6 ก.ย. เวลา 09:39 • การศึกษา

Eye of the storm

Eye of the storm = ตาของพายุ คือ ส่วนในสุดของพายุทอร์นาโด หรือพายุหมุนโซนร้อนอย่างเฮอริเคนและพายุไต้ฝุ่น โดยที่จุดศูนย์กลางนั้น จะป็นพื้นที่สงบลม ท้องฟ้ามักจะโปร่ง ถึงแม้ว่าจะมีลม และเมฆหมุนวนอยู่รอบขอบของตาก็ตาม บริเวณผนังของพายุเป็นบริเวณที่ฝนตกหนักที่สุด ลมแรงที่สุดและมี turbulence มากที่สุด ถ้าจะให้เปรียบแล้วก็เหมือนความสงบเมื่อทุกอย่างรอบตัวนั้นกำลังจะเป็นหายนะ
คงจะดีมากถ้าเราทำใจให้ได้เหมือนอยู่ในตาของพายุ ไม่ว่าโลกจะเดือดร้อนวุ่นวายยังไงเราก็ยังสงบได้ แต่หากต้องการความสงบแล้วคิดว่าไปบวชจะดีกว่า เพราะจะได้หนีจากโลกวุ่นวายภายนอก นี่เป็นเหตุผลในการบวชที่ผิด การบวชไม่ใช่การหนีทุกข์ หากจะบวชควรทำเพื่อเรียนรู้ ฝึกฝนพัฒนาตัวเองให้เจริญในธรรม เพื่อบำเพ็ญบารมีให้พ้นจากกองทุกข์ ไม่ใช่เพื่อหนีทุกข์แต่เพื่อรู้ทุกข์
เมื่อเจริญปัญญาถึงที่ก็จะละความทุกข์ได้เอง หากอยากได้ความสงบ เข้าไปใช้สถานที่เพื่อให้ได้บรรยากาศ และสภาพแวดล้อมที่เป็นใจกับการลงมือปฏิบัติ ทำให้ใจสงบได้ง่ายขึ้น แต่อย่าลืมว่าการปฏิบัติที่แท้จริงที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนนักหนา คือการไปสัมผัสกับโลก กระทบผัสสะแล้วให้ระลึกรู้ว่าตนนั้นมีความรู้สึกอย่างไร ฝึกรู้เท่าทันกิเลสตัวเอง
ลำพังการฝึกด้วยการปลีกวิเวกอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ก็มีความสำคัญเพราะเป็นพื้นฐานที่จะฝึกเบื้องต้น ในการทำจิตให้สงบเพื่อเจริญปัญญา และต้องทำในรูปแบบสม่ำเสมอทุกๆวันด้วย เพื่อให้จิตมีกำลัง ไม่อย่างนั้นเวลากระทบโลกจะหลงโลก รู้ไม่เท่าทันใจตัวเอง ก็ไม่เกิดปัญญา
การไปฝึกในสถานที่สัปปายะนั้นมีประโยชน์ แต่ไม่ให้ยึดติดกับความสงบ หากใจมีความทุกข์ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีวันสงบได้ ความทุกข์จะติดตามตัวไปทุกๆที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เพราะความทุกข์เกิดที่ใจ ครูบาอาจารย์เคยสอนว่าจงอย่าบวชเพื่อหนีความวุ่นวาย ไม่งั้นก็จะเป็นแค่หมาขี้เรื้อน ที่คิดว่าเปลี่ยนที่แล้วจะหายคัน
ความสงบที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการนั่งนิ่งๆหลายชั่วโมง แต่เกิดจากการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายด้วยใจที่สงบ นั่งหรือเดินก็เป็นสมาธิ
จากเพจ อมตะธรรม ประเทศไทย
ในทางกลับกันถ้าใจคุณสงบไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สงบ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางโลกอันสับสนวุ่นวาย ใจก็เหมือนอยู่ใน eyes of the storm ท่ามกลางพายุรุนแรงร้ายกาจแค่ไหน ลมพัดหอบวัวบินได้ บ้านพัง รถแทรกเตอร์ รถบรรทุกลอยขึ้นไปบนฟ้า แต่ใจที่อยู่ตรงกลางของพายุ กลับสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ใจ” กลางพายุ ที่แม้นภายนอกจะมีลมแรงปั่นป่วนขนาดไหน ก็ไม่อาจกระทบกระเทือนไปถึงข้างในได้ อย่าหนีโลก เพราะโลกอยู่ในใจคุณไม่ใช่อยู่ข้างนอก สุข-ทุกข์ ล้วนแล้วแต่เป็นเราปรุงแต่งให้เป็นไป หากพยายามลืมความทุกข์ มันก็เป็นแค่การหนีโลกที่ทำได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่อาจทำได้ตลอด ทางแก้อยู่ที่ข้างในไม่ใช่ข้างนอก ทางแก้ของพระพุทธเจ้านั้นสอนให้แก้ที่ต้นเหตุ คือความดับแห่งทุกข์ทั้งหลาย โดยดับที่ใจ เพราะต้นเหตุที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในใจของเรานี่เอง
กายใจเรานี่แหละคือตัวทุกข์ ขันธ์ 5 คือตัวทุกข์ หากเรามีธรรมะแนบสนิทอยู่ในใจแล้วบวชหรือไม่ ไม่สำคัญเลย บวชภายนอกเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ บวชใจซิสำคัญกว่า หากคุณไม่พร้อมจะบวชจริงๆให้บวชใจไปก่อนในชาตินี้ ส่วนธาตุขันธ์นั้นจะได้บวชหรือไม่ก็แล้วแต่ไม่เป็นไร เมื่อใจเรามีธรรม อยู่ที่ไหนก็เรียนธรรมะได้
เหมือนที่หลวงปู่มั่นท่านว่า “ธรรมะมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า สำหรับผู้มีปัญญา” ใจของผู้ที่ไม่อาจถูกรบกวนด้วยกิเลสตัณหาอย่างแท้จริงแล้วนั้น มีความดับสิ้นไปของความทุกข์ ได้แก่ พระอรหันต์นั่นเอง เพราะจิตของพระอรหันต์กิเลสมันจูบไม่ติดแล้ว จึงไม่อาจถูกรบกวนด้วยสิ่งใดๆได้อีก จิตท่านจึงเหมือนอยู่ท่ามกลางพายุได้อย่างแท้จริง โดยที่ไม่ต้องไปปลีกวิเวกที่ไหน ฉะนั้นเราควรฝึกทำใจอย่างพระอรหันต์ ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ในเหตุการณ์ใด ก็สงบได้ โลกวุ่นวาย ใจสงบ โลกถล่มทลาย ใจก็ยังสงบ
ผู้เข้าถึงพระสัทธรรมแท้จริง ไม่ใช่ผู้ที่ต้องหลีกเร้นปลีกวิเวกอยู่เพียงลำพัง แต่เป็นผู้มี "ใจเป็นอิสระ" อยู่กับบุคคลธรรมดาทั่วไป อยู่กับความวุ่นวายของโลกปุถุชนได้อย่างปกติสุข
-หลวงปู่ชา สุภัทโท-
ขอขอบคุณภาพจาก
โฆษณา