28 ก.ค. เวลา 02:49 • ปรัชญา
..จิค..เกิดมาอาศัยกาย ก็มีทุกข์ ..ต้องชดใช้ กรรมทีเคยทำมา จิตใช้กาย สร้างแต่กรรม ได้กายมาเป็นมนุษย์ ก็สร้างเรื่องราวดีๆ บันทึกสะสมที่ธาตุทั้งสี่ ที่สงเคราะห์ให้จิตมาอาศัย .มาเรียนรู้จักโลก ..เพื่อให้จิตมีสติปัญญา รู้จักทุกข์ รู้จักกรรม ก็หนีกรรม ให้จิตหมดกรรม เบาบางจากอารมณ์โลภโกรธหลง . กายก็เบา จิตก็เบา .จิตก็มีสุข. ด้วยกายที่มีบุญหนุนนำเกิดขึ้น
เรานั่น เจอพระที่ท่านปฏิบัติ ท่านก็บอกว่า มาที่นี่ ให้เรียบรู้จัก สามอย่าง กาย๑ อารมณ์๑ จิต๑ มันน่าแปลกตรงที่ท่านพูดคำว่า อารมณ์ นั่น มันเหมือน ตัวเรามันโล่งสบาย อ้อ ..เราขอบหาหนังสือมาอ่าน ว่า ที่เค้าว่า หนังสือธรรมะ คนนั้นคนนี้ เขียน อาจารย์นั้นอาจารย์นี้ บางที่ก็เรื่องราวอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ หนังสือหมอดู ชีวิตต้องทำมาหากิน อยากมีนั่นมีนี่ มีบ้านใหญ่ๆ มีรถหรู .ก็ต้องใช้กายที่ไม่เที่ยงนี้ ไปหามา ..หามาแล้ว ก็หยุดยั้ง ไม่ให้กายมันก็แก่เฒ่าชราตายได้
พอไปเจอพระอีกองค์ ท่านก็บอกว่า ไม่ต้องไปดูหมอดูหลอก ชีวิตเราเค้ากำหนดมา แล้วตั้งแต่ไปแจ้งเเกิด เค้่าอ่านให้ฟัง ตั้งแต่ไปแจ้งกิด ว่าจะต้องเจอะแจออะไร มีอุปสรรคอะไร เค้าชี้ไปที่วงกลม วงวัฎฎะ ที่มีเส้นสีเหลืองพาดพาน เค้าบอกว่า เมื่อเจอศาสนา ก็ให้สร้างบุญกุศลบารมีขึ้นมา ก็จะช่วยบรรเทาทุกข์ ช่วยให้จิตไปสู่สถานที่ดีๆ
มีพระท่านพูดให้ฟังเรื่องอารมณ์กรรมตัวกระทำ เราก็ฟังดู ก็ไม่เข้าใจ คนเราอยู่กับอารมณ์ ก็ไม่รู้จักอารมณ์นึกคิดมาจากไหน ไม่รู้จักว่า กรรมนั้นเกิดมาได้อย่างไร ไม่รู้ว่ากรรมนั่น ไหลออกมาจากไหน ปรุงแต่งให้เกิดเป็นอารมณ์กรรม มีความโลภโกรธหลง ทะเยอทะยาน เสาะแสวงหาอะไรมา มันก็ให้ความสุขสบาย เพียงกาย แล้ว มันก็เดินหน้า แก่ เจ็บ ตาย บำรุงร่างกายอย่างไร มันก็แก่เจ็บตาย พอมารู้จักว่า .เอ กรรมตัดรอนบั่นทอนอายุขัยมันมาจากไหนน่ะ เราก็ฟังพระท่านเล่าเรื่องให้ฟัง
คราวนี้ ก็มีพระ อีกองค์ท่านบอกเรื่อง ยาเม็ดสี่ขนานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รอยกิริยา พระเดิน ยืน นั่ง นอน ทำจิตเป็นมัชฌิมา ..กายนิ่ง จิตเฉย ไม่ต้องไปนึดคิดอะไรมัน เพค่ะนึกคิดมันเป็นอารมณ์กรรมตัวกระทำทั้งนั้น ท่านบอกว่า ทำกายนิ่ง จ้ตนิ่งได้ ก็จะเกิดปัญญา เราก็นำมาฝึกบ้าง พอฝึกหัด ท่านก็บอก เอ้า หัดกราบพระ หัดทำบุญ อุทิศกุศล
ท่านก็เอาเรื่องราว ของสมันยต้นพุทธกาล มาให้เราได้ฝึกหัด ปฏิบัติขึ้นมา ก็ได้เรียนรู้จัก ว่า มีชีวิตเรากต้องทำมาหากิน หาปัจจัยมาประทังสังขาร แล้วก็ พยายาม สร้างบุญกุศลบารมี หนีกรรม ได้เรียนรู้ว่า การสวดมนต์ การสร้างบุญ ปฏิบัติธรรม เราก็ไม่ได้ทำคนเดียว มีแต่คนที่มาร่วมอนุโมทนา ยังมีผู้ที่หูทิพย์ตาทิพย์ ท่านอนุโมทนา สร้างบุญกุศลแล้ว ก็นั่งฟังธรรม หูทิพย์ตาทิพย์ เค้าก็มาฟังด้วย เพราะว่า เค้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อหมดบุญพยุงจิต
มีพระท่านบอกว่า ธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านฝากไว้ กับดินฟ้าอากาศ พระพุทธเจ้า ท่านทำกายนิ่ง จิตนิ่ง กายเหมือนก้อนหินต้นเสา พระอานนท์ ท่านก็ฝึกหัดตามพระพุทธเจ้า สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตอนพระพุทธเจ้า พาขึ้นไปดูนางฟ้า ได้เห็นตัวกระทำ ของรูปทีสวย เปลี่ยนแปลงเป็นหญิงชรา ฟันฟางไม่มี แก่หงำเหงือก หากไปแต่งอยู่ด้วย ก็ต้องมา เกิดมา จูงคนแก่ ตัวเองก็แก่ เกิดตายไม่จบสิ้น นับชาติไม่ได้ .จิตของท่านก็ตัดขาด (พระอานนท์ ท่านเล่าให้ฟัง
หมายเหตุ พระอานนท์ ท่านยังไม่เข้าพระนิพพาน ท่านอยู่ช่วยประคองศาสนา ให้ครบห้าพันปี ช่วยเหลือ ผู้มีการประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอย ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้จิตตนเองพ้นทุกข์ เพราะเรื่องบุญกุศลบารมี นั่น ..จิตแต่ละดวง ต้องทำเอง .สะสมกันเอง ที่มีเรื่องราวของธาตุทั้งสี่ เก็บสะสม ทั้งดีไม่ดี ต้องชำระสะสาง แก้ไข ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องเอง
ชีวิตเราก็แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง ก็เหมือนใช้เวลาอยู่กับโลกทำมาหากิน อีกส่วนหนึ่ง เราก็ปลีกตัว ปลีกเวลา สร้างบุญกุศลบารมี ไปสวดมนต์ปฏิบัติ ฟังธรรม ..เราก็ได้ รับฟังเรื่องราวต่างๆที่เราไม่รู้ เราก็นำมาพิจารณา กลั่นกรอง แก้ไข ในการประพฤติปฏิบัติธรรม .แล้วก็ฝึกหัด สร้างสติขึ้นมา ให้จิตมันแข็ง ต่ออารมณ์กรรม จะได้ไม่เกิดตัวกระทำเกิดขึ้น ให้มีกายวาจาใจไปตามอารมณ์กรรมตัวกระทำ ..
แล้วเรื่องราวที่ว่า ไสยศาสตร์ ที่มันปะปน คาถาอาคม อิทธิฤทธิ์ต่างๆ เจ้าพ่อเจ้าแม่ ที่อุปโลกน์กัน .มันเรื่องผี ทั้งนั้น โอ้ว ..พอเรียนรูจักสร้างบุญกุศลบารมี ตามรอยพระ โอ้ว..ทางนั้นเส้นทางนั้น มันทางนรก จิตออกจากกาย ก็ตามไปเสียบจิตลงนรก นี่มั้นมันประตูอบายภูมิ นี่นา คราวนี้ ..เรื่องราวหวกนี้
พระบอกเราว่า อย่าเชื่อฉันน่ะ นให้นำกายพ่อแม่ สร้างบุญกุศลขึ้น แล้วก็จะรู้จักกรรม รู้จักบุญว่า เป็นอย่างไร หากไม่ทำ มันก็ไม่รู้ ..เพราะอารมณ์จะอุปโลกน์หลอกให้ว่ารู้จัก แต่รู้จักไม่จริง หากรู้จักจริง ก็ไม่อยากไปสัมผัสยุ่งเกี่ยว ให้ตนเองเกิดทุกข์ เนื่องด้วยสิ่งเหล่านั้น เป็นเหมือนเชื่อโรคสิ่งสกปรก
เรื่องราวของที่เราอาศัยน้ำเลือดน้ำนอง ทึจิตตกไปอาศัยในสังขารกรรม เค้าก็หากินเลื้ยงสังขารกรรม เปิดไก่วัวควาย เนื้อเค้าก็เป็นเนื้อกรรม น้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่มีกรรม เรากินเอร็ดอร่อย แล้วเอากายนี้ไปสร้างกรรม ถึงเวลาก็มีตัวกินเลือดกินเนื้อ มากัดกินเอร็ดอร่อบ้าง
กายนั้น ก็มีแต่เนื้อนากรรม ไม่ได้เอาน้ำเลือดน้ำหนอง นั้นมาสร้างให้เกิดเป็นบุญกุศล เผื่อแผ่ส่งคืนให้กับ จิตผู้ที่ตกในสังขารกรรม กินนอนในกรรม กินเค้าเอร็ดอร่อย ก็เกิดเป็นหนี้กรรมมากมายก่ายกอง ..อยู่กับธาตุทั้งสี่ที่ประกอบหนุนนำกายให้ตั้งอยู่ ..ตั้งอยู่ในกรรม มองไม่เห็นเสียด้วย เราก็กินเอร็ดอร่อยด้วยลิ้นที่มีแต่กรรม พอจิตออกจากร่าง เราก็สลับไปเป็นผู้อยู่ในสังขารกรรมบ้าง หากินให้กายอ้วนสมบูรณ์ ถึงเวลา สัตว์อื่นก็มาน้ำเลือดน้ำหนองไปกินเอร็ดอร่อยบ้าง มันผลัดกันกินผลัดกันชดใช้กรรม
แล้วเรื่องตัวกินเลือดกินเนื้อ เค้าก็เหมือน จิตดวงหนึ่ง ตกไปอยู่ในใสภาพ เป็นหนองตัวไร .เคยเกิดเป็นมนุษย์ เคยเป็นเทวดา ทำไม่ดี พลาดพลั้ง เมื่อได้กายเป็นมนุษย์ พอจิตออกจากกาย กายนั้นแปรสภาพ ..เกิดมีกายเป็น หนองเห็บมัดอะไรมากมาย จิตต้องทุกข์ทรมาน เป็นอสงไขย..ตรงนี้ ..พระท่านก็บอกว่า เมื่อเรายังใช้สังขารนี้ อาศัยสังขารกรรมอยู่ เราก็ทำสังขารนี้ ให้เกิดเป็นเนื้อนาบุญ ช่วยประทังสังขารให้ ผ่านอุปสรรค กายแก่ กายเจ็บ .ไปจนสิ้นอายุขัย
เรื่องราวแบบนี้ ชีวิตใครชีวิตมั่น ต่างคนต่างหายใจ ไม่เหมือนกันเลย ด้วยเหตุผลอะไรต่างๆ ที่หนุนนำกายนำจิต ใช้ชีวิตที่ได้มา ชั่วขณะหนึ่ง จิตก็ต้องออกจากกาย ..ตรงจิตที่ออจากกาย วันนั้น แหละ ที่จะต้องถูกตัดสิน ไปสถานที่ สุข หรือ ทุกข์ เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีโอกาสมีลมหายใจ เราก็สะสมเรื่องบุญกุศล เก็บเกี่ยวไปกับจิตของเรา ..เพราะต้องออกจากกายไปคนเดียว ..ไม่มีใตรตามไป เราก็เตรียมเสบียงในการเดืนทางที่ยาวไกล
โฆษณา