31 ก.ค. เวลา 05:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

"คลัง" ปรับคาดการณ์ GDP ไทยปี 68 โต 2.2% แม้เผชิญท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง

"คลัง" ปรับคาดการณ์ GDP ไทยปี 68 โต 2.2% แม้ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยง ผลกระทบภาษีทรัมป์ และความขัดแย้งทั้งภายใน-นอกประเทศ
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.2% ต่อปี จากเดิมในครั้งก่อนที่ 2.1% ในเดือน เม.ย. 68 ซึ่ง การปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยดังกล่าว สอดคล้องกับการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.0%
"คลัง" ปรับคาดการณ์ GDP ไทยปี 68 โต 2.2% แม้ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยง ผลกระทบภาษีทรัมป์ และความขัดแย้งทั้งภายใน-นอกประเทศ
รวมถึงยังสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเศรษฐกิจไทยว่า GDP ไทยปีนี้ จะโตที่ 2.0% จากเดิมที่ประเมินไว้ว่า 1.8% ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ ของประเทศคู่ค้าของไทย 15 ประเทศ เช่น สหรัฐ จีน และ ญี่ปุ่น
โดย การประมาณการเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในครั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจาก
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยคาดว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ที่ 1.2% ต่อปี จากปีก่อนหน้าที่หดตัวที่ -0.4% ต่อปี จากการฟื้นตัวของการผลิตยานยนต์และการผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์
2. การส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 5.5 % ต่อปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3 % เนื่องจากการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สูงกว่าคาดในครึ่งแรกของปี 2568
ขณะที่การส่งออกสินค้าของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่า จะชะลอตัวลงจากผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่ง สศค. คาดว่า ประเทศไทยจะได้รับข้อตกลงการผ่อนปรนภาษีนำเข้าของสหรัฐ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี และคาดว่า ไทยจะได้กรอบอัตราภาษี ต่ำสุด 15% และสูงสุดไม่เกิน 36% ใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค โดยเป็นอัตราภาษีที่ประธานาธิบดีสหรัฐได้ออกมาประกาศช่วงแรก
3.การบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการบริโภคภาคเอกชน ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.1% ต่อปี ตามกำลังซื้อในประเทศสะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บในประเทศที่ขยายตัวได้ดี โดยเติบโตติดต่อกัน 9 ไตรมาส และการลงทุนภาคเอกชน ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.0% ต่อปี ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 0.4% โดยการลงทุนมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังได้รับแรงสนับสนุนจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท
ด้านการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 3.9% ต่อปี จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และมีแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่มีส่วนช่วยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย ช่วยให้ต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจัดสรรวงเงินแล้ว 115,375 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน อย่างด้านน้ำและด้านคมนาคม ด้านการท่องเที่ยว ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ และเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ นายพรชัย ระบุว่า ด้านเสถียรภาพภายในประเทศอยู่ในระดับมั่นคง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.4% ต่อปี ขณะที่เสถียรภาพนอกประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มเกินดุล 14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.9% ของ GDP จากดุลการค้าที่เกินดุล
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ดีในครึ่งปีหลัง แต่ยังต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เนื่องจากเศรษฐกิจไทย อาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับในระยะต่อไปควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่
1.นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น
2.ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ
3.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ
4.ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน
5.การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ
ส่วนความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวบางส่วนยกเลิกการเดินทางและยกเลิกการจองที่พักนั้น ว่า กระทรวงการคลังได้ประเมินผลกระทบแล้ว พบว่า ผลกระทบยังมีอยู่จำกัด โดยจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวในชาติต่างๆ คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา
กระทรวงการคลังจึงมองว่า ผลกระทบดังกล่าวจะอยู่จำกัดในบริเวณพื้นที่ชายแดน แต่พื้นที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวยังห่างจากพื้นที่ดังกล่าวจำนวนมาก รวมทั้งเวลานี้เป็นช่วงโลวซีซั่น ซึ่งอาจส่งผลต่อการยกเลิกการจองโรงแรมและการเดินทางของนักท่องเที่ยว ซึ่งผสมกันจะนำข้อมูลด้านฤดูกาลท่องเที่ยวเข้ามาประกอบการประเมินด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลการค้าชายแดนกับกัมพูชา มีสัดส่วนเพียงกว่า 1% เท่านั้น ภาคการท่องเที่ยวของไทย พึ่งพานักท่องเที่ยวจากกัมพูชาค่อนข้างน้อย โดยแหล่งพื้นที่หลักของนักท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ที่เกิดความขัดแย้งตามแนวชายแดน ซึ่งประเมินว่าภาคการท่องเที่ยวจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ส่วนภาคการลงทุนอาจได้รับผลกระทบไม่มากเช่นกัน แต่อาจมีผลกระทบในภาคแรงงาน เพราะไทยพึ่งพาแรงงานต่างด้าว จากประเทศกัมพูชา 12% แต่มั่นใจว่าผู้ประกอบการไทย จะสามารถจัดหาแรงงานมาทดแทนได้
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/253735
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา