31 ก.ค. เวลา 18:12 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

สิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า Nanmadol นั้น ตั้งอยู่ในอาณาเขตของทวีปเลมูเรีย มิใช่อยู่ในทวีปมูแต่อย่างใด

(5.0)
ตามปกติธรรมดาแล้ว พลเมืองมักจะรักและเทิดทูนบูชาพระมหากษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถ และ"ทรงมีคุณธรรมและทศพิธราชธรรม"เสมอๆ นี่เป็นสิ่งธรรมดาๆของโลก
ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่แต่เพียงพระมหากษัตริย์เท่านั้น เหล่าผู้นำต่างๆก็เป็นไปอย่างเดียวกัน พระมหากษัตริย์ที่ดีและไม่รังแกประชาชน ก็จะมีประชาชนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระองค์มากมาย และแต่ไหนแต่ไรมา เป็นที่พึ่งของโลก แต่ไม่ใช่ทำให้โลกแตกแยก
Nan Madol เมืองบนทะเลสาบ
ถ้าพูดถึงบรรดาชาวเกาะในประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิก หลายคนคงจะคิดถึงผู้คนที่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนคนป่ายุคก่อน ไม่ได้มีการสร้างบ้านเมืองที่ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนอย่างที่อื่น แต่ความจริงแล้ว พวกเขาก็ได้สร้างผลงานการก่อสร้างที่สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับผู้พบเห็นอยู่หลายแห่งเช่นกัน
นาน มาดอล (Nan Madol) เป็นชื่อของแหล่งโบราณสถานแห่งหนึ่งบนเกาะโปนเป (Pohnpei) (แต่ในแผนที่ลวงๆของบักเจมส์ นั้นพอยเพต์ไปอยู่ที่นั้น เช่นนี้ไม่อายชาวไมโครนีเซียเค้าหรือ? )กอรปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อย 92เกาะ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสหพันธรัฐไมโครนีเซีย (Federated States of Micronesia) อยู่ห่างจากชายฝั่งของเกาะนิวกินีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 2000 กิโลเมตร
เกาะพอยเพต์ บริเวณไมโครนีเซีย ใกล้ๆกับฟิลิปปินส์ เป็นที่ตั้งของนันมาดอล แต่ไม่ใช่อยู่ตรงปลายติ่งของทวีปมูของบักเจมส์ ในอีกฟากหนึ่งบนแผนที่ของเขา
ความพิเศษของนาน มาดอล ก็คือ มันเป็นเมืองที่สร้างขึ้นบนทะเลสาบ (Lagoon) โดยตัวเมืองแห่งนี้ประกอบด้วยเกาะเทียม (Artificial Island) ขนาดเล็กที่สร้างยื่นลงไปในชายฝั่งด้านตะวันออกของตัวเกาะเดิมนับร้อยเกาะ
เกาะเหล่านี้สร้างขึ้นโดยใช้หินบะซอลต์จำนวนมหาศาล ถมลงบนชายฝั่งน้ำตื้นจนกระทั่งโผล่ขึ้นเหนือระดับน้ำ ทำให้ดูเหมือนเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนน้ำ คล้ายกับเมืองเวนิซในอิตาลี ชื่อเรียก “นาน มาดอล” ก็เป็นภาษาพื้นเมือง แปลว่า “ที่ว่างระหว่างวัตถุ” (In the space between things) ตัวกลุ่มของเกาะทั้งหมดเรียงกันอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีการก่อกำแพงล้อมรอบ ขนาดประมาณ 0.5x1.5 กิโลเมตร
ตามตำนานของชาวเกาะ เล่ากันว่าผู้สร้างเมืองแห่งนี้คือพ่อมดฝาแฝด Olisihpa และ Olosohpa ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นแท่นสำหรับสักการะเทพเจ้าแห่งการเกษตร ในขณะเดียวกัน
คุณทราบไหมว่า? กรรมวิธีที่พี่น้องฝาแฝดที่ชื่อ โอลิชิป้า และโอโลโซป้า พี่น้องที่มีร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์กว่ามนุษย์ธรรมดาที่อยู่บนเกาะ พวกเขาใช้กรรมวิธีสร้างสิ่งก่อสร้างหินบะซอลต์ขนาดใหญ่ แบบเดียวกับท้อตทำกับปิรามิดคุฟูที่อียิปต์ และตลอดจนปิรามิดอื่นด้วยทั่วทั้งอียิปต์
หมู่เกาะลอยน้ำที่ลอยอยู่เหนือแนวปะการัง สร้างเป็นสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า Nanmadol ขึ้นอย่างซับซ้อน มันจมอยู่ใต้น้ำ และประกอบด้วยเกาะเกือบร้อยเกาะ จนได้รับการขนานนามว่า เป็น1/8สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
แน่นอนว่า สองพี่น้องนี้เดินทางล่องเรือมาจากเลมูเรีย หรือกุมารี กันดั้ม บริเวณเอเชียใต้ และก็อาจมีบางกลุ่มที่มาก่อนหน้าพวกเขา อาจจะใช้วิธีการเดินเท้าเข้ามา จนกระทั่งถึงฟิลิปปินส์และหมู่เกาะไมโครนีเซียที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอินเดีย
จุดประสงค์ในการสร้างนันมาดอล นอกจากจะเกี่ยวกับการเมืองการปกครองแล้ว (ก่อนที่ทั้งสองจะตั้งตนเป็นกษัตริย์ปกครองคนในเกาะ คือ ตั้งราชวงศ์ซาเดอลัวร์ขึ้นมา )ยังสร้างขึ้นมาเพื่อรอการประสูติกาลของพระพุทธเจ้าเพื่อที่จะมายังศาสนาพุทธให้บังเกิดขึ้นในโลกนี้ด้วยในอนาคตกาล
นันมาดอล สิ่งก่อสร้างที่ทำจากหินบะซอลต์ขนาดยักษ์ โดยพวกที่เดินทางมาจากเลมูเรีย เพื่อรอคอยการบังเกิดขึ้นของศาสนาพุทธ และพระพุทธเจ้า
คุณผู้อ่านไม่สงสัย และฉุกคิดหรือว่า ทำไมสองพี่น้องนี้จึงไม่ไปสร้าง นันมาดอล บนทวีปเลมูเรีย ที่อยู่ในอินเดียใต้นั่น แต่อุส่าห์นั่งเรือรอนแรมมาตั้งไกล มาสร้าง นันมาดอลในทิศทางนี้????
พวกเขาสร้างเพื่อรอคอยการประสูติของพระพุทธเจ้า และก็เชื่อโดยญาณสมาธิของพวกเขาล่วงหน้าว่าในอนาคตกาล พระองค์และศาสนาของพระองค์จะมาอยู่บริเวณนี้ มาประดิษฐาน ณ ที่บริเวณนี้ เป็นสำคัญ
กรรมวิธีในการก่อสร้างที่เป็นหินขนาดใหญ่แบบนี้ ว่ากันว่าจะใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงแบบอะคูสติก จนคล้ายๆกับเวทย์มนตร์คาถาของพวกพ่อมดหมอผีโบราณใช้กัน ทำการเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่จากภูเขาบนโลก (หรืออาจจะมีที่อื่นบ้างก็ไม่รู้นะ)มาสร้างเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ คลื่นเสียงนั้นๆ ก็มีความถี่สูงมาก จนหูปกติของมนุษย์มิอาจรับรู้ได้
ธ้อตเองที่ได้อพยพไปอียิปต์ ก็สอนชาวอียิปต์ให้สร้างปิรามิด ด้วยการใช้ความถี่เสียงสูงมากๆแบบนี้เช่นเดียวกัน เคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ไปสร้างเป็นปิรามิด และถ้าหากเราไปดูประวัติการสร้างสิ่งก่อสร้างด้วยหินขนาดใหญ่แบบนี้ทั่วโลก ไม่ว่าที่อเมริกาใต้ เอเชียกลาง หรือสโตนเฮนจ์ อังกฤษ ก็พบว่ามักจะมีมาก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นเกือบทั้งนั้น
ฝรั่งที่มาพบเมืองนี้ในคราวแรกในช่วงศตวรรษที่ 19 คือดาวิด ชิลเดร้นท์ ก็ยังไม่เชื่อตามเคยว่าเป็นผลงานชาวพื้นเมือง จนมีการตั้งทฤษฎีว่าเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเลมูเรีย (Lemuria) หรือมู (Mu) ในอดีตบ้าง หรือบางคนก็บอกว่าเป็นผลงานของนักเดินเรือชาวกรีกโบราณเมื่อกว่า 300 ปีก่อนคริสตกาลบ้าง (มโนได้สุดยอดจนต้องเรียกว่า คิดได้ไง เพราะกรีกกับไมโครนีเซียอยู่ห่างกันตั้งเกือบครึ่งโลกออกอย่างนั้น)
แต่จากการศึกษาทางโบราณคดีเชื่อว่า เมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่ 12-13 เพื่อใช้เป็นพระราชวังและสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของราชวงศ์เซาเดอลัวร์ (Saudeleur)
ซึ่งปกครองเกาะแห่งนี้ โดยหินที่ใช้ก่อสร้างนำมาจากอีกฝั่งหนึ่งของเกาะที่อยู่ห่างออกไปราว 40 กิโลเมตร มีการคำนวณกันว่า
ไมโครนีเซีย อันเป็นที่ตั้งของนันมาดอล ที่เป็นหายนะของผู้กล้าล่วงล้ำเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นJohn Kubary หรือ Victer Birg
หินที่ใช้ในการก่อสร้างเมืองนั้นมีน้ำหนักรวมกันมากกว่า 7.5 แสนตัน ซึ่งถ้าคิดว่าต้องใช้เวลาก่อสร้าง 400 ปี เท่ากับว่าแต่ละปีจะต้องมีการขนย้ายก้อนหินมากกว่า 1850 ตันเลยทีเดียว และเมื่อประกอบกับว่าประชากรบนเกาะนี้ที่ประมาณกันว่าแม้แต่ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด ก็น่าจะมีประมาณ 2.5-3 หมื่นคนเท่านั้น ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลงานที่น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่งของโลกเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ประมาณปี 1628 เมืองแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างไป ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากการขาดแคลนอาหารและน้ำ หรืออาจจะเกิดจากการที่ราชวงศ์เซาเดอลัวร์พ่ายแพ้ต่อไอโสเกเลเกอี (Isokelekel) ทำให้ผู้คนอพยพหลบหนีจากเมืองไป
คุณลองสังเกตเรื่องราวความเป็นมาในอดีตของ Nanmadol ที่ไมโครนีเซีย วิญญาณที่นั่นมักจะไม่ต้อนรับพวกฝรั่งและคนต่างถิ่นที่เข้ามายุ่มย่ามใน Nanmadolนัก หรือแม้กระทั่งในปัจจุบันก็ตาม พวกเขาจะกลับออกไปอย่างไม่มีความสุข และหลายรายก็เสียชีวิตลงอย่างน่ากลัวและสยดสยอง
มีการค้นพบโลงศพทองคำขาวขนาดใหญ่ บนพื้นมหาสมุทร เมื่อได้มีการนำขึ้นมาจากน้ำ (คาดว่า จะเป็นพวกทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ได้เข้ามายังไมโครนีเซียเป็นผู้ค้นพบ )พวกเขาค้นพบโครงกระดูกขนาดใหญ่ยักษ์ บรรจุอยู่ในโลงศพทองคำขาว
ความเป็นไปได้ถึงการมีอยู่ของยักษ์ในอดีต ที่เดินทางมาจากบริเวณอินเดียใต้ โดยการล่องเรือและเดินเท้าเข้ามา
พวกที่เข้ามายุ่มย่ามมักจะมีอันเป็นไปทั้งสิ้น และ อย่างสยดสยองทุกราย แม้กระทั่งพวกยักษ์ที่นันมาดอล ก็ยังมีหลักการคิดและนิสัยอย่างพระพุทธเจ้าเรา คือรังเกียจพวกต่างถิ่นที่มารังแกชนพื้นเมือง แล้วจะไม่ให้เห็นได้อย่างไรว่า พวกเขาสร้าง นันมาดอล เพื่อรอการประสูติกาลของพระพุทธเจ้าและศาสนาพุทธของเราในอนาคต
พวกเขาไม่ต้อนรับคนนอกที่เข้ามายุ่มย่ามใน Nanmadol ชาวบ้านบนเกาะเล่าลือกันว่าที่นั่นมีวิญญาณที่สิงสถิตคุ้มครอง Nanmadol และคนบนเกาะ วิญญาณเหล่านั้นแรกๆ ก็คือกลุ่มยักษ์ที่ได้มาเกาะใหม่ๆที่ได้เสียชีวิตลงที่นี่ พวกเขาก็กลายมาเป็นเหล่าวิญญาณที่สิงสถิตที่นันมาดอลนี่เอง เพื่อจะปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยไม่ให้คนนอกมากร้ำกรายหรือขโมยสมบัติที่นันมาดอลไป
ไม่เพียงสมบัติโบราณต่างๆจะอยู่ที่นันมาดอลเท่านั้น ที่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น เราอาจจะพบบรรดาไข่มุก แท่งเงิน และโลหะอื่นๆมีค่ามากมาย ตลอดจนสมบัติอื่นๆอยู่ใต้มหาสมุทรนั้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีพ่อค้าชาวจีนและนักประดาน้ำจำนวนมากต่างพากันมางมน้ำเสาะแสวงหาพวกมันกัน
ในปีค.ศ. 1939 นักประพันธ์และนักสำรวจชื่อ เฮอร์เบิร์ต ริตทิงเก้อร์ ซึ่งเคยไปเยือน นันมาดอล ขณะอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เขียนหนังสือของเขา ตามรายงานของเฮอร์เบิร์ต การค้นพบนอกชายฝั่งของ นันมาดอล ไปไกลกว่าโลงศพทองคำขาว
ซี่งรายงานของเขาบรรยายว่าใต้มหาสมุทร เต็มไปด้วยความเจิดจรัสและงดงามของอาณาจักรที่เลื่องลือ ซึ่งเคยดำรงที่นั่นเมื่อหลายพันปีที่แล้ว
มีรายงานความมั่งคั่งอันเหลือเชื่อใต้มหาสมุทร ที่นักประดาน้ำพ่อค้าไข่มุกไม่พบ แต่พบโดยชาวญี่ปุ่นด้วยอุปกรณ์ไฮเทค พวกเขายืนยันการค้นพบเช่นเดียวกับตำนานดั้งเดิมของพอยเพต์
ช่วงทศวรรษ 1970-1980 นักโบราณคดีแอบสังเกตเห็น เครือข่ายอุโมงค์และถ้ำที่กว้างขวาง ใต้ นันมาดอล ที่ทอดออกไปสู่มหาสมุทร นักประดาน้ำทีมหนึ่งติดตามเครือข่ายนี้ ไปจนถึงกลุ่มเสาหิน และโครงสร้างที่อยู่ใต้น้ำประมาณ100ฟุต
โดยสันนิษฐานว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ซากปรักหักพังของเครือข่ายขนาดใหญ่ ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีการดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ ว่าสิ่งข้างใต้มหาสมุทรนั่นคือสิ่งใด อาจมีอาณาจักรอื่นที่จมอยู่ใต้น้ำหรือไม่?และใครสร้าง?
มันมาจากไหน? ตามประวัติศาสตร์ปากเปล่าและเรื่องเล่าของคนในท้องถิ่น ว่าหินยักษ์บะซอลต์เหล่านั้น ที่ถูกใช้สร้าง นันมาดอล นั้นดูเหมือนจะถูกดึงออกมาจากส่วนที่เข้าถึงได้น้อยที่สุดของภูเขา นั่นคือ ส่วนสูงสุด และหินบะซอลต์เหล่านี้ ถูกยึดครองโดยสิ่งที่เรียกว่า ไก่ยักษ์
และไก่ยักษ์เหล่านี้ บินเอาหินบะซอลต์คาบไปยังทิศทางที่สร้างนันมาดอล *ตำนานเล่าเรื่องมันเริ่มจากมีกลุ่มนักเดินทางกลุ่มแรกที่เดินทางมาจากเลมูเรีย ประกอบด้วยชาย7คนและหญิง9คน โดยสารทางเรือมาจากมหาสมุทรแปซิฟิค เพื่อจะมองหาบ้านใหม่ พวกเขาถูกลวงโดยหมึกยักษ์ให้มาหาบ้านใหม่ยังทิศทางนี้
หมึกยักษ์พูดได้ ผู้ลวงนักเดินทางกลุ่มแรกที่เดินทางมาจากทวีปเลมูเรีย มาสู่เกาพอยเพต์ อันไม่มีอะไรเลยในตอนแรกๆ
ที่พบอยู่กลางมหาสมุทรชี้นำทิศทางให้มายังไมโครนีเซีย และเมื่อพวกเขามาถึง ก็พบว่าเกาะนั้น ก็มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าเรือแคนู โชคดีที่พวกเขามีพลังเวทย์มนตร์ จึงได้เรียกส่วนที่เหลือให้พ้นขึ้นมาจากเกาะ และตั้งชื่อว่า เกาะพอยเพต์ แปลว่า แท่นที่บูชา ซึ่งพวกเขาได้สร้างแท่นบูชาไว้ที่ตรงกลาง
ในเวลาต่อมาเกือบศตวรรษ ก็มีนักเดินทางอีกห้ากลุ่มเดินทางเข้ามา พร้อมด้วยความรู้เกี่ยวกับเวทย์อันมหัศจรรย์ จนกระทั่งกลุ่มสุดท้าย กลุ่มที่เจ็ด อันประกอบด้วยสองพี่น้องยักษ์ที่มีเวทย์มนตร์ที่ทรงพลังมากที่สุด โอโลโซป้า และโอลิชิป้า ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ซานโตเลวูขึ้นมาภายหลัง
ชาวต่างชาติรายหนึ่งในปี 1870 เป็นนักมานุษยวิทยา นักสะสมของเก่า และนักสำรวจ ชื่อ Jonn Kubary ไม่แน่ใจว่า เขาคือชาวสเปน หรือ อยู่ในทวีปอเมริกากันแน่ เขาได้ทำงานกับบริษัทการค้า และถูกส่งมาทำงานโดยเรือขนาดใหญ่ เขาตื่นเต้นมาก เมื่อมาพบกับเกาะพอยเพต์ แต่เมื่อเขากับลูกน้องกล้าเข้าล่วง
ไปขโมยกระดูก ของเก่า และ ของมีค่าต่างๆที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในสุสานหลวง อันมีซากโครงกระดูกยักษ์ใหญ่ของสองพี่น้องอยู่ เขาก็พบชะตากรรมอันโหดร้าย เมื่อ จอห์น คูบารี่ เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน ระหว่างทาง เรือสำเภาที่โดยสารมา ก็เกิดล่มลงกลางมหาสมุทร ทิ้งของมีค่าต่างๆ ที่เขาอุส่าห์เอามา
จากสุสานหลวงหายไปกับท้องทะเลหมดสิ้น ไม่นาน เขาก็ถูกเลิกจ้างจากบริษัทการค้านั้น และเมื่อกลับมาแต่งงาน และได้ให้กำเนิดลูกทั้งสองคน ซึ่งก็ตายเสียทั้งสองคนตั้งแต่ยังเล็กๆ แม้เขาลงทุนทำสวนมะพร้าว ก็ถูกแมลงกัดกิน และถูกถล่มด้วยเฮอริเคน เขาอดทนทำสวนใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
สวนมะพร้าวของ Jonh Kubary แม้จะปลูกขึ้นมาใหม่อีกเป็นครั้งที่สอง เขาก็ไม่อาจทนคำสาปแช่งที่นันมาดอลได้ และต้องจบชีวิตตนเองลงในปี1869 หลังจากมายุ่มย่ามในนันมาดอล ที่เกาะพอยเพต์
และได้งานใหม่กับบริษัทการค้าใหม่ และส่งเขาไปทำงานที่โน่นที่นี่บ้างเรื่อยๆ แต่ในปี 1895 Jonn Kubary บาทหลวงชาวสเปนก็ได้ทำการก่อกบฎ แล้วเลยเข้ามาเผาสวนของเขาเสียจนหมดเกลี้ยง จนเขากลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวในเวลาต่อมา เขาจบชีวิตของตนเองลงในปี 1896 และหลายคนเชื่อว่า นี่คือผลลัพธ์ที่เขา
ก้าวเข้ามาล่วงล้ำใน นันมาดอลครั้งนั้น
คุณผู้อ่านจะเห็นว่าชาวต่างชาติท่านนี้ มีชะตากรรมที่อเนจอนาถเพียงไร หลังจากเขากับพรรคพวกได้เข้ามาขโมยสมบัติ ของมีค่า ในสุสานหลวงที่นันมาดอล คุณจะสังเกตชื่อของเขาและนามสกุล ขึ้นต้นด้วย J และนามสกุลก็เป็น K คล้ายกับ เจอร์เกนส คล้อป อดีตกุนซือลิเวอร์พูลไหม?
อ่านออกเสียงคล้าย ลี่ = ลิเวอร์พูลไหม?? นี่ล่ะ ที่เรียกว่าโชคชะตาล่ะ มันถูกกำหนดเอาไว้นานแล้ว
ตั้งแต่มีทวีปเลมูเรียขึ้นมาบนโลกนี้ ผู้คนบนทวีปแห่งนั้นพวกเขาเดินทางมาที่เกาะพอยเพต์นี้ และจุดประสงค์หนึ่งที่สำคัญที่สร้างนันมาดอล ขึ้นมาก็เพื่อรอคอยพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาที่จะมาประดิษฐานอยู่บริเวณนี้ นั่นเอง
เอาอีกสักหนึ่งตัวอย่างที่นิสัยไม่ดี เข้ามายุ่มย่ามกับของในนันมาดอล
วิคเตอร์ เบิร์ก ผู้การรัฐชาวเยอรมัน ซึ่งก็จบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ และสยดสยอง เมื่อเข้ามายุ่มย่ามและขโมยทรัพย์สมบัติของนันมาดอล ในปี 1907 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 นึกถึงสิ่งใด กับชื่อของเขา ??ลิเวอร์พูลกับแมรี่ แม้กดาลีน ใช่ไหม ?? นี่ล่ะ ที่เรียกว่า สิ่งถูกกำหนดไว้มานานแล้ว ตั้งแต่มีสมัยทวีปเลมูเรีย และตลอดไปนับจากนี้ด้วย
ในปัจจุบัน เราก็จะพบข่าวการค้นพบโครงกระดูกของพวกยักษ์ที่นั่นที่นี่ ทั่วโลก อยู่เสมอๆ เช่น ตำนานยักษ์เนฟิลินในไบเบิล โครงกระดูกยักษ์ที่อเมริกา แอฟริกา ป่าอแมซอน ในเอเชีย เป็นต้น
ผู้อ่านบทความข่าวนี้ พึงอ่านและบอกต่อๆกันด้วยนะ ถึงแผนการ์ณที่ซอกซ้อนอยู่ของกลุ่มคนปริศนา ที่ต้องการเค้ากำลังใช้แผนซ้อน โดยการเสี้ยมให้นักข่าวว่าผู้เขียนเป็นตัวสาเหตุหลักในสงครามชายแดนขณะนี้ นั่นคือ ให้เกลียดชังในตัวผู้เขียนให้มากก่อนจะออกไป นอกจากแผนซ้อนหนึ่งคือ ซิตี้ นั่นเอง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้เขียนก็คุยกับคนที่อยู่รอบๆแถวนี้บ้างนะ ผู้อ่านก็สังเกตเห็นอยู่ แต่ก็ไม่เคยบอกตรงๆให้ผู้เขียนไปบวชสักที แล้วพอคุยเสร็จ ก็มานั่งทำธุรกิจลิเวอร์พูลต่อ ธุรกิจพรีเมียร์ต่อ มีไอ้ริวแตดกับนักพลังจิตที่ต่อแต่มซื้อไว้แทรกร่าง ไม่ไปไหนสักที ส่วนแต่มก็คอยดู เก็บผลประโยชน์จากข่าวสารไปเรื่อยๆมาเรียงๆ พอๆกะริวแตดเลย แข่งกันว่างั้น
ริวแตดและนักพลังพวกนี้ที่อยู่กะผู้เขียน พวกมันเองก็มีความกระหาย อยากให้ซิตี้ได้แชมป์มาเรื่อยๆเสมอ โดยเฉพาะริวแตดนี่ เค้าจะซิตี้มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นี่พวกนี้ก็น่าจะดีใจอยู่ไม่น้อย ที่หวยออกมาเป็นซิตี้ปีนี้ ส่วนอ.เรนนี่ก็ชังแม่ของผู้เขียนมาก หาว่าไม่ดีเช่นนั้น เช่นนี้ เพราะตัวเธอเองเป็นคนโคราชเหมือนกับพ่อของผู้เขียน
เป็นซะงั้นไปหรือ เหตุผลนี้ นักพลังจิตฝ่ายปกครองนี่น่าจะเริ่มมีมาแต่สมัยร.สี่ ผู้เขียนว่า สมัยถัดขึ้นไปนี่คงจะไม่พบแบบนี้แน่
* ผู้เขียน พิจารณาว่า เป็นแค่เพียงในตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น กับให้กลุ่มนักเดินทางเหล่านั้น เดินทางออกจากเลมูเรีย มายังไมโครนีเซีย ด้วยวิธีการโดยสารมากับเรือ เพื่อให้ชาวเกาะที่อาศัยอยู่ท่ามกลางทะเล เชื่อถือในตำนานปรัมปรานี้ยิ่งขึ้น ในความเป็นจริง จะต้องมีวิธีการเดินเท้าเข้ามายังบริเวณนี้ด้วยแน่ๆ ผ่านทางเชื่อมแคบๆนั้นมาแถวๆฟิลิปปินส์
ขอขอบพระคุณข้อมูล อ้างอิงจาก
โฆษณา