29 ก.ค. เวลา 11:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

"Vogue" จากนิตยาธรรมดา สู่สถาบันแฟชั่นระดับโลก

เปิดเบื้องหลังความหรูหรา "Vogue" จากนิตยาสารธรรมดา สู่เกมธุรกิจพันล้าน และอิทธิพลที่สั่นสะเทือนทั้งวงการแฟชั่น
หลายคนคงรู้แล้วว่า หนังแฟชั่นชื่อดังอย่าง The Devil Wears Prada เตรียมกลับมาอีกครั้งในรอบ 20 ปี หลังจากภาคแรกฉายไปตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับโลกแฟชั่นระดับสูง ผ่านมุมมองของหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่ต้องปรับตัวและเอาตัวรอดจากเจ้านายสุดโหด ทำให้หลายคนมองว่าหนังเรื่องนี้ มีแรงบันดาลใจมาจากผู้หญิงที่มีอิทธิพลในวงการแฟชั่น อย่าง Anna wintour
Vogue เบื้องหลังจักรวาลแฟชั่นพันล้าน
ชื่อ Anna wintour เป็นหนึ่งในคนที่มีอิทธิพลในวงการแฟชั่นระดับโลก ถึงขั้นได้รับฉายาว่า “The Pope of Fashion” หรือ “โป๊ปแห่งวงการแฟชั่น” เพราะ บทบาทของเธอขยายไปยังงานระดับโลก ที่หลายๆคนรู้จักกันดี อย่างงาน Met Gala หรืองานแฟชั่นการกุศล ที่จัดขึ้นทุกปีโดย Costume Institute ของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (The Met) ในนิวยอร์ก
Anna Wintour มีอิทธิพลอย่างมากในงาน Met Gala ถึงขั้นถ้าพูดถึง Met Gala แล้วไม่เอ่ยชื่อ Anna Wintour ก็เหมือนยังเล่าเรื่องไม่ครบ เพราะเธอเป็นผู้ดูแลหลัก หรือเป็นประธานจัดงาน ตั้งแต่ปี 1995 และเปลี่ยนให้งานนี้กลายเป็นอีเวนต์แฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประจำปี
อิทธิพลของเธอ ไม่ใช่แค่การเป็นประธานจัดงานอย่างเดียวเท่านั้น แต่เธอยังมีอิธิพลถึงขั้นที่ว่า รายชื่อแขกทุกคนที่เข้าร่วมงาน ต้องผ่านการอนุมัติจากเธอก่อนทั้งหมด นั้นหมายความว่าไม่ใช่ใครจะเข้าร่วมงานก็ได้และเธอยังเป็นคนกำหนดที่นั่งของแขก กำหนดธีมจัดงานในทุกปีด้วย
บทบาทของเธอ ไม่ได้มีแค่การกำกับ งาน Met Gala จากงานการกุศลธรรมดาให้กลายเป็น “Super Bowl ของแฟชั่น” อย่างเดียวเท่านั้น แต่เธอยังอยู่ในบทบาทของบรรณาธิการบริหาร นิตยาสารแฟชั่นในตำนานอย่าง Vogue อเมริกา อีกด้วย
 
ซึ่งการนั่งตำแหน่ง บก.บห. ของเธอนั้น มีอิทธิพลอย่ามาก เพราะตั้งแต่เธอเข้ามา ก็ได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของนิตยสาร ให้ทันสมัย แปลกใหม่และตอบโจทย์ผู้อ่านมากยิ่งขึ้น ทั้งการนำแนวคิด “high fashion meets street style” มาใช้ ตั้งแต่ยุค 1990s ทำให้ Vogue เข้าถึงผู้คนในวงกว้างมากขึ้น
เป็นคนแรกๆ ที่ผลักดันให้คนดัง อย่างนักแสดง นักร้อง มาอยู่บนปกแทนการใช้นางแบบแฟชั่นล้วน ๆ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในตอนนั้น อีกทั้งเธอยังสามารถเชิญ คนที่มีอิทธิพลระดับโลกในทุกแวดวง เช่น เจ้าหญิงไดอาน่า มิเชลโอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เลดีกาก้า นักร้องชื่อดังระดับโลก ซึ่งฉบับที่กาก้า อยู่บนปกถือว่าเป็นฉบับที่ขายดีที่สุดของ Vogue โดยมียอดขายทะลุ 1 ล้านฉบับ บียยอนเซ่ ตระกูลคาเดเชียน แฮร์รี่ไสตล์ ที่ตอนนั้น เธอให้แฮร์รี่เป็นชายคนแรกที่เอาชุดสุภาพสตรีมาสวมใส่
นอกจากนี้วินทัวร์ยังมีบทบาทในการปั้นนักออกแบบหน้าใหม่ให้ดังระดับโลกอีกด้วย เช่น Marc Jacobs, Alexander McQueen, John Galliano
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา เมื่อ Anna Wintour ประกาศอำลาจากตำแหน่ง บก.บห. ของ Vogue อเมริกา หลังจากที่นั่งบนบัลลังก์นี้ มายาวนานกว่า 37 ปี และจะเปลี่ยนไปดูแลด้านคอนเทนต์ของ Vogue ทั่วโลกแทน
สิ่งนี้จึงแสดงให้เห็นถึงอำนาจและวิสัยทัศน์ของผู้หญิงที่ชื่อว่า Anna Wintour ที่กว้างขวางเกินกว่าแค่นิตยสารฉบับเดียว โดยตลอดระยะเวลาเกือบสี่ทศวรรษนี้ เธ ทำให้ Vogue เป็น 1 ในนิตยาสารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก
แม้ในวงการแฟชั่นบนโลกนี้ มีนิตยาสาร เยอะมากมายหลายฉบับ อย่างเช่น Harper’s Bazaar นิตยสารแฟชั่นอเมริกันเก่าแก่ ที่ก่อตั้งขึ้นใน 1867 Elle แบรนด์แฟชั่นระดับโลกจากฝรั่งเศส ก่อตั้งในปี 1945 ซึ่งทั้งสองค่ายนี้ถือว่าเป็นคู่ปรับกับ Vogue มาอย่างยาวนานก็ว่าได้ แต่แน่นอนว่า Vogue ก็ยังคงเป็นหนึ่งในสาม ของนิตยาสารแฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก
Vogue เป็นนิตยสารแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นโดย Arthur Baldwin Turnure ในปี 1892 หรือว่ามีอายุถึง 135 ปี โดยตอนแรกเป็นนิตยสารรายสัปดาห์สำหรับชนชั้นสูงของนิวยอร์กเท่านั้น ที่จะเน้นข่าวสังคม แฟชั่น และไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงชนชั้นสูงเป็นหลัก
แต่จุดเปลี่ยนของ Vogue คือในปี 1909 บริษัท Condé Nast หรือ บ.ที่เกี่ยวกับสื่อยักษ์ใหญ่ ได้เข้าซื้อกิจการและเปลี่ยนให้ Vogue เป็นนิตยาสารรายเดือน เน้นเข้าถึงพื้นที่ท้องถิ่นมากขึ้น แต่ยังคงมีความหรูหรา จนทำให้ Vogue กลายเป็นเวทีหลักสำหรับการแสดงแฟชั่นไฮเอนด์ การถ่ายภาพแฟชั่นระดับโลก และบทสัมภาษณ์กับบุคคลที่มีชื่อเสียง
ซึ่งบทบาทของ Condé Nast ที่เข้ามาดูแล Vogue นั้น มีหลายบทบาท แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องเด่นๆคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก การเข้ามาทำให้ Vogue ในสมัยก่อนที่เป็นเพียงนิตยสารรายสัปดาห์สำหรับชนชั้นสูงในนิวยอร์ก กลายเป็นสื่อระดับระดับโลก
ด้วยการเริ่มขยายฉบับต่างประเทศ ไปยังพื้นที่ท้องถิ่นต่างๆ เช่น Vogue UK ในปี 1916) และ Vogue Paris ในปี 1920 สำหรับในไทยเองก็มี Vogue Thailand ด้วยเช่นกัน ซึ่งเปิดตัวในปี 2013
 
การลงทุนในบุคลากรคุณภาพ อย่างการดึงบุคคลากรระดับตำนานมาร่วมงานด้วย เช่น บรรณาธิการ อย่าง Diana Vreeland, Grace Mirabella, และ Anna Wintour ส่วนช่างภาพแฟชั่นก็มีเช่นกัน อย่าง Irving Penn, Richard Avedon, Steven Meisel เป็นต้น
นอกจากนี้ Condé Nast พา Vogue ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างจริงจัง มีการเปิดเว็บไซต์ Vogue.com ลุยทำคอนเท้นในยูทูป อย่าง “73 Questions” หรือ “Beauty Secrets” ขยายการเข้าถึงผ่าน Instagram, TikTok, และ Podcast อีกทั้งยังส่งเสริมให้ Vogue ทำหน้าที่มากกว่าสื่อแฟชั่น เช่น สนับสนุนความหลากหลาย ส่งเสริมบทบาทผู้หญิงและ LGBTQ+ ผลักดันประเด็นสิ่งแวดล้อม อย่างการทำแฟชั่นยั่งยืน
จะเห็นได้ชัดเลยว่า ภายใต้การบริหารของ Condé Nast, Vogue ได้รับการพัฒนาให้เป็นมากกว่านิตยสารแฟชั่น แต่กลายเป็น "สถาบัน" ที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งในวงการแฟชั่นโลก ทั้งในแง่เนื้อหา ศิลปะ วัฒนธรรม หรือถ้าพูดกันง่ายง่ายก็คือว่า Condé Nastเปรียบเสมือน หัวใจสำคัญของ Vogue
แต่ถ้าเราลองมองมุมกลับและมองในแง่ของธุรกิจบ้าง Vogue ก็เปรียบเสมือนหัวใจของ Condé Nast เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้รายได้รวมของบริษัทจะยังไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน แต่ Condé Nast ยืนยันว่า Vogue เป็นตัว Makemoney ให้กับบริษัท
จากการเปิดเผยคร่าวๆ ของรายได้รวมของ Condé Nast พบว่ามีรายได้รวมประมาณ 1.1-2 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2019-2022 ซึ่งรายได้หลักๆมาจากค่าโฆษณาในนิตยาสาร
จากตัวอย่างรายได้คร่าวๆ เฉพาะฉบับ “September Issue” เพียงฉบับเดียว คาดว่าจะสร้างรายได้โฆษณาประมาณ 92 ล้านดอลลาร์ จากการขายโฆษณา 584 หน้า ที่มีค่าโฆษณาหน้าละ 157,734 ดอลลาร์สหรัฐ
Vogue เบื้องหลังจักรวาลแฟชั่นพันล้าน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Vogue จะมีอายุมากกว่า 100 ปี และเป็นเสาหลักในการสร้างเม็ดเงินให้กับบริษัทแม่ แต่ในปัจจุบัน Vogue ก็มีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญอยู่ไม่น้อย ทั้งรายได้จากโฆษณานิตยาสารที่เป็นสิ่งพิมพ์ น้อยลง ความนิยมก็ลดลงไปตามยุคสมัย
และถึงแม้จะมีการปรับกลยุทธ์ การปรับตัวให้เข้ากับยุคใหม่แล้วก็ตาม แต่จากที่ Anna Wintour ประกาศลงจากบัลลังก์นั้น ก็เข้ามาเป็นอุปสรรคส่วนนึง ที่ทำให้คนในวงการแฟชั่นทั่วโลกฮือฮา จับตารอดูกันอย่างมาก
และทิศทางต่อจากนี้ ของ Vogue จะเป็นอย่างไรต่อไปแล้วใครที่จะมานั่งบนบัลลังก์แทน Anna Wintour รวมไปถึง บริษัทแม่อย่าง Condé Nast จะมีวิธีหรือแผนอย่างไรต่อจากนี้ ที่จะพา Vogue รักษาตำแหน่ง คัมภีร์ของวงการแฟชั่นต่อไปให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องท้ายทาย และน่าตื่นเต้นที่เราต้องมารอดูกัน ว่าเกมนี้ของ Vogue จะเป็นอย่างไรต่อไป
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/trick-trend/253490
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา