31 ก.ค. เวลา 11:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา กระทบส่งออกกว่า 6 หมื่นล้าน

สศอ. เผยดัชนี MPI โตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 จากปัจจัยสนับสนุนด้านยานยนต์ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ขณะที่ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา คาดกระทบมูลค่าส่งออกกว่า 6 หมื่นล้านบาท
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 97.35 ขยายตัวร้อยละ 0.58 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเดือนที่ 3 ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) อยู่ที่ร้อยละ 59.58 ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ไตรมาส 2 ปี 68 อยู่ที่ระดับ 96.75 ขยายตัวร้อยละ 1.47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเพิ่มขึ้น
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักต่อภาคการผลิต ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคุณสู้เราช่วยที่ขยายเวลาลงทะเบียน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง จากการที่ผู้ประกอบการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก่อนที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า
นอกจากนี้ นายภาสกร กล่าวอีกว่า ความไม่ชัดเจนของผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยังคงกดดันภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะเมื่อประเทศคู่แข่งทางการค้าสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯได้มากขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 68 ปรับตัวลดลง มีปัจจัยหลักจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การทะลักของสินค้าต่างประเทศ
และเงินบาทที่แข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น การบริโภคภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของสินค้าอุตสาหกรรมโดยรวม นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวมีการชะลอตัวต่อเนื่องส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่ส่งผลบวกต่อดัชนี MPI เดือนมิถุนายน 68 ได้แก่ ยานยนต์ ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และน้ำมันปาล์ม ขณะที่อุตสาหกรรมที่ส่งผลลบ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ปิโตรเลียม และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนกรกฎาคม 68 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” ซึ่งปัจจัยในประเทศชะลอตัวลงตามการลงทุนภาคเอกชนและการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางที่ปรับลดลง รวมถึงความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อที่ยังคงมีสภาวะแย่ลง ส่วนปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ ภาคการผลิต และความต้องการสินค้ายังมีความไม่แน่นอนสูง
ภาคอุตสาหกรรมไทยยังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าส่งออกหลักของไทยที่ผู้ผลิตหลักเป็น SMEs มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ อัญมณี อาหารสัตว์เลี้ยง ปลาทูน่ากระป๋อง และถุงมือยาง รัฐบาลจึงเร่งรับมือด้วยการสนับสนุนให้ใช้สินค้าไทยในประเทศผ่านมาตรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
เพิ่มแรงจูงใจให้เอกชนใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ส่งเสริมการรับรองคุณภาพสินค้า เช่น การออกใบ certificate ให้กับพลอยเจียระไนและเครื่องประดับไทย ขยายตลาดทดแทนในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ตลอดจนผลักดันสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ เครื่องประดับ Luxury Thai Brand และถุงมือยางชนิดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิมและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว
ทั้งนี้ ค่าดัชนี MPI ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 98.47 ส่วนครึ่งปีหลัง นายภาสกร ยอมรับว่า สถานการณ์ยังคงผันผวนสูง ซึ่งแนวโน้ม MPI ในเดือนกรกฎาคม อาจขยายตัวต่อเนื่องได้ยาก เพราะในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อของสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันคู่แข่งของไทยเองก็เริ่มกลับมาส่งออกได้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ สศอ. ก็มีการหารือและวางแผนการพยากรณ์ไว้เบื้องต้นแล้ว
แต่ยังต้องรอความชัดเจนจากท่าทีของสหรัฐฯว่าจะดำเนินนโยบายภาษีใหม่ในระดับใด อีกทั้งต้องรอดูว่ารัฐบาลจะมีมาตรการออกมาทดแทนผลกระทบดังกล่าวนี้อย่างไร และคาดว่าค่าเฉลี่ย MPI ทั้งปีอาจเติบโตได้ราว 0–1%
จริงๆ มีการพูดคุยกันเบื้องต้นแล้ว โดยจะมีการใช้โมเดลที่ทาง สศอ. มีอยู่ แต่ตรงนี้เองก็คงจะต้องรอดูสถานการณ์วันที่ 1 ส.ค.นี้ เพื่อดูทิศทางที่ชัดเจนก่อนว่าประเทศไทยจะโดนภาษีตอบโต้ที่เท่าไหร่ คาดว่าเดือนหน้าน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเราก็จะมีการ forecast ว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ส่งผลต่อ GDP ภาคอุตสาหกรรมเป็นเท่าไหร่ โดยมีการแยกเป็น scenario ต่างๆ
อย่างไรก็ตาม นายภาสกร ยอมรับว่า สถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ จากการปิดพื้นที่ค้าขายบริเวณชายแดน โดยมีข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ และศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่คาดว่ามูลค่าการส่งออกระหว่างไทยกับกัมพูชาจะลดลงราว 60,000 ล้านบาท หากสถานการณ์ยืดเยื้อต่อไป
รวมไปถึงกระทบระบบแรงงานกัมพูชาในไทย ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานกัมพูชาในประเทศราว 1 ล้านคน ในจำนวนนี้ 5 แสนคนมีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการเดินทางกลับประเทศ หากสถานการณ์ชายแดนยังไม่คลี่คลาย โดยกลุ่มกิจการที่อาจได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ การก่อสร้าง ค้าส่ง-ค้าปลีก เกษตร ปศุสัตว์ และแปรรูปสัตว์น้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังมั่นใจว่าสามารถหาชดเชยแรงงานจากชาติอื่นได้
แต่ภาคการท่องเที่ยว ถือว่าได้รับผลกระทบหนัก ล่าสุดมีนักท่องเที่ยวจากกัมพูชาจำนวนหนึ่งยกเลิกการเดินทางเข้าประเทศไทยแล้วราว 8,000 ราย และมีเที่ยวบินบางส่วนที่ถูกยกเลิกเนื่องจากปิดน่านฟ้า แม้ผลกระทบจะไม่รุนแรงในแง่จำนวนนักท่องเที่ยวหรือค่าใช้จ่ายต่อหัว แต่ก็สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในภูมิภาค
โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา มูลค่าการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาอยู่ที่ 174,000 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 140,000 ล้านบาท และนำเข้า 32,000 ล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้าราว 1 แสนล้านบาท ส่วนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกไปกัมพูชามูลค่า 63,000 ล้านบาท และนำเข้า 17,000 ล้านบาท
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/253765
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา