Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
30 ก.ค. เวลา 16:42 • ธุรกิจ
🏃♂️ 'Sprint' ทุกวัน...ไม่ใช่ 'ความเร็วที่แท้จริง' แต่คือ 'เส้นทางสู่ Burnout'!
🏁 'กับดักความเร่งรีบ' และทำไม 'การหยุดพัก' คือกลยุทธ์ของ 'นักวิ่งมาราธอน' ที่เข้าเส้นชัยได้จริง 🧘🏻♂️
====
🎯 "การทำงานคือการวิ่งมาราธอน...แล้วทำไมเราถึงพยายาม 'Sprint' ตลอดเวลา?"
ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็ว ทุกองค์กรต่างต้องการ "ความเร็ว" เราจึงนำแนวคิดการทำงานแบบ "Sprint" มาใช้ ด้วยความหวังว่าจะเร่งสปีดและส่งมอบผลลัพธ์ให้ทันตลาดที่สุด
แต่เคยหยุดถามตัวเองไหมครับว่า... "ถ้าเราทำ Sprint ทุกวัน โดยไม่มีจังหวะหยุดพักเลย ทีมเราจะไปได้ไกลแค่ไหน?"
บทความนี้ไม่ได้บอกว่าการทำ Sprint ไม่ดี แต่จะชวนคุณ "คิดให้ลึก แต่เข้าใจง่าย" ว่า
* ทำไมวัฒนธรรม “Sprint ทุกวัน” กลายเป็นกับดักที่อันตราย
* ทำไม “จังหวะพัก” ไม่ได้แปลว่า “อู้” แต่คือ “กลยุทธ์”
* และจะออกแบบจังหวะการทำงานให้เร็วพอ โดยไม่หมดแรงได้อย่างไร?
====
🔥 1. 'กับดักนักวิ่งระยะสั้น' = เมื่อ Sprint กลายเป็น Burnout?
1. ภาวะหมดไฟ (Burnout)
* เราบอกว่ากำลัง Sprint แต่ไม่มีใครได้พักจริงๆ งานวิ่งชนงาน ซ้อนรอบเดิมซ้ำๆ มี meeting ขัดจังหวะระหว่าง backlog มีเดดไลน์เร่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ และไม่มี buffer time สำหรับการฟื้นแรง สิ่งเหล่านี้บั่นทอนพลังใจของทีมอย่างเงียบ ๆ คนเก่งเริ่มไม่สนุกกับงานที่เคยรัก และค่อยๆ ลาจากโดยไม่มีใครรู้ว่า "ความเหนื่อยล้า" คือเหตุผลหลัก
* ตัวอย่าง เช่น บริษัท Atlassian รายงานว่า หลัง COVID-19 มีพนักงานกว่า 35% รู้สึกหมดไฟ เพราะไม่มีเวลาพักจริงระหว่างรอบการทำงาน แม้จะใช้ Agile ก็ตาม (ที่มา: Atlassian Team Health Report 2022)
2. หนี้ทางเทคนิค (Technical Debt)
* เมื่อความเร่งกลายเป็นเป้าหมายหลัก ทีมมักเลือกทางลัด ตัดมุมบางจุดเพื่อให้ส่งมอบทันเวลา ซึ่งอาจทำให้โค้ดหรือโครงสร้างระบบขาดความมั่นคง ต้องกลับมาแก้ภายหลังซ้ำๆ
* ตัวอย่าง เช่น ในระบบ e-Commerce ขนาดใหญ่ที่รีบเร่งอัปเดตฟีเจอร์ flash sale โดยไม่มีเวลาทดสอบระบบ backend ผลคือล่มกลางแคมเปญ ต้องดึงทีม dev ทั้งหมดมาแก้ตอนตี 2 ทำให้เสียทั้งยอดขายและพลังงานทีม
3. ขาดการคิดเชิงกลยุทธ์
* เมื่อวันทำงานเต็มไปด้วย task ที่ต้องปิดทัน sprint ทำให้ทีมไม่มีเวลาคิดเรื่องใหญ่ ไม่มีเวลาทบทวนว่า เรากำลังไปถูกทางหรือเปล่า กลายเป็นเพียง “เครื่องจักรผลิตงาน” ไม่ใช่ผู้ขับเคลื่อนองค์กร
* ตัวอย่าง เช่น ทีม R&D ในหลายองค์กรที่ไม่มีช่วงสะท้อนผลหลังโครงการ จบ sprint แล้วเข้าสู่ sprint ใหม่ทันที ทำให้พลาดโอกาสเรียนรู้จากความล้มเหลว หรือปรับจุดยืนทางนวัตกรรมอย่างแท้จริง
💭 “คุณกำลังสร้างทีมที่ 'วิ่งผลัด' มีจังหวะพักได้ หรือกำลังบีบให้คนคนเดียววิ่งมาราธอนด้วยสปีด 100 เมตรตลอดทาง?” หากคำตอบคืออย่างหลัง...อีกนานแค่ไหนครับ ก่อนที่เขาจะล้มกลางทาง?
====
🧘♂️ 2. Cool Down Period — อาวุธลับที่ถูกลืมของนักวิ่งที่ยั่งยืน
การหยุดพัก ไม่ใช่การหยุดทำงาน แต่คือช่วงเวลาทบทวน ฟื้นฟู และเตรียมพลังสำหรับก้าวต่อไป
📌 Case Study: Basecamp และแนวคิด Shape Up
Basecamp พัฒนาโมเดลชื่อ “Shape Up” ซึ่งตั้งใจ “ออกแบบจังหวะ” ให้ทีมมีความยืดหยุ่น โดยการทำงานเป็นรอบ 6 สัปดาห์เพื่อสร้างฟีเจอร์ที่สำคัญ และตามด้วย “Cool Down” อีก 2 สัปดาห์เต็มๆ ซึ่งทีมสามารถ
* Refactor โค้ดและแก้ปัญหาทางเทคนิคที่พอกพูน
* ทดลองไอเดียใหม่ ๆ ที่ไม่มีเวลาในช่วงปกติ
* ทำ R&D อย่างจริงจัง เช่น ทดลองเทคโนโลยีใหม่ หรือเขียน prototype
* Reflect และวางแผนรอบถัดไปอย่างมีสติ
โมเดลนี้ช่วยให้ทีมไม่เพียงแค่ “ส่งมอบ” ได้ แต่ยัง “ยกระดับคุณภาพ” อย่างต่อเนื่องอีกด้วย [อ้างอิง: Basecamp Shape Up Guide -
https://basecamp.com/shapeup
]
📌 Case Study: Google – 60:40 Work Ratio
ที่ Google มีการจัดสรรเวลาทำงานแบบ 60:40 หรือ 70:30 ในบางแผนก โดยให้เวลาราว 30–40% ของแต่ละไตรมาสกับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับ task ปกติ เช่น
* สำรวจ innovation ใหม่ ๆ (Google X, 20% time projects)
* ทำ internal hackathon เช่น Google Hack Week
* ทบทวนกระบวนการที่ใช้ และปรับปรุง productivity tools
แนวคิดนี้มาจากการเข้าใจว่า “คนไม่ควรถูกใช้เหมือน CPU” แต่ควรมีช่วง “recharge” และใช้สมองในเชิงคิดสร้างสรรค์ [อ้างอิง: Lazlo Bock, Work Rules!, อดีต Chief People Officer แห่ง Google]
📌 Case Study: Spotify – Squad Health Check & Cool Rituals
Spotify วางระบบ “สุขภาพทีม” โดยการใช้ Squad Health Check เป็นประจำ เพื่อให้ทีมประเมินตนเองในมิติที่ไม่ใช่แค่ velocity เช่น
* ความสนุกในการทำงาน
* ความรู้สึก autonomy และความเชื่อมั่นในเป้าหมาย
นอกจากนี้ Spotify ยังมี “ritual” เล็ก ๆ ที่สร้างจังหวะการหยุดพัก เช่น
* Team unplug day (วันไร้ meeting)
* Silent hour ทุกสัปดาห์ เพื่อให้คนได้คิดหรือพัก
* Sprint Review Party ที่ไม่มี agenda ทางเทคนิค แต่ให้ทีม celebrate กัน
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ gimmick แต่เป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยา เพื่อให้ “คน” ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของ “ทีม” ต่อไป [อ้างอิง: Henrik Kniberg, Spotify Engineering Culture Part 1 & 2]
✅ Cool Down Starter Checklist?
1. มีช่วงเวลา 3–5 วันต่อเดือนที่ไม่มี Deadline หรือ Sprint fix?
2. ให้ทีมเลือกสำรวจสิ่งใหม่ / Refactor งานเก่า โดยไม่ต้องขออนุญาต?
3. ปิด Sprint ด้วย Reflection ที่พูดกันจริง ๆ ว่าเหนื่อยหรือไม่ เหลือพลังแค่ไหน?
4. ใช้เวลานี้วางแผนเรื่องที่ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่แค่ปั่น Task ให้ทันรอบถัดไป?
====
🎶 3. จะสร้าง "จังหวะที่ยั่งยืน" ได้อย่างไร?
1. ยอมรับว่า Cool Down = ส่วนหนึ่งของงาน ไม่ใช่รอยต่อ
* ผู้นำต้องจัดให้มีและปกป้องช่วงเวลานี้ ไม่ให้โดนแทรกด้วย "งานด่วน" เพราะช่วง Cool Down คือจังหวะที่ทีมได้ฟื้นพลัง และซ่อมแซมโครงสร้างที่สึกหรอจากการวิ่งมาราธอนอย่างต่อเนื่อง หากละเลยจังหวะนี้ ทีมอาจดูยุ่งอยู่ตลอดเวลา แต่กำลังเสื่อมถอยโดยไม่รู้ตัว
* ตัวอย่าง: บริษัท Basecamp ใช้โมเดล “Shape Up” โดยจัด Cool Down ระยะเวลา 2 สัปดาห์ทุก 6 สัปดาห์เพื่อให้ทีมทำสิ่งที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน เช่น refactor, ทบทวนแนวคิด และทดลองโปรเจกต์ใหม่ๆ นี่คือการบอกทีมอย่างชัดเจนว่า “การหยุดเพื่อคิด” คือ งานที่สำคัญจริงๆ
2. เปลี่ยนวิธีวัดผล จาก “เราทำได้กี่ Story Point?” เป็น “ทีมยังอยากอยู่ที่นี่ไหม?” และ “งานนี้ดีพอให้เราภูมิใจหรือยัง?”
* เปลี่ยนจากการวัด productivity อย่างเดียว มาใส่ใจกับ คุณภาพของประสบการณ์ทีมงาน ด้วยคำถามที่สะท้อนว่า “เรายังอยากทำงานร่วมกันอยู่หรือไม่?” เพราะ output ที่ดีเริ่มจาก context ที่ดี
* ตัวอย่าง: Spotify ใช้ “Squad Health Check” ทุกไตรมาส โดยไม่ดูแค่ความเร็วในการส่งงาน แต่ให้ทีมสะท้อนว่า พวกเขายังเชื่อในเป้าหมายไหม? ยังรู้สึกเป็นเจ้าของไหม? และยังรู้สึกสนุกไหม? ถ้าคำตอบเหล่านี้เป็น “ไม่” ต่อเนื่องกันหลายรอบ นั่นไม่ใช่แค่ “ปัญหาทีม” แต่คือ “สัญญาณองค์กรกำลังหลุดเส้นทาง”
3. ให้อำนาจทีมดูแลหนี้ของตัวเอง
* ให้คนในทีมจัดการ pain point ที่พวกเขารู้ดีที่สุด ไม่ต้องรอให้ผู้บริหารเข้าใจเสมอ
* ปัญหาเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในระบบ ใน flow งาน หรือใน design system ล้วนเป็น “หนี้” ที่สะสมจนถ่วงความเร็วในอนาคต ถ้ารอให้ผู้บริหารสั่ง ทีมอาจไม่มีโอกาสแก้เลย
* ตัวอย่าง: Atlassian เปิดให้ทีม dev มี “Innovation Week” เพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเองอยากแก้ โดยไม่ต้องรอคำสั่ง เช่น การ refactor library, ย้ายระบบ CI/CD, หรือการ redesign dashboard — ทำให้ลด tech debt ได้กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ภายในครึ่งปีแรก
====
📌 "ความเร็ว" ที่แท้จริง...คือความเร็วที่ไปได้ไกล
การ Sprint ทุกวัน อาจดูเร็วในระยะสั้น แต่คุณจะล้มก่อนถึงเป้าหมาย
ทีมที่ฉลาด ไม่ใช่ทีมที่ทำได้เยอะที่สุดใน Sprint แต่คือทีมที่ "ออกแบบจังหวะให้วิ่งได้นาน โดยไม่หมดแรงระหว่างทาง"
🌟 “ผู้ชนะในมาราธอนไม่ใช่คนที่ออกตัวแรงที่สุด… แต่คือคนที่รู้จักจังหวะของตัวเอง รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเร่ง…เมื่อไหร่ควรผ่อน…และเมื่อไหร่ควรหยุดพักจิบน้ำ… เพื่อจะมีแรงพอเข้าเส้นชัยได้อย่างสง่างาม”
#วันละเรื่องสองเรื่อง #SustainablePace
#CoolDownIsStrategy #TeamHealthMatters
#LeadershipRhythm #BurnoutPrevention
#DesignYourTempo
ทำงาน
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย