2 ส.ค. เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์

จาก “ฟูนัน” ถึง “อังกอร์ธม” ประวัติศาสตร์อาณาจักรพระนคร (ขอม) อดีตมหาอำนาจแห่งภูมิภาคอุษาคเนย์

พูดถึง “อังกอร์” ทุกคนจะนึกถึงอะไร? บางคนอาจจะนึกถึงละครหลังข่าวช่องเจ็ด บางคนอาจจะนึกถึงนครวัด หรือบางคนอาจจะนึกถึงข้อพิพาทชายแดนที่เกิดขึ้นมีกลุ่มปราสาทสมัยพระนครเป็นสมรภูมิ อังกอร์หรือพระนครนับว่าเป็นอีกหนึ่งอาณาจักรที่มีขนาดใหญ่ และมีอิทธิพลต่อภูมิภาคอุษาคเนย์ของเราเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานศิลปกรรมที่เป็นพื้นฐานและก่อให้เกิดพัฒนาการขึ้นมาจนเป็นแบบแผนในแต่ละพื้นที่
บทบาทของอาณาจักรพระนครที่มีต่ออุษาคเนย์มีมากกว่าเพียงแค่ปราสาทหิน หากแต่ยังมีในเรื่องของสังคมและความเชื่อที่ยังคงส่งต่อมาในอาณาจักรอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นมาในพื้นที่ดั้งเดิมของอาณาจักรพระนครอีกมากมาย โดยใน All About History สัปดาห์นี้จะขอพาย้อนกลับปดูเรื่องราวของอาณาจักรผู้ทรงอิทธิพลแห่งนี้กันแบบสังเขป นับตั้งยุคก่อนหน้าที่จะสร้างอาณาจักร เรื่อยมาจนถึงจุดสิ้นสุดของมหาอำนาจแห่งนี้กัน
⭐ จากฟูนันถึงเจนละ: นานาอาณาจักรในสมัยก่อนเมืองพระนคร
รากของอาณาจักรพระนคร อาณาจักรขอม หรืออาณาจักรเขมรโบราณแล้วแต่จะเรียก มีการศึกษากันว่าหยั่งลึกอยู่ตั้งแต่ครั้งอาณาจักรฟูนันซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ใกล้กับปากแม่น้ำโขง ปรากฏบันทึกตำนานเอาไว้โดยฝั่งจีนว่ามีพราหมณ์อินเดียคนหนึ่งจากกลิงคะนามว่า “เกาฑิณยะ” ได้รับหอกวิเศษของอัศวัตถามา (ตัวละครหนึ่งในมหากาพย์มหาภารตะ) และมาทำสงครามปราบเผ่านาคที่อาณาจักรแห่งนี้
ทว่าสงครามก็จบลงด้วยการเจรจาและนำมาซึ่งการวิวาห์กับพระนางโสมาและก่อตั้งอาณาจักรฟูนันขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้ฝั่งไทยเราอาจจะรู้จักกันดีในนามของตำนาน “พระทอง-นางนาค” นี่เอง
อาศรมมหาฤๅษี ศิลปะพนมดา สมัยฟูนัน ถ่ายโดย Tonbi ko เผยแพร่บน Common.Wikimedia
ปากแม่น้ำโขงนับว่าเเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงถึงว่าว่าจะเป็นที่ราบลุ่มที่น้ำท่วมถึงก็ตาม ซึ่งก็ได้ก่อร่างตั้งเป็นอาณาจักรที่มีจุดเด่นทางเศรษฐกิจอย่างการเกษตร ตลอดจนการค้าซึ่งทำให้ฟูนันรับเอาอิทธิพลจากอินเดียได้อย่างง่ายดายจากการติดต่อค้าขาย ซึ่งกล่าวกันว่าอิทธิพลทางการค้า และการเป็นมหาอำนาจทางทะเลของฟูนันนั้นแผ่ไกลไปถึงตามพรลิงก์ ซึ่งฟูนันปกครองในแถบอินโดจีนมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ จนกระทั่ง “เจนละ” ได้เข้ามา
เจนละนี้มีประวัติที่คลุมเครือ แต่สันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นมณฑลภายใต้การปกครองของฟูนันมาก่อน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณวัดพู ประเทศลาวในปัจจุบัน ภายหลังเจนละขึ้นมามีอำนาจจนได้แยกตัวออกมาจากฟูนันราวพุทธศตวรรษที่ 12 และเริ่มโจมตีฟูนันราวรัชสมัยของพระเจ้ามเหนทรวรมัน จนกระทั่งฟูนันล่มสลายจึงได้มีการย้ายเมืองหลวงมายังที่ตั้งใหม่ในอิศานปุระราวรัชสมัยพระเจ้าอิศานวรมัน
1
ปราสาทวัดพู หนึ่งในโบราณสถานเนื่องในศิลปกรรมขอมที่เก่าแก่เป็นอันดับต้น ๆ ถ่ายโดย Basile Morin เผยแพร่บน Common.Wikimedia
อย่างไรก็ดีอาณาจักรเจนละที่เคยเป็นปึกแผ่นก็เกิดการแตกออกเป็นอาณาจักรเล็กหลังการสวรรคตของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 แยกเป็นกลุ่มเจนละบกและเจนละน้ำ รบพุ่งกันไปมา กระทั่งถูกโจมตีโดยราชวงศ์ไศเลนทร์จากชวา และได้มีการอัญเชิญเจ้าชายสักคนหนึ่งของกลุ่มอาณาจักรเจนละบก-เจนละน้ำ ไปเป็นองค์ประกันอยู่ที่ชวา ซึ่งเจ้าชายพระองค์นี้เองที่จะเป็นกษัตริย์คนสำคัญในเวลาต่อมา
1
⭐ กำเนิดพระนคร: พนมกุเลนและมรดกเทวราชาจากชัยวรมันที่ 2
เจ้าชายที่ถูกเชิญไปเป็นองค์ประกันที่ชวาคราวนั้นก็คือพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 พระองค์ได้ใช้ชีวิต ศึกษา และรับอิทธิพลจากชวามามากมาย กระทั่งได้โอกาสเสด็จกลับมายังเจนละ รวบรวมอาณาจักรน้อยใหญ่ที่เคยแตกออกจากกันให้กลายเป็นปึกแผ่นเดียวกัน จากนั้นจึงสถาปนาอาณาจักร และสถาปนาตนเองเป็นเจ้าผู้ปกครอง
หนึ่งสิ่งที่พระเจ้าชัยวรมันทรงเล็งเห็นก็คือความไม่เป็นปึกแผ่นของผู้คน ซึ่งแตกต่างไปจากทางฝั่งชวาที่ประชาชนเหมือนจะดูเคารพและเชื่อฟังเจ้าผู้ปกครองเป็นอย่างมาก ซึ่งที่ชวามีโมเดลการปกครองที่สำคัญอยู่โมเดลหนึ่ง นั่นก็คือ “เทวราชา” พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 จึงได้ใช้รูปแบบการปกครองนั้นมาประยุกต์ใช้และสถาปนาพระองค์เองเป็น “อวตารของพระศิวะ” ผู้ปกครองจากบนยอดเขาไกรลาสอันศักดิ์สิทธิ์
ภาพจากจินตนาการ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 บูชาศิวลึงค์จากหนังสือ 'Splendors of the Past: Lost Cities of the Ancient World' ของ National Geographic
ซึ่งพระองค์เองได้เลือกพนมกุเลน (มเหนทรบรรพต) เป็นสถานที่ประกอบพิธีสถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นเทวราชา และตั้งเมืองหลวงแห่งแรกบนยอดเขาแห่งนั้นก่อนที่จะย้ายลงมาที่ทางทิศใต้ของพนมกุเลน ใกล้กับโตนเลสาบ อันมีชื่อว่าเมือง “หริหราลัย”
เทวราชาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 นับว่าเป็นเทวราชาที่มีอิทธิพลยาวมาจนถึงสมัยหลัง และส่งต่อให้อาณาจักรน้อยใหญ่ในสมัยหลังที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เดิมของอาณาจักรพระนครรับมาใช้ในการปกครองด้วย โดยกรอบความคิดหลักก็คือกษัตริย์เป็นอวตารของพระเจ้า ครั้นเมื่อสวรรคตก็จะกลับไปรวมกับพระเจ้าที่พระองค์นับถือ ซึ่งในแต่ละสมัยก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงต่างกันไปตามความเชื่อของกษัตริย์ อาจจะเป็นพระวิษณุก็ได้ หรือถ้ากษัตริย์นับถือพุทธก็อาจจะเปลี่ยนเป็นลัทธิพุทธราชาได้เช่นเดียวกัน
⭐ ยโศธรปุระ เกาะแกร์ พระนคร: เมืองหลวงที่ไม่เคยอยู่นิ่ง
ยุคสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ถูกกำหนดให้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างช่วงสมัยก่อนพระนครกับสมัยพระนคร ซึ่งเมืองหริหราลัยก็ยังคงเป็นเมืองหลวงกระทั่งในรัชสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ได้ทรงย้ายเมืองหลวงเขยิบขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ภูเขาพนมบาแค็ง และตั้งเป็นเมืองหลวงใหม่นามยโศธรปุระ เป็นการเริ่มต้นยุคสมัยที่เรียกว่าสมัยเมืองพระนครอย่างสมบูรณ์
ปราสาทเกาะแกร์ ภาพถ่ายของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพทิศ
หลังรัชสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาค่อนข้างมีบารมีที่อ่อนแอ ทำให้เกิดการพยายามที่จะแย่งชิงบัลลังก์โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ซึ่งได้ไปตั้งศูนย์กลางอำนาจอีกแห่งที่เกาะแกร์ และเมื่อยึดอำนาจจากหลาน ๆ ได้สำเร็จก็ได้สถาปนาให้เกาะแกร์กลายเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ขึ้นมา
อย่างไรก็ดี เกาะแกร์เป็นราชธานีที่ไม่ค่อยรุ่งเท่าไหร่นักในรัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันจึงได้ย้ายเมืองหลวงกลับมายังยโศธรปุระตามเดิม แต่ขยับออกไปนิดหน่อย แต่พอเข้าสู่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 การเมืองภายในอาณาจักรก็ไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่และเกิดการผลัดเปลี่ยนแย่งชิงอำนาจกัน ไปมาแล้วมีการเปลี่ยนราชวงศ์กันหลายครั้งกระทั่งมาสุดที่ราชวงศ์สุดท้ายอย่าง “มหิธรปุระ”
ภาพสเก็ตซ์สันนิษฐานตัวปรางค์ประธานบนปราสาทเกาะแกร์ สเก็ตซ์โดย Henri Parmentier
⭐ นครวัด พัฒนาการสูงสุดแห่งศิลปะและวัฒนธรรมขอม
เชื่อว่าคนไทยน่าจะได้คุ้นกับชื่อราชวงศ์มหิธรปุระกันจากช่วงกระแสส่งคืนโกลเด้นบอย เราเชื่อกันว่าราชวงศ์มหิธรปุระนั้นมีต้นวงศ์เป็นคนพื้นเพในแถบที่ราบสูงโคราช ประเทศไทยในปัจจุบัน สถาปนาขึ้นมาโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 แต่เชื่อว่าต้นวงศ์จริง ๆ นั้นย้อนกลับไปได้ถึงพระเจ้าภววรมันที่ 1 แห่งเจนละ โดยในวงศ์นี้มีกษัตริย์พระองค์สำคัญที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรพระนครอยู่ด้วยอย่าง “พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2”
พระสุริยวรมันที่ 2 เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของผู้สร้างนครวัด ซึ่งเป้นหนึ่งในอาคารสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ที่โด่งดังระดับโลก ซึ่งตอนที่ชาวตะวันตกค้นพบนครวัดใหม่ ๆ ก็ชื่นชมในความงามและความมหัศจรรย์ของสถานที่แห่งนี้กันมากในฐานะของศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ภาพถ่ายฟิล์มกระจกนครวัดเมื่อปี 1866
โดยนครวัดเป็นปราสาทบนฐานซ้อนชั้นที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่พระวิษณุ ซึ่งตัวของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 นับถือไวษณพนิกาย อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นพระราชสุสานของพระองค์ทำให้ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ไม่เหมือนปราสาทอื่น ๆ โดยได้ชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดของสถาปัตยกรรมขอมด้วย
ถึงแม้ว่าสุริยวรมันที่ 2 จะเป็นกษัตริย์ที่ทรงอำนาจเป็นอันดับต้น ๆ ในประวัติศาสตร์อาณาจักรพระนครจากการที่ทรงรวมรวบอาณาจักรเป็นปึกแผ่น แต่ถึงอย่างนั้นในด้านสงครามกับข้างจามปาก็นับว่าด้อยอย่างชัดเจน ทรงบุกจามปา 3 ครั้งแต่ไม่เคยชนะสักครั้งหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงแข็งแกร่งพอที่จะต้านไม่ให้จามปาตีพระนครได้ อย่างไรก็ดีพ้นสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 อาณาจักรก็อ่อนแอลงอย่างชัดเจน โดยถูกโค่นบัลลังก์โดยพระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมันผู้เป็นขุนนางชาวจีน และนำมาสู่การถูกจามปาตีแตกในท้ายที่สุด
⭐ นครธม เมืองหลวงใหม่บนเมืองหลวงเก่า และการล่มสลายของพระนคร
หลังจากพระนครถูกตีโดยจามปา ก็ทำให้พระนครตกเป็นเมืองขึ้น ก่อนที่พระโอรสของพระเจ้ายโศวรมันที่ 2 อย่างพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้รวบรวมไพร่พลและยกทัพทำสงครามกับชาวจามจนได้รับชัยและปลดแอกพระนครจากจามปาได้สำเร็จ ซึ่งพอพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงเขยิบออกมายังปราสาทบายนของพระองค์ และให้ชื่อเมืองหลวงแห่งใหม่ว่า “นครธม” อยู่ทางตอนเหนือของพระนครเดิม และได้ผนวกเอาบางส่วนของเมืองหลวงเก่าอย่างยโศธรปุระเข้าไปด้วย
ภาพสเก็ตซ์นครธม โดย Louis Delaporte นักสำรวจชาวฝรั่งเศส
ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก็ได้มีการขยายอาณาจักรของพระองค์อย่างกว้างขวาง เกิดอโรคยาศาลาไปทุกหนแห่งและเป็นหลักฐานหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน พระองค์เป็นกษัตริย์พระองค์สำคัญที่ขยายอาณาเขตของอาณาจักรพระนครออกไปกว้างขวาง ดังที่เราเห็นว่ามีปราสาทศิลปะบายนอยู่มาถึงฝั่งกาญจนบุรีอย่างปราสาทเมืองสิงห์เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี เมื่อสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บ้านเมืองก็เสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ที่ซึ่งเล่ากันว่าถูกลอบปลงพระชนม์ (พงศาวดารระบุว่าเป็นอุบัติเหตุ) โดยหัวหน้าคนสวนที่มีนามว่า “ตระซ็อกประแอม” หรือพระเจ้าแตงหวานและเกิดการตั้งวงศ์ตระซ็อกประแอมขึ้นมา
⭐ตระซ็อกประแอมมีจริงหรือแค่ตำนาน และการล่มสลายของนครธม
ประวัติของตระซ็อกประแอมที่ถูกเขียนในพงศาวดารเป็นในแนวทางของเรื่องราวที่พิสดารและมหัศจรรย์ และมีเนื้อหาที่ค่อนข้างส่งเสริมความชอบธรรมอยู่ไม่น้อย โดยเนื้อหาในพงศาวดารระบุว่าตระซ็อกประแอมเป็นบุตรของฤๅษีกับหญิงชาวกวย และได้ไปพบเม็ดแตงที่กาถ่ายเอาไว้ พอเอาไปปลูกแตงก็มีรสหวาน ครั้นกษัตริย์เสด็จมาลองเสวยเห็นว่าแตงนั้นหวานก็เลยเรียกเจ้าของแตงว่าบุรุษแตงหวาน และให้เฝ้าสวนแตงไว้เพื่อเอาแตงมาขายแก่ตัวกษัตริย์เอง ทว่าวันหนึ่งกษัตริย์กลับคึกแอบเข้าไปลักแตงยามดึกจึงโดนบุรุษแตงหวานซัดหอกใส่จนสิ้นพระชนม์
1
เนื้อหาในพงศาวดารที่เกี่ยวข้องกับตระซ็อกประแอมปรากฏเพียงแค่ 2 จาก 7 ฉบับเท่านั้นเอง อีกทั้งนักวิชาการบางส่วนยังมองว่าเนื้อหาของตระซ็อกประแอมเป็นเพียงแค่เรื่องราวที่แต่งขึ้นมาและไม่มีตัวตนจริงเพราะว่าไม่มีหลักฐานอื่น ๆ ที่ร่วมสมัยกันมาสนับสนุนการมีตัวตนของพระเจ้าแตงหวาน
ประเด็นของพระเจ้าแตงหวานค่อนข้างเป็นประเด็นที่มีการศึกษาและตีความกันกว้างขวาง โดยแนวคิดใหญ่ ๆ ก็คือแนวคิดของการโค่นล่มอำนาจที่มีการเตรียมการมาดี มากกว่าที่จะเป็นเพียงแค่เรื่องของอุบัติเหตุดังในพระราชพงศาวดารว่าเอาไว้ ซึ่งแนวคิดที่มองว่าการเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์มหิธรปุระมายังราชวงศ์ตระซ็อกประแอมเป็นการปฏิวัติ มีพื้นฐานมาจากคำบอกเล่าของโจวต้ากวานว่าในพระนครในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 3 มีสัดส่วนทาสมากกว่านายทาส และตีความว่าสภาพสังคมดังกล่าวทำให้ทาสกล้าที่จะปฏิวัติและล้มล้างกลุ่มอำนาจเดิมไป
ตัวตนของพระเจ้าแตงหวานยังคงเป็นเรื่องที่ยังมีการถกเถียงอยู่ว่า มีจริง หรือแค่นิทานกันแน่ แล้วถ้ามีจริงก็คงจะไม่ได้มีประวัติเหมือนดังที่ปรากฏในพงศาวดารซึ่งถูกเขียนขึ้นมาในลักษณะของตำนานที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นแน่ ด้วยความที่มีลูกหลานสืบต่อมา ทำให้บางส่วนมองว่าพระบาทสมเด็จพระศรีสุริโยพันธุ์ที่ 1 ที่ถูกเรียกว่าพระเจ้าแตงหวานนั้น น่าจะเป็นคนละคนกับแตงหวานในพระราชพงศาวดารด้วย
ราชวงศ์ตระซ็อกประแอมปกครองนครธมเรื่อยมา และร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยา ซึ่งกรุงศรีอยุธยาที่ปลดแอกจากอาณาจักรพระนครได้ก็พยายามที่จะโจมตีอาณาจักรพระนครกลับจนประสบความสำเร็จในรัชสมัยของเจ้าสามพระยาที่ตีนครธมจนแตกพ่าย ทำให้เจ้าพระยาญาติต้องระหกระเหินย้ายไปตั้งเมืองใหม่อยู่ที่จตุมุข หรือพนมเปญในปัจจุบันนี่เอง…
จาก “ฟูนัน” ถึง “อังกอร์ธม” เราได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงภายในอาณาจักรที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจของภูมิภาค และมีส่วนสำคัญในการเผยแผ่อิทธิพลทางความเชื่อ ศาสนา และศิลปกรรมไปในพื้นที่ต่าง ๆ ได้
จากตำนานเรื่องของพระทอง-นางนาค เราได้เห็นถึงรากของอาณาจักรที่เต็มไปด้วยความเชื่อทางศาสนาที่ยึดโยงกับการเข้ามาของภารตวิวัฒน์ เกาฑิณยะอาจจะเป็นตัวแทนของอารยธรรมอินเดียที่เข้ามาผสมกับพระนางโสมาอันเป็นตัวแทนของชนพื้นเมือง ก่อนให้เกิดเป็นรัฐที่มีความสำคัญ และส่งอิทธิพลสืบมาในอาณาจักรน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้
จากฟูนันสู่เจนละ จากเจนละสู่พระนคร และจากพระนครสู่นครธม หลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นจารึกหรือปราสาทหินที่ข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนานก็ล้วนแต่เป็นร่องรอยที่ตอกย้ำถึงการมีอยู่ของอาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ที่หายสาบสูญและล่มสลายไปตามกาลเวลา
ภาพประกอบ : บริษัท ก่อการดี จำกัด
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
#ประวัติศาสตร์ #ไทย #ขอม #เขมร #กัมพูชา #Bnomics #BBL #BangkokBank #ธนาคารกรุงเทพ
อ้างอิง:
กรมศิลปากร. “ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 71,” D-Library | National Library of Thailand, เข้าถึงได้จาก http://digital.nlt.go.th/dlib/items/show/6541
เชษฐื ติงสัญชลี. “ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”. พิมพ์ครั้งที่ 3, นนทบุรี: มิวเซียมเพรส. 2560.
แชนด์เลอร์, เดวิด พี., ค.ศ. 1933- (2546). ประวัติศาสตร์กัมพูชา. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. เข้าถึงได้จาก https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:26582
Kumar, A. (2023). e Devaraja Cult of Kampuchea: A Dierent type of Tantric Shaiva Cult. Journal of History, Archaeology and Architecture, 2: 2, pp. 189-196.
Cœdès, George. The making of South East Asia. University of California Press, 1966. Available from https://archive.org/details/makingofsoutheas0000unse/page/n5/mode/2up
Walker, Benjamin. Angkor Empire: A History of the Khmer of Cambodia, Signet Press, Calcutta, 1995. Available from
โฆษณา