Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
twilight12/2.1
•
ติดตาม
31 ก.ค. เวลา 08:20 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
บักเจมส์ โกหกสิ่งใดกับเรา บนแผนที่โลกของเขาในศตวรรษที่19 ???(4.9)
มู ทวีปแห่งมารดร (Ancient Mu or Lemuria
ทวีปมู (Mu) หรือ รีมูเลีย (LeMUria) ก็เห็นพ้องต้องกันครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดรคือ นครอันตธานที่จมหายลงใต้ทะเลแปซิฟิกใต้เมื่อกว่า ๑๓,๐๐๐ ปี เราทั้งหลายได้รู้เรื่องราวจากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga) จากตำนานกล่าวกันว่า “เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อน แล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี”
จุดจบ คือจุดเริ่มต้น และ จุดเริ่มต้น ก็คือจุดจบ หลังจากจุดจบทวีปมูเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของอารยธรรมจุดต่าง ๆ ในโลกยุคหลังของผู้รอดจากภัยพิบัติ สายสัมพันธ์บรรพบุรุษ
เริ่มต้นขอนำตำนานสำนวนหนึ่งของชาวอินเดียต่อแม่น้ำคงคา จากหนังสืออินเดีย แผ่นดินมหัศจรรย์ ผู้เขียนคือ คุณอรุณ เฉตตีย์ในอดีตนั้นมีฤาษีกปิละ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาหิมาลัย อยู่มาวันหนึ่งพวกโอรสของท้าวสักกะกษัตริย์แห่งอโยธยาออกตามม้าที่หายไป เมื่อมาพบม้ายืนอยู่ข้างพระฤาษี ก็เลยยัวะ! ตะโกนด่าและแกล้งท่านต่าง ๆ นา ๆ จนท่านตบะแตก จ้องมองไปที่กลุ่มเจ้าชาย เกิดไฟเผาผลาญเจ้าชายกลายเป็นเถ้าถ่าน และสาปสำทับไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่น้ำคงคา
ฤาษีกปิละใช้ตาไฟเผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ บางตำราก็เรียกว่า “ท้าวสคระ”
ต่อมาท้าวภคีรส ผู้สืบเชื้อสายจากท้าวสักกะปฐมกษัตริย์ ซึ่งมีความเศร้าโศกเสียใจมากที่บรรพบุรุษของตนโดนสาปเช่นนั้น จึงบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อขอพรพระอิศวร (พระศิวะมหาเทพ) ให้ช่วยวิงวอนแม่น้ำคงคาให้ไหลหลั่งลงมาสู่แผ่นดินเป็นการชำระบาปของผู้ที่ต้องคำสาป และแล้วพระแม่คงคาก็เห็นใจ ยอมหลั่งสายน้ำจากเขาไกรลาสลงสู่พื้นดิน เพื่อชำระอัฐิของพวกโอรสและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นมลทิน นี่คือ ตำนานกำเนิดสายน้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์สำนวนหนึ่ง
ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู เริ่มจากดอกบัวเป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก
ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 – 30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ
แผนที่โบราณ
ท่านฤาษีวาลมิกิ (Valmiki) นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐ – ๒๐๐ ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี (Rishi) ที่เมืองอโยเดีย (Ayhodai) กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า “มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก” จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล (Naacal) นำความรู้วิทยาการต่าง ๆ ศาสนาโบราณ การบูชาเทพเจ้า
ดวงอาทิตย์มาสู่มายา, ไอยคุปย์ (ตอนเหนือ), อารยัน (ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพ เมื่อครั้งลงมาอยู่ชมพูทวีป) นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการเผยแพร่ศาสนาโบราณ และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และไอยคุปย์ (ตอนใต้) ในขณะที่ ซาอีร์ ปฏิบัติตามศาสนธรรมของ*โธท (Thoht) บูชาเทพโอซิริส ขณะเดียวกัน ชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า
ยุคมหาทวีปแพนเจีย เมื่อประมาณ335ล้านปีBC-225ล้านปีBC ที่ผ่านมา
“เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา” รวมถึงพีระมิดแห่งเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้ (Mexico City) คำจารึกของพีระมิดกล่าวไว้ว่า “พีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก” ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลาง รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา
ประโยชน์ส่วนหนึ่งของวิหารพีระมิด ใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด และประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน
การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุดของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง, ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่เรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา (Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่า และพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก (Genesis)
ในย่อหน้าที่ห้า ท่านฤาษีกปิละ ใช้ "ตาไฟ"เผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ ซึ่งก็อาจจะเป็นลักษณะของการนั่งทำสมาธิวิปัสสนา อย่างที่คุณ นาตาลี ใช้คำว่า "ตารู้"หมายถึงตาที่สาม หรือ ตาทิพย์ กับเรื่องราวอาณาจักรแอตแลนติสของเธอ
แต่ข้อมูลที่ผู้เขียนบล้อกรับมาจากเธอนั้น ก็มีประโยชน์ต่อผู้เขียน และคนอื่นอยู่บ้างเช่นกัน เช่นการที่ได้ทราบว่าในสมัยอดีตกาลอันไกลโพ้นนั้น ยังมีทวีปโบราณที่มีประชากรสามารถใช้ชีวิต อาศัยอยู่ร่วมกับเหล่าไดโนเสาร์ได้สบายๆ ทวีปโบราณนั้นมีอยู่จริงๆ อย่างน้อยก็หนึ่งแห่ง
ความเป็นมา และลักษณะของ อาณาจักรเลมูเรีย
"อาณาจักรเลมูเรีย "อาณาจักรโบราณที่ว่านี้ ที่ผู้คนสามารถใช้ชีวิตร่วมกับไดโนเสาร์ นั้นมีอยู่จริงๆบนโลก ซึ่งน่าจะมีอายุไม่น้อยกว่า 65ล้านปีBCขึ้นไป น่าจะมีความเก่าแก่ยาวนานมากกว่า หรือใกล้เคียงกับอาณาจักรแอตแลนติสเลยด้วยซ้ำ และผู้เขียนบล้อกพินิจตรองดูแล้ว อาณาจักรแอตแลนติส มันก็คือ ทวีปมูลวงๆของบักเจมส์ ในศตวรรษที่19 ดีๆนั่นเองล่ะ
ทวีปมู ของบักเจมส์ นั้นน่าจะไปจำก้อปปี้ มาจากทวีปแอตแลนติส ซึ่งก็มีความเก่าแก่ยาวนานพอๆกับเลมูเรียที่อินเดียเลย (ผู้เขียนว่าน่าจะลำดับ 2)
มาดูทวีปเลมูเรีย ในช่อง**นี้ ซึ่ง ผู้เขียนบล้อกเห็นว่า มีการนำเอาทั้งข้อมูลของทวีปมูของบักเจมส์ กับ ข้อมูลของทวีปแอตแลนติส ที่บักเจมส์ อาจจะไปก้อปปี้หรือจดจำมาใส่ในข้อมูลของทวีปมูลวงๆของตนเองมารวมๆกัน แต่เนื้อหาหลักๆนั้นก็ยังเป็นของเลมูเรีย
การพิสูจน์การมีอยู่ของทวีปที่อยู่ในตำนานในสมัยโบราณ ที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยสิ่งมีชีวิตเมื่อหลายพันปีก่อน เป็นสิ่งที่นักวิชาการหลายคนต้องการ และหนึ่งในนั้น ก็คือทวีปเลมูเรีย ดินแดนลึกลับ ทวีปเลมูเรียแห่งนี้
นักวิชาการบางคนยังคงเชื่อว่ามันยังคงจมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย และยังมีสมมุติฐานที่น่าสนใจ ที่ถูกเล่าขานกันมานานหลายทศวรรษ โดยกล่าวกันว่า ดินแดนทั้งหมดของพื้นผิวโลกนั้น
ครั้งหนึ่งนั้นเคยเป็นทวีปโบราณขนาดมหึมา ที่ถูกเรียกว่า มหาทวีปแพนเจีย ซึ่งได้แตกสลายไปตามกาลเวลา และมีบางส่วนจมลงไปอยู่ใต้น้ำ และดินแดนเลมูเรียแห่งนี้ อาจมีบางส่วนจมลงไปอยู่ใต้น้ำก็ได้
ครั้งแรกที่เราได้ยินชื่อแห่งนี้ เกิดขึ้นเมื่อราวๆกลางปี 1800 เมื่อPhillips Slater นักกฏหมายและนักสัตววิทยาชาวอังกฤษ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในมาดากัสการ์
Phillips Slater นักกฏหมายและนักชีววิทยาชาวอังกฤษ ผู้ทำให้โลกรู้จักกับทวีปเลมูเรียเป็นครั้งแรก เมื่อกลางปี1800 ห่างและก่อนเจมส์ ที่เขียนหนังสือของทวีปมู เมื่อปี1926 นั้นตั้ง126ปีทีเดียว
ย่อหน้านี้จะเห็นความแตกต่าง ระหว่างบักเจมส์ กับนักวิชาการท่านนี้ ที่ชื่อสเลเตอร์ เป็นชาวอังกฤษเหมือนกันแต่ฝ่ายแรกที่โกหกนั้นเป็นนายทหาร (บางทีก็เป็นชาวประมง หาปลา ด้วย) ส่วนท่านหลัง เป็นนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ สเลเตอร์ ทำให้โลกรู้จักเลมูเรีย เมื่อกลางปี1800
แต่เจมส์ เขียนหนังสือของเขาเล่มแรก และทำให้ชาวโลกรู้จักทวีปมูของเขาในปี 1926 ห่างกันตั้ง126ปี ดังนั้น เจมส์มีโอกาสที่จะโกหกต่อชาวโลกมากขึ้น เขาไม่ใช่คนแรกในเรื่องราวนี้เลย นอกจากฟิลิป สเลเตอร์แล้ว เขาก็ยังไปเอาข้อมูลเกี่ยวกับทวีปมูของ ออกุสตุส เลอบองจีออน ชาวฝรั่งเศษมาอีกด้วย ซึ่งเผยแพร่ก่อนเขาอีกท่านนึง ซึ่งก็ได้กล่าวถึงอาณาจักรมูเช่นกัน
โดยเลอบองจีออนกล่าวว่า มู เป็นชื่อของราชินีองค์หนึ่ง ที่ปรากฏอยู่บนจารึกชิ้นหนึ่งในอาณาจักรมายา ซึ่งผู้เขียนบล้อกคาดว่า น่าจะเป็นฝีมือของบุคลากรหรือประชากรของบนเลมูเรียหรือไม่ก็ที่อียิปต์ ที่ไปสร้างและจารึกไว้ ตอนสมัยอยู่มหาทวีปแพนเจีย เมื่อสมัยประมาณ335-225ล้านปีก่อนนั้น
ฟิลิป สเลเตอร์ นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในมาดากัสการ์ สเลเตอร์นั้นพบว่า ฟอสซิลของลิงลีเมอร์ส่วนใหญ่ มีอยู่มากมายในมาดากัสการ์และอินเดีย แต่กลับไม่พบในแอฟริกาและตะวันออกกลาง
ข้อสังเกตนี้ ทำให้สเลเตอร์เสนอว่า ในช่วงหนึ่งในอดีตนั้น อินเดียและมาดากัสการ์มีการเชื่อมต่อกันด้วยผืนแผ่นดินเดียวกัน และยังเป็นส่วนหนึ่งของทวีปที่กว้างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เขาจึงตัดสินใจให้ชื่อว่า เลมูเรีย
ในสมัยอดีตกาล บรรดาเหล่าลิงลีเมอร์อาจไปมาหาสู่กันได้ ระหว่างที่อินเดีย กับเกาะมาดากัสการ์ในแอฟริกาตะวันออก ด้วยว่ามีแผ่นดินเล็กๆเป็นทางเชื่อมถึงกัน
ประการที่สาม ที่เห็นถึงความแตกต่างระหว่างทวีปมูของบักเจมส์ กับ เลมูเรีย ของฟิลิป สเลเตอร์ และมีความเป็นไปได้มากกว่าของบักเจมส์ คือสถานที่ตั้งของทวีปนี้ ตั้งอยู่ที่อินเดียเลย แต่ในส่วนของบักเจมส์ มูของเขานั้นตั้งอยู่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิคอย่างโดดเดี่ยว เว้นแต่ตัวของเขาเท่านั้นแหล่ะ ที่มาอยู่อินเดีย
ซึ่งเมื่อทวีปมูของบักเจมส์ในบริเวณนั้นจมลง ผู้คนบนเกาะนั้น จึงได้กระจัดกระจายหนีพลัดพรายเข้ามาที่อินเดียทางฟากตะวันออก นอกจากนี้ ทวีปเลมูเรียของฟิลิป สเลเตอร์ ยังกล่าวถึงเรื่องลิงลีเมอร์ที่มีในอินเดียและมาดากัสการ์ด้วย
แต่บักเจมส์ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แต่อย่างใดเลย
ต่อมา ก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่เสนอทฤษฏีบทเกี่ยวกับทวีปนี้เพิ่มเติมอีกมากมาย และในปีค.ศ.1859 อัลเฟรด วอลเลท นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เสนอว่า มีเพียงทวีปที่จมอยู่ใต้น้ำเท่านั้นที่สามารถอธิบายถึงสัตว์ต่างๆที่พบบนเกาะมาดากัสการ์ได้
ความแตกต่างประการที่สี่ จะเห็นว่า สเลเตอร์และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ใช้หลักฐานและเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์ต่างๆมาอธิบายความเป็นไปได้ถึงการมีอยู่ของทวีปเลมูเรีย แต่สำหรับของบักเจมส์ ส่วนมากมักจะเอาตำนานปรัมปรา เรื่องเล่าโบราณที่มีหลักฐานเลื่อนลอยมากล่าวอ้าง กับทวีปมูของเขา
ในปี 1869 เอิน แฮกเกิล นักสัตววิทยาและนักชีววิทยาทางทะเล ชาวเยอรมัน ผู้ค้นพบและตั้งชื่อสัตว์สายพันธุ์ใหม่หลายชนิด เขาได้ทำแผนที่ต้นไม้อธิบายลำดับวงศ์ตระกูล ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบ และบัญญัติศัพท์ทางชีววิทยาหลายคำ
โดยเขาได้เขียนหนังสือที่ชื่อ The history of creation ในหนังสือเล่มนี้ เขาได้เสริมมุมมองเกี่ยวกับทฤษฏีบทวิวัฒนาการ และพิจารณาว่า มนุษย์ในยุคแรกสุด อาจสืบเชื้อสายมาจากไพรเมตเอเชีย และได้วางแหล่งกำเนิดของมนุษยชาติไว้ในทวีปเอเชียและแอฟริกา
ทฤษฏีของเขายังได้รับการยอมรับในชุมชนนักวิทยาศาสตร์ เนื่องจากสามารถอธิบายถึงเส้นทางการอพยพที่เป็นไปได้ของมนุษย์ยุคแรก โดยสามารถเดินทางจากแอฟริกามายังอินโดนีเซียได้
จะสังเกตว่า มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนทวีปเลมูเรียของฟิลิป สเลเตอร์ในสมัยนั้นๆ สามารถเดินทางไปๆมาๆระหว่างอินเดีย ,แอฟริกา และมายังอินโดนีเซียก็ได้อีกด้วยอย่างสบายๆ แตกต่างจากทวีปมูลวงๆของบักเจมส์มาก ที่ลอยเด่นล้ำขนาดใหญ่อยู่โดดๆกลางมหาสมุทรแปซิฟิคอย่างน่าฉงนฉงาย ประการที่ห้า ที่เห็นถึงความต่างกันของสองทวีปโบราณนี้
นอกจากอาจจะมีสะพานทางเชื่อมเล็กๆระหว่างอินเดียและมาดากัสการ์แล้ว ก็ยังมีทางเชื่อมแผ่นดินจากอินเดียไปสู่ทางทิศตะวันออก แถวๆอินโดนีเซีย ไปจนจรดฟิลิปปินส์อีกด้วย
เอืน แฮกเกิล ยังได้สร้างแผนที่สมมุติของเลมูเรียขึ้น ตามแผนที่ของเขานั้น เป็นสะพานที่เชื่อมจากแอฟริกาตะวันออกไปจนกระทั่งถึงฟิลิปปินส์ และนี่คือสิ่งที่เขาเขียนไว้ ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับทวีปเลมูเรีย ต้นกำเนิดของสัตว์จำพวกเลมูเรียนั้น
อาจเป็นทวีปเขตร้อนในปัจจุบัน และอยู่ต่ำกว่ามหาสมุทรอินเดียในอดีต ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในยุค**ตติยภูมิ และบริเวณนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งอ้างอิงจากข้อเท็จจริงมากมาย เกี่ยวกับด้านภูมิศาสตร์ ด้านสัตว์และพืชผัก
แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่แหล่งกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติที่อยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันออก อาจจะเป็นอินโดสถาน หรือไกลจนกระทั่งอินเดีย หรือไกลออกไปทางด้านตะวันตก หรือในแอฟริกาตะวันออก
นอกจากในทางหลักวิทยาศาสตร์แล้ว นักไสยศาสตร์ที่มีชื่อเสียงอย่างฮายีน่า บรารัตสกี้ เธอก็ได้เล่าถึงดินแดนนี้ และเขียนเอาไว้ในตำราของเธอ โดยเธอเสนอว่า ทวีปเลมูเรียนั้น เมื่อหลายล้านปีก่อน
ฮายีน่า บรารัตสกี้ นักพลังจิตผู้มีพลังจิตแก่กล้ามากท่านนึง ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเธอ เกี่ยวกับประชากรบนทวีปเลมูเรียในสมัยนั้น เป็นชาวที่มี4แขน 3ตา ซึ่งคล้ายๆกับลักษณะของเทพฮินดูในศาสนาพราหมณ์
ทวีปแห่งนี้ได้เป็นแหล่งกำเนิด1/7เผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณที่อยู่ร่วมกับไดโนเสาร์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้บนทวีปคาดว่า มี4แขน 3ตา และขยายเผ่าพันธุ์โดยการโคลนนิ่ง น่าแปลก ที่คำอธิบายนี้คล้ายกับเทพเจ้าในศาสนาฮินดูโบราณ
ประการที่หก ที่เห็นถึงความแตกต่างของทวีปมูของเจมส์ กับ ทวีปเลมูเรีย ของฟิลิป สเลเตอร์ คือการกล่าวถึงประชากรที่มีหน้าตา รูปร่างลักษณะแปลกๆประหลาดๆ ที่ได้อาศัยบนทวีปเลมูเรีย ส่วนทวีปมูของบักเจมส์ กล่าวเพียงว่าประชากรที่อาศัยมีกันหลายเชื้อชาติ
ส่วนการสืบพันธุ์แบบโคลนนิ่งที่บักเจมส์ก็ไม่ได้กล่าวเอาไว้เช่นกัน ผู้เขียนบล้อกพินิจว่า มันน่าจะเป็นการสืบพันธุ์ของพวกอนันนูกิ หรืออาจจะเป็นการทดลองของพวกเขาที่ทำกับมนุษย์ที่นั่นในสมัยแรกๆ หรือทั้งสองอย่าง
เมื่อพิจารณาอารยธรรมในทวีปโบราณ ที่อาศัยอยู่ในอินเดียใต้ เชื่อกันว่า อารยธรรมนี้มีมาก่อนสุเมเรียนและอียิปต์ และบางคนถึงกับเรียกชาวทมิฬว่า เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีอารยธรรมกลุ่มแรกของโลก
นักพลังจิตอย่าง ฮายีน่า บรารอฟสกี้ ชาวยุโรปตะวันออก ก็ได้กล่าวถึงประชากรบนเลมูเรีย ว่ามีลักษณะ4แขน3ตา (อันมีสภาพที่เหมือนกับข่มมนุษย์ปกติธรรมดาบนโลก) เหมือนกับเทพเจ้าฮินดูโบราณในสมัยนี้
และพวกเขายังมีตำนานเกี่ยวกับทวีปที่จมอยู่ใต้น้ำ ที่เรียก กุมารี กันดั้ม
ตามตำนาน ทวีปแห่งนี้แห่งนี้ได้สูญสลายหายไปพร้อมกับอารยธรรมทมิฬโบราณ สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ทางใต้ของอินเดียในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย
ประการที่เจ็ด ที่เห็นถึงความแตกต่างระหว่างทวีปมูของบักเจมส์ กับทวีปเลมูเรีย ของฟิลิป สเลเตอร์ คือทิศที่ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของอินเดีย และเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมทมิฬโบราณ ซึ่งผู้เขียนบล้อกก็เห็นว่า ศาสนาพราหมณ์น่าจะถือกำเนิดขึ้นที่บริเวณอินเดียใต้แห่งนี้ด้วย
เช่นกัน โดยชาวอารยันชนพื้นเมือง ที่คือชาวทมิฬโบราณ และในเวลาต่อมา ก็ได้มีชาวอาร์เมนอยด์ที่ถูกขับไล่มาจากบริเวณตอนเหนือของอินเดีย ลงมาอาศัยอยู่ร่วมกันกับพวกเขาด้วย ที่เรียกว่า ชาวทราวิฑหรือชาวดราวิเดียน อันมาอยู่ในวรรณะจัณฑาล (***พวกอาร์เมนอยด์ยังได้สร้างอารยธรรมบนเมือง อันถือว่ารุ่งเรืองมากในอินเดียสมัยนั้น คือที่เมืองโมเฮนโจดาโร และ ฮารัปปา นั่นเอง )
ชาวทมิฬ หรือชาวทราวิฑ ที่อาศัยบริเวณอินเดียใต้ในปัจจุบัน เคยอยู่อาศัยที่เลมูเรียมาก่อนที่จะสูญสลายไป ในช่วงยุคมหาทวีปแพนเจีย
ทวีปเลมูเรียนี้ ยังมีเส้นทางเชื่อมต่อกันระหว่างแอฟริกาและเอเชียใต้ โดยผ่านมาดากัสการ์ และเมื่อระดับน้ำทะเลในยุคน้ำแข็งสุดท้ายสิ้นสุดลง ส่งผลให้ชาวทมิฬต้องอพยพถิ่นฐาน พร้อมกับปะปนเข้าไปยังดินแดนอื่นที่แตกต่างกัน
จากนั้นก็ทำให้เกิดวัฒนธรรมด้านภาษา เชื้อชาติ และอารยธรรมที่แปลกๆใหม่ๆเกิดขึ้น
ย่อหน้านี้ และถัดจากนี้ มีความแปลกและน่าสงสัย เพราะเรื่องราวในตอนที่ทวีปล่มสลายนั้นไปมีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวที่ก็อาจจะไม่จริงกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่อยู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่พวกเค้าเป็นชนชาติทมืฬ ซึ่งไม่ใช่ชาวแอตแลนติสแต่อย่างใด
ซึ่งผู้เขียนบล้อกพินิจว่า อาจจะมีการไปเอาข้อมูลของทวีปแอตแลนติสและทวีปมูของบักเจมส์ของพวกมือแต่งมาปะปนกัน ดั่งนี้ คือ
ไม่เพียงแต่ชาวทมืฬเท่านั้น ที่สืบเชื้อสายมาจากกุมารี กันดั้ม แต่มนุษยชาติทั้งหมดก็เช่นกัน และยังเชื่ออีกว่า วัฒนธรรมทมิฬเป็นรากฐานของวัฒนธรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผ่านมาหลายทศวรรษก็ยังมีตำนานที่เล่าเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้เกิดขึ้นมากมาย
Phillips Slater นักกฏหมายและนักชีวิทยาชาวอังกฤษ ผู้นำเสนอเรื่องราวของเลมูเรีย ก่อนหน้าเจมส์ ตั้งแต่กลางปี1800 แต่ทวีปมูลวงๆของเจมส์ปรากฏในปี1926บนหนังสือของเขา
และตำนานแห่งนี้ ยังไม่ได้กล่าวถึงทวีปเลมูเรียเท่านั้น แต่ยังไปสอดคล้องกับทวีปแอตแลนติสที่สูญหายอีกด้วย
แต่ข้อมูลในวิดีโอ ก็ยังยอมรับว่า เรื่องราวตอนล่มสลายนี้เหมือนกับทวีปแอตแลนติส ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามันอาจจะเป็นการเข้าใจผิดของนักแต่งที่เข้ามาเสริมภายหลัง ส่วนนึง เพราะการล่มสลายของแอตแลนติส สามารถสร้างเรื่องราวของศาสนานึง คือคริสต์ขึ้นมา
แล้วการล่มสลายของกุมารี กันดั้ม หรือเลมูเรีย จะสร้างเรื่องราวในศาสนาเดียวกันได้ล่ะหรือ อีกทั้งสถานที่ตั้งของสองอาณาจักรนี้ก็ห่างกันมาก!!!???เป็นคนละอาณาจักร ยกเว้นแต่ว่า จะมีหอคอยบาเบลสองแห่งในโลก
แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอาณาจักรเลมูเรีย หรือกุมารี กันดั้ม มีชาวทมิฬ และมีเทพเจ้าฮินดู ที่มีสี่แขนสามตา อาศัยอยู่มัน บ่งบอกชัดเป็นเรื่องราวของคนละศาสนากัน
กล่าวกันว่า ดินแดนทั้งสองแห่งนี้ได้จมหายลงไปในแผ่นดิน เนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติขนาดมหึมา และจมอยู่ใต้น้ำในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อกว่า12000BCก่อน
ผู้เขียนเคยเขียนในบล้อกก่อนๆว่า ทวีปแอตแลนติสไม่น่าจะสูญสลายลงเนื่องจากภัยธรรมชาติในยุคโฮโลซีนแน่ๆ แต่อาจจะจมลงไปตั้งนานแล้วเป็นหลักแสนๆปีBC ขึ้นไปด้วยซ้ำ ด้วยสาเหตุอื่น เช่นการสงคราม เป็นต้น ดังนั้น ทวีปเลมูเรีย หรือ กุมารี กันดั้ม ก็อาจจะสูญหายก่อนหน้ายุคโฮโลซีนเช่นกัน และอาจจะมากปีด้วย
เหมือนกับทวีปแอตแลนติส เขายังได้กล่าวอีกว่า ชาวเลมูเรีย และชาวแอตแลนติสที่รอดชีวิตมานั้น ก็ได้กระจัดกระจายไปทั่วโลก และได้วางรากฐานอารยธรรมมนุษย์จวบจนถึงยุคปัจจุบัน จากนั้น เมื่อวันเวลาผ่านไป ก็ได้กลายเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์สมัยใหม่
ผู้เขียนเห็นว่า มีความถูกต้องเป็นบางส่วน ในเรื่องการได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์สมัยใหม่เหมือนๆกัน ภายหลังจากการล่มสลาย ของทั้งสองอาณาจักรโบราณ แต่อาจจะล่มสลายไม่พร้อมกัน และสาเหตุที่ล่มสลายก็อาจจะไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งอาจจะไม่ใช่ด้วยสาเหตุของภัยธรรมชาติเสมอไป
ที่น่าสนใจ คือเพราะภัยสงคราม ส่วนทวีปเลมูเรียสาเหตุของการล่มสลาย อาจจะเกิดจากขณะตอนแผ่นดินเคลื่อนออกจากมหาทวีปแพนเจีย แล้วอาจจะเกิดจมลงไปขณะเคลื่อนตัวแยกออก
ทวีปเลมูเรีย คาดว่ามีทางเชื่อมเล็กๆติดต่อไปถึงบริเวณแอฟริกาตะวันออก และมายังอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ในปัจจุบัน ที่ฝั่งตะวันตกด้วย
ในตอนแรก มนุษย์เหล่านี้จะไม่มีการระบุเพศและสืบพันธุ์โดยวิธีการโคลนนิ่ง และเวลาต่อมา ก็มีการพัฒนาอวัยวะขึ้น และพัฒนาออกเป็นมนุษย์ชายและหญิง จะสังเกตว่า ข้อความในย่อหน้าหลังๆนี้ จะไปคลับคล้ายคลับคลากับเรื่องราวในพระคริสต์มาก เช่น อดัมกับอีฟ
การสืบพันธุ์ของมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งมันเป็นคนละสิ่งกัน และเป็นคนละศาสนา (เทพเจ้าฮินดูกับเทพซุส รึโปเซดอน) บางที อาจจะมีพวกนักวิชาการตะวันตก ประเภทนิสัยจำพวกอย่างบักเจมส์
มาพบเรื่องราวที่ฟิลิป สเลเตอร์ได้ค้นพบ และได้เขียนหนังสือเอาไว้ เขาจึงมาขอร่วมแจมในผลงานของเขาด้วยก็ได้ในภายหลัง เฉกเช่นที่พวกชาวอาร์เมนอยด์มาร่วมแจมในตำรับตำราพระเวทของพวกพราหมณ์อารยันกระนั้น
ความจริง ในเรื่องการเขียนข่าวบล้อกดิช ของผู้เขียน ผู้เขียนเชื่อเลยว่า หากผู้เขียนทิ้งเอาไว้ ต่อแต่มเมื่อใกล้ๆจะสิ้นชีวิตลง เขาต้องดีใจและได้หน้าแน่ๆ แม้ว่าตอนนี้ อาจจะยังมีลักษณะของคนปากไม่ตรงกับใจอยู่ ผู้เขียนนี่รู้ใจเค้ามากกว่าใครแม้จะไม่ได้คุยกันตรงๆก็ตาม แต่ชาวคริสต์ก็ชื่นชอบเค้ามากไม่น้อยนะ เห็นเป็นไอด่อลเลยล่ะ
(อย่างซิตี้อย่างงี้ สเปอร์ส เป็นต้น นี่ถ้าไม่ติดเรื่องหน้าตา และความสูง เค้าก็น่ารวมอยู่ในกลุ่มนักแสดงได้เลยนะ)
ตอนนั้น เค้าก็บอกกับริวแตดเองว่า เดวจะขอไปอยู่แบบคนส่วนน้อยนะ ขอดูทิศดูทางลม ไปๆมาๆ ก็พรรคพวกเดียวกันกะหะมอยดีๆนี่เอง ส่วนนันนี่ นักพลังจิตคนไหนมาช่วยก็กันเอาไว้ให้พี่ริวกินหมด นันนี่เค้าถนัดถามทำไมถามถึงสาเหตุบ่อยๆ เป็นลักษณะที่ต่างกัน แต่แต่มชอบเสี้ยมประชาชน ว่างๆเผลอๆเมื่อไหร่ก็เถอะ
มาดูเรื่องของเราดีกว่า
แต่บางตำนานก็กล่าวต่างกันไป โดยกล่าวกันว่า ชาวเลมูเรีย เป็นลูกหลานของชาวแอตแลนติส และอารยธรรมของพวกเขา มีต้นกำเนิดมาจากอารยธรรมแอตแลนติสที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมครั้งนั้น ที่แตกต่างคือ ชาวเลมูเรียจะไม่แสดงความมั่งคั่งทางวัตถุ
และจะไม่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุใดเลย พวกเขามุ่งเน้นไปทางจิตวิญญาณและการบูชาพระเจ้าเป็นหลัก
สองย่อหน้านี้มีความผิดปรกติ และไม่น่าจะถูกต้อง อาจจะมีบางรายพยายามแทรกแซงและร่วมแจมในผลงานของฟิลิป สเลเตอร์อยู่จริงๆก็ได้ สำหรับในวิดีโอนี้ เขากล่าวว่า ชาวเลมูเรียเป็นลูกหลานของชาวแอตแลนติส และอารยธรรมของพวกเขา มีต้นกำเนิดมาจากทวีปแอตแลนติส ที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมครั้งนั้น
ชาวทมิฬไม่น่าจะเป็นลูกเป็นหลานของชาวกรีซได้เลย มันเป็นคนละสิ่งอย่างกัน ทำนองเดียวกับเทพเจ้าฮินดู ของเลมูเรีย ก็ไม่น่าจะรับอิทธิพลจากเทพกรีกอย่างซุสหรือโปเซดอนจากแอตแลนติสมา ส่วนที่กล่าวว่า พวกเลมูเรียจะมุ่งเน้นทางด้านจิตวิญญาณ
และการบูชาเทพเจ้าเป็นหลัก น่าจะเป็นการกล่าวเชิงประชดแดกดันชาวทมิฬและชาวอินเดีย ของพวกนั้นที่แต่งเข้ามา ทำนองว่าชาวทมิฬและชาวอินเดีย (หรือชาวพราหมณ์-ฮินดู) นี่เคร่งศาสนาซะเหลือเกิน
ที่น่าจะถูกต้อง คือ อาณาจักรเลมูเรียน่าจะมีมาก่อน อาณาจักรแอตแลนติส
หรือบางทฤษฏีอ้างว่า ชาวเลมูเรีย อาจเกิดขึ้นก่อนชาวแอตแลนติส และบางตำนาน ยังกล่าวถึงสงครามชาวเลมูเรีย กับชาวแอตแลนติสอีกด้วย โดยการกล่าวว่า ชาวแอตแลนติสกำลังพยายามปราบปรามชนเผ่าและอารยธรรมอื่นๆบนโลก เมื่อประมาณ25000 BC
แต่ในทางกลับกัน ชาวเลมูเรียกลับสนับสนุนวิวัฒนาการทางธรรมชาติของสังคมอื่นๆ และเรียกร้องชาวแอตแลนติสไม่ให้มาแทรกแซงสิ่งเหล่านี้
สองย่อหน้านี้ก็มีความไม่ถูกต้องและไม่ชอบมาพากล แต่ชาวเลมูเรียอาจเกิดขึ้นก่อนหรืออย่างน้อยๆในเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับอาณาจักรแอตแลนติสนั้นมีความเป็นไปได้ แต่การที่บอกว่า ชาวแอตแลนติสได้พยายามปราบปรามพวกชนเผ่ากับอารยธรรมอื่นบนโลก
อาจจะมีเหตุการ์ณนี้เกิดขึ้นจริง แต่ไม่น่าจะใช่ระยะเวลาที่25000BC มันอาจจะเกินกว่านั้น สักหลักแสนBCขึ้นไป ในการพยามยามปราบปรามชนเผ่านั้น ส่วนในย่อหน้าถัดมา ที่กล่าวว่า ชาวเลมูเรีย สนับสนุนทฤษฏีวิวัฒนาการทางธรรมชาติของสังคมอื่นๆ
อันขัดกันกับชาวแอตแลนติสนั้น คำว่า ทฤษฏีและวิวัฒนาการทางธรรมชาติของสังคมอื่นๆ น่าจะหมายถึง ระบบชั้นวรรณะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั่นเอง ที่พวกเค้าได้คิดค้นขึ้นมา อยู่บนอาณาจักรเลมูนี่เอง
ชาวเลมูเรียบนทวีปเลมูเรีย นั้นสนับสนุนทฤษฏีวิวัฒนาการทางธรรมชาติและสังคมอื่นๆ ซึ่งส่อความหมายใกล้เคียงกับความคิดเรื่องชนชั้นวรรณะของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งผู้เขียนว่าก็น่าจะเกืดที่บริเวณอินเดียภาคใต้เหมือนกับที่ตั้งของทวีปเลมูเรีย
ในที่สุด ชาวแอตแลนติสก็เริ่มทำสงครามกันกับชาวเลมูเรีย ซึ่งจบลงด้วยแผนการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ จากนั้น ชาวเลมูเรียกว่า 60ล้านคน (****ในขณะที่ข้อมูลประชากรของทวีปมูของเจมส์มีราวๆ63ล้านคน แต่อย่างไรก็ไม่มีความถูกต้องอยู่ดี) ก็เสียชีวิตลง และมีเพียงผู้ที่รอดชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเท่านั้น
มีความผิดปรกติ เพราะถ้าหากมีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์จริงๆในสมัยนั้น ก็น่าจะพบหลักฐานแทรกอยู่ในชั้นดินหรือหิน หรือซากปรักหักพังของอาคารสิ่งก่อสร้างของชาวเลมูเรีย ที่บริเวณเอเชียใต้ในปัจจุบัน
มากพอสมควรในสมัยปัจจุบัน แต่นี่เรากลับไปพบแถวๆบริเวณอินเดียตอนเหนือ คือ ที่เมืองโมเฮนโจดาโร และที่เมืองฮารัปปา อันเป็นอารยธรรมโบราณเก่าแก่ที่พวกอาร์เมนอยด์สร้างขึ้น ดังนั้น อาจจะมีสงครามเกิดขึ้นจริง แต่อาจจะผิดบริเวณ ผิดที่ผิดทางไป มันน่าจะไปเกิดขึ้นบริเวณอินเดียตอนเหนือมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การสูญสลายเหล่านี้ ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากภัยพิบัติหลายครั้ง เกิดจากอาวุธที่ใช้ ซึ่งตำนานเหล่านี้ อาจดูเป็นตำนานเกินจริง สำหรับคนในยุคปัจจุบัน แต่ทวีปเลมูเรียนี้ ก็อาจเป็นส่วนนึงของโลก และอาจมีสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิต
อยู่ในนั้น เพื่อรอคอยวันที่แผ่นพื้นของทวีปโผล่พ้นทะเลขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ เมื่อพิจารณาการเกิดภัยพิบัติครั้งนี้ อาจเป็นมหาอุทกภัย ที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ที่วัฒนธรรมทั่วโลกต่างกล่าวถึง และในปี2013
ย่อหน้านี้จู่ๆก็โพล่งมากล่าวถึงเรื่องพระคัมภีร์ซะงั้น ราวกับทวีปเลมูเรียคือแอตแลนติสกระนั้น จริงๆแล้ว มันอยู่คนละตำแหน่งกันเลย ห่างกันตั้งมากมาย แถมยังไม่ใช่ศาสนาเดียวกันอีก เทพฮินดู ในศาสนาพราหมณ์ กับ หอบาเบลในพระคริสต์ มันไม่ใช่สิ่งเดียวกันเลย ผู้เขียนเห็นว่า อาจจะมีคนมาลักลอบร่วมแจมเขียนแบบเดียวกับชาวอาร์มินิดส์กับตำราพระเวทของพราหมณ์ก็น่าเป็นได้ สำหรับตอนกลางๆของวิดีโอท่านนี้
ในปี2013 มีการพบหลักฐานเพิ่มเติมถึงการมีอยู่ของทวีปโบราณ ในมหาสมุทรอินเดีย มันถูกพบบนเกาะเขตร้อนของประเทศมอริเชียส นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเศษหินแกรนิต โดยพบทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย ตามแนวไหล่เขาที่ทอดยาว
หลายร้อยไมล์ มุ่งตรงไปสู่ตอนใต้ของประเทศมอริเชียส และที่ประเทศมอริเชียสนั้น ทีมนักธรณีวิทยาได้ค้นพบเพทายมีอายุเก่าแก่กว่าสามพันล้านปีก่อน
ในย่อหน้านี้ บทความเปลี่ยนมานำเอาข้อเท็จจริง ข้อมูลข่าวสารจริงมาเปิดเผยล่ะ ต่างจากส่วนตอนกลางๆที่จะเน้นแต่งขึ้นเองมากกว่า ยกเว้นอายุความเก่าแก่ของเพทายที่พบอาจจะมีการตกแต่งบ้างเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะไปพบในบริเวณทวีปแอฟริกาที่พวกอนันนูกิมาอยู่ก็ได้
ซึ่งอาจเป็นยุคก่อนการกำเนิดเกาะ โดยตัวมันเอง กำเนิดขึ้นเมื่อสองล้านปีก่อนเท่านั้น สิ่งนี้ได้หมายความว่า เพทายที่พวกเขาค้นพบนั้น มาจากแผ่นดินที่เก่าแก่มาก ซึ่งจมลงในมหาสมุทรอินเดีย
หมู่เกาะมาดากัสการ์ บริเวณแอฟริกาตะวันออก ค้นพบซากฟอสซิลลิงลีเมอร์เป็นจำนวนมากที่นี่และที่อินเดียด้วย ซึ่งฟิลิป สเลเตอร์คาดว่า ในสมัยโบราณ อาจจะมีทางเชื่อมกันแคบๆระหว่างเกาะและอินเดีย
จากนั้น แทนที่จะเรียกทวีปที่สูญหายนี้ว่า เลมูเรีย นักธรณีวิทยาจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า มาเลเชียน
แม้จะมีชื่อที่แตกต่างกัน แต่ข้อมูลที่ค้นพบนั้น ก็เข้ากันได้ดีอย่างลงตัว และสอดคล้องกับทวีปเลมูเรีย ที่ฟิลิป สเลเตอร์ค้นพบ และตำนานกุมารี กันดั้มของชาวทมิฬโบราณ หรือทวีปเลมูเรีย อาจไม่ได้เป็นแค่ตำนาน แต่มันจมลงอยู่ที่นี่ที่มหาสมุทรอินเดีย
* ธ้อต (Thoth) ผู้คิดค้นและเขียนคัมภีร์มรกต เขาเป็นชาวหมู่เกาะแอตแลนติสด้วย บางส่วนของคัมภีร์นี้สามารถนำมาใช้สร้างมหาปิรามิดได้ เขาเข้ามาอาศัยอยู่ในอียิปต์ และสร้างมหาปิรามิดของคุฟูขึ้น (ไม่ใช่พระเจ้าคีออปส์นะที่เป็นผู้สร้าง) เมื่อราวๆ2,900BC และตั้งตนเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศอียิปต์ด้วย
ดินแดนอียิปต์จมอยู่ภายใต้มหาสมุทรตั้งแต่250,000BC ก่อน มีเพียงทะเลทรายซาฮาร่า และตอนบนของแม่น้ำไนล์เท่านั้น ที่อยู่เหนือน้ำทะเล ดังนั้น อาณาจักรแอตแลนติส ซึ่งก็อยู่ใต้น้ำทะเลเหมือนกัน และอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ผู้คนจึงอาจสามารถไปมาหาสู่กันได้
และท้อต ที่เป็นชาวแอตแลนติส ก็ได้อพยพมาอยู่ที่อียิปต์ เขาเป็นผู้เขียนตำรามรกตขึ้น เมื่อราวๆ36,000 BC ก่อน หนึ่งในเนื้อหาของคัมภีร์ที่เขาเขียน จะอธิบายวิธีการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่จากหินขนาดใหญ่ เช่นปิรามิด เอาไว้ด้วย ก่อนที่คัมภีร์นี้ ภายหลังจะมีพระรูปนึง อันเป็นศิษย์ของเขา นำไปที่อเมริกาใต้ และก็ได้สร้างปิรามิดขึ้นที่นั่นอีก
บนอาณาจักรของชาวมายาและชาวอินคา
ธ้อต กลายมาเป็นกษัตริย์ปกครองอียิปต์ ยาวนาน จนชาวอียิปต์ยกย่องเขาให้เป็นเทพ ได้ชื่อว่า เทพเป็นผู้รอบรู้และฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในเหล่าเทพต่างๆ อีกทั้งยังเป็นผู้ถนัดในอาคมเวทย์มนตร์ต่างๆด้วย
นามอื่นๆของธ้อต ก็อย่างเช่น Djhuty,Djehuty,Tehuty และ เฮลมอส
**
https://youtu.be/GegjUHZ2yRs?si=Q4ntoEM6hIvGaLkI
*** ยุคตติยภูมิ น่าจะอยู่ในช่วงก่อนจูราสสิค คือเมื่อ65ล้านปี BC ขึ้นไป
****
https://www.facebook.com/100070082524078/posts/pfbid0U6vNLGUeuL8bsNHKaeYXVrxb1YP7dugYc6hYq8u3MhJjDaRP5F7tbdmB3Xjd68stl/?app=fbl
ขอขอบพระคุณข้อมูล อ้างอิง
https://youtu.be/GegjUHZ2yRs?si=Q4ntoEM6hIvGaLkI
https://postjung.com/tag/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B9
https://youtu.be/NatN5_qxhoQ?si=_PFCKdkFZH6cyVQZ
วิดีโอครูอินทรา ผู้มีแปลนที่ไม่ดีนักในความคิด
https://www.dek-d.com/board/knowledge/1312636/
https://www.facebook.com/100070082524078/posts/pfbid02Y8X5p5gDaM3aghgWHQFR1E2v5jh8AbGpNMM7rNb5ACa5suqnV6TaTnpd4VQ4BfqDl/?app=fbl
https://hmong.in.th/wiki/Lemuria_
(con
https://www.facebook.com/100064911601100/posts/pfbid0FyVsgtEHGsHSKBGf6itCF9rJjDL22MULGLLC4R7929XAbNHFhhkx3H1X2MHoLmMzl/?app=fbl
วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์น่ารู้
ประวัติศาสตร์
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย