะเป็นการให้ความช่วยเหลือ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สยามใช้เพื่อคงอิทธิพลของตนในกัมพูชา เมื่อถึงเวลาอันควร สยามก็จะส่งเชื้อพระวงศ์องค์ที่ตนสนับสนุนกลับไปครองราชย์ ทำให้กัมพูชาต้องอยู่ใต้อำนาจของสยามต่อไป
5. การสูญเสียกัมพูชาส่วนนอกให้แก่ฝรั่งเศส
ในยุคล่าอาณานิคม ฝรั่งเศสได้แผ่อิทธิพลเข้ามาในอินโดจีน และได้บีบให้กัมพูชายอมเข้าเป็นรัฐในอารักขาในปี พ.ศ. 2406 ในตอนแรกสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 พยายามต่อรองโดยทำสนธิสัญญาแบ่งเขตอิทธิพล แต่ในท้ายที่สุด สยามก็ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาปี พ.ศ. 2410 รับรองให้กัมพูชาส่วนนอกทั้งหมด (ยกเว้นพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ) ตกเป็นของฝรั่งเศส ถือเป็นการสูญเสียอิทธิพลและดินแดนในสายตาของสยามโดยสมบูรณ์
6. ปมขัดแย้ง "เขาพระวิหาร" ที่มีรากมาจากแผนที่ฝรั่งเศส
ข้อพิพาทปราสาทพระวิหารที่ยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน มีต้นตอมาจากสนธิสัญญาที่สยามทำกับฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2447 และ พ.ศ. 2450 ซึ่งกำหนดให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน แต่ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ "ภาคผนวก 1" ขึ้นมา
โดยลากเส้นเขตแดนให้ปราสาทพระวิหารไปอยู่ในฝั่งกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยในขณะนั้นไม่ได้ทักท้วงอย่างเป็นทางการ แผนที่ฉบับนี้จึงกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ศาลโลกใช้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2505 สร้างความรู้สึกไม่พอใจให้แก่คนไทยจำนวนมากมาจนถึงทุกวันนี้
7. การฉวยโอกาสของไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ร่วมมือกับญี่ปุ่นและทำสงครามกับฝรั่งเศส (กรณีพิพาทอินโดจีน) เพื่อทวงดินแดนที่เสียไปในอดีตคืนมา ซึ่งรวมถึงพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณของกัมพูชา แม้ไทยจะได้รับดินแดนเหล่านี้กลับมาในช่วงสั้นๆ (พ.ศ. 2484-2489) แต่ในมุมมองของกัมพูชา นี่คือการฉวยโอกาสในช่วงที่ฝรั่งเศสอ่อนแอ และตอกย้ำภาพลักษณ์ของไทยในฐานะผู้รุกราน
8. นโยบายของไทยในยุคเขมรแดง
ในช่วงสงครามเย็นและยุคที่เขมรแดง (Khmer Rouge) ปกครองกัมพูชา (พ.ศ. 2518-2522) นโยบายของไทยมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง หลังเวียดนามบุกยึดกัมพูชาและขับไล่เขมรแดงออกจากพนมเปญในปี พ.ศ. 2522 รัฐบาลไทยในขณะนั้นมองว่าเวียดนามคือภัยคุกคามที่ใหญ่กว่า จึงมีนโยบายให้ที่พักพิงและสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลพนมเปญที่เวียดนามหนุนหลังอยู่ ซึ่งรวมถึงกลุ่มเขมรแดงที่เหลือรอดอยู่ตามแนวชายแดนด้วย นโยบายนี้สร้างความคลางแคลงใจให้กับรัฐบาลกัมพูชาในยุคต่อมาอย่างมาก
9. ยุค "สนามรบเป็นสนามการค้า" และการตักตวงทรัพยากร
ต่อเนื่องจากยุคสงครามกลางเมืองในกัมพูชา นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แม้จะช่วยลดความตึงเครียดของสงครามลงได้ แต่ในอีกแง่หนึ่ง กลับเป็นการเปิดช่องให้กลุ่มอิทธิพลและนักธุรกิจไทยเข้าไปตักตวงทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งป่าไม้และอัญมณี (โดยเฉพาะพลอยแดงจากไพลิน) จากพื้นที่ที่ยังคงสู้รบกันอยู่ โดยมีการทำธุรกิจกับทุกฝ่ายรวมถึงเขมรแดงด้วย ซึ่งถูกมองว่าเป็นการหาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของชาวกัมพูชา
10. เหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในพนมเปญ ปี 2546
หนึ่งในจุดต่ำสุดของความสัมพันธ์ยุคใหม่ เกิดขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 จากข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงว่านักแสดงสาวชาวไทยคนหนึ่งกล่าวอ้างว่า "นครวัดเป็นของไทย" ข่าวดังกล่าวได้ปลุกกระแสชาตินิยมและความเกลียดชังไทยในหมู่ชาวกัมพูชา
จนบานปลายเป็นเหตุจลาจลรุนแรง มีการบุกเผาสถานเอกอัครราชทูตไทยและทำลายทรัพย์สินของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า "บาดแผลทางประวัติศาสตร์" และ "ความรู้สึกด้อยกว่า" ที่สั่งสมมานาน สามารถถูกจุดให้ระเบิดขึ้นมาได้ง่ายเพียงใด
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในมุมที่ไม่สวยงามเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อสร้างความเกลียดชัง แต่เพื่อให้เข้าใจถึงความซับซ้อนและที่มาของทัศนคติที่ทั้งสองชาติมีต่อกัน การยอมรับบาดแผลในอดีตและเรียนรู้จากมัน คือก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ยั่งยืนและเท่าเทียมอย่างแท้จริงในอนาคต.
โฆษณา