1 ส.ค. เวลา 13:09 • ธุรกิจ

เกิดอะไรขึ้นกับ ACER? อวสานของกลยุทธ์ราคาถูก จากรองแชมป์โลก สู่แบรนด์ที่ถูกลืม

ถ้าใครทันยุคที่คอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราช่วงปลายยุค 90 ต่อเนื่องถึง 2000 คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ ACER แบรนด์คอมพิวเตอร์จากไต้หวันที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่จนเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ในใจของใครหลายคน
หลายบ้านมีคอมพิวเตอร์เครื่องแรกเป็นของ ACER หลายโรงเรียนมีห้องคอมพิวเตอร์ที่เรียงรายไปด้วยเครื่องหมายการค้าสีเขียวนี้ พวกเขาคือสัญลักษณ์ของเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ และเป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญที่ผลักดันให้โลกเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
ความสำเร็จของ ACER ในช่วงเวลานั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยครับ ในปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่รุ่งเรืองที่สุด พวกเขาสามารถครองส่วนแบ่งตลาดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกได้สูงถึง 13% นั่นหมายความว่า ในทุกๆ คอมพิวเตอร์ 100 เครื่องที่ขายได้ จะมี 13 เครื่องเป็นของ ACER
ตัวเลขนี้ส่งให้พวกเขากลายเป็นแบรนด์คอมพิวเตอร์ที่มียอดขายสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่ยักษ์ใหญ่อย่าง HP เท่านั้น และทิ้งห่างคู่แข่งรายอื่นๆ อย่างชัดเจน
แต่แล้ว… เวลาก็ได้พิสูจน์สัจธรรมที่ว่า ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป จากแบรนด์ที่เคยเป็นรองแชมป์โลก วันนี้ ACER กลับค่อยๆ เลือนหายไปจากความสนใจของผู้คน ส่วนแบ่งการตลาดลดลงกว่าครึ่ง และหลุดจาก 5 อันดับแรกของโลกไปอย่างน่าใจหาย
เกิดอะไรขึ้นกับยักษ์ใหญ่จากไต้หวันรายนี้? เรื่องราวของ ACER คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง มันคือบทเรียนของการขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยสูตรสำเร็จที่สมบูรณ์แบบในยุคของตน แต่กลับถูกโค่นลงมาอย่างเจ็บปวด เมื่อโลกหมุนไปข้างหน้า และสูตรสำเร็จเดิมๆ ก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป
เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในปี 1976 ที่ไต้หวัน ชายที่ชื่อว่า Stan Shih วิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ผู้มีความฝัน ได้ร่วมมือกับภรรยาและเพื่อนอีก 5 คน ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า Multitech International ขึ้นมา
ในช่วงแรก พวกเขาเป็นเพียงบริษัทที่ปรึกษาและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็มาถึง เมื่อพวกเขาได้เห็นการมาถึงของคอมพิวเตอร์ Apple II ที่เปลี่ยนโลก
ทีมงาน Multitech ทึ่งมากกับวิธีที่ Apple สามารถทำให้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนดูเป็นมิตรและเข้าถึงคนทั่วไปได้ พวกเขาจึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง
คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของพวกเขาที่ชื่อว่า Micro-Professor ถือเป็นผลงานที่น่าจดจำ ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใครในยุคนั้น และมันก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
แต่หลังจากความสำเร็จครั้งแรก ดูเหมือนว่า Multitech จะค้นพบทางลัดที่ง่ายและได้ผลเร็วกว่านั้น นั่นคือการเป็น “ผู้ตาม” ที่เก่งกาจ พวกเขาเริ่มสร้างคอมพิวเตอร์รุ่นต่อๆ มาโดยถอดแบบจากผู้นำตลาดอย่าง Apple และ IBM อย่างโจ่งแจ้ง
กลยุทธ์นี้อาจดูไม่น่าภูมิใจนัก แต่ต้องยอมรับว่ามัน “เวิร์ค” มากในยุคสมัยนั้น เพราะสิ่งที่ Multitech ทำได้ดีกว่าต้นฉบับอย่างเห็นได้ชัดก็คือ “ราคา” ที่ถูกกว่ากันเกินครึ่ง
ในปี 1987 พวกเขาก็ได้รีแบรนด์ตัวเองใหม่ในชื่อที่เราคุ้นเคยกันดี… ACER และเดินหน้าบุกตลาดโลกด้วยจุดขายที่ตรงไปตรงมาและทรงพลังที่สุด นั่นคือ “เราผลิตคอมพิวเตอร์สเปกเดียวกันกับแบรนด์ดัง แต่ในราคาที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้”
1
เราต้องเข้าใจบริบทของโลกในยุค 90 และ 2000 ก่อนนะครับ ยุคนั้นเป็นยุคที่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พัฒนาไปเร็วมาก ใครที่ทันยุคนั้นคงจำความรู้สึกของการซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ได้ดี
เราตื่นเต้นกับความเร็วของ CPU ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแทบทุกสองปี ตื่นเต้นกับ RAM ที่มากขึ้น ตื่นเต้นกับฮาร์ดดิสก์ที่ใหญ่ขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกว่าคอมพิวเตอร์ที่เราเพิ่งซื้อมาวันนี้ กำลังจะกลายเป็นของตกรุ่นในวันพรุ่งนี้
ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Computer Fatigue” หรือความเหนื่อยหน่ายของผู้บริโภค ไม่ว่าคุณจะทุ่มเงินซื้อคอมพิวเตอร์ที่แพงและดีที่สุดในตลาดวันนี้ อีกไม่เกิน 2 ปี มันก็จะกลายเป็นของเก่าไปโดยปริยาย
เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ คนส่วนใหญ่จึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “จะจ่ายแพงไปทำไม?” ในเมื่ออีกไม่นานก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี พวกเขาจึงมองหาทางเลือกที่ “คุ้มค่าที่สุด” ซึ่งในนิยามของยุคนั้นก็คือ “ถูกที่สุด” เท่าที่จะหาได้
และนี่คือช่วงเวลาที่ ACER ได้เฉิดฉายอย่างเต็มที่
กลยุทธ์ “ของดีราคาถูก” ของพวกเขาตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่แบรนด์ที่เคยยิ่งใหญ่และเน้นขายของแพงอย่าง Apple และ IBM ต่างก็เจ็บตัวกันไปตามๆ กัน
ACER กลายเป็นหนึ่งในสามทหารเสือจากเอเชียร่วมกับ Lenovo และ Asus ที่เข้ามาเขย่าบัลลังก์ของแบรนด์ตะวันตกจนสั่นสะเทือน ความสำเร็จของพวกเขาไม่ได้มาจากนวัตกรรมที่ล้ำหน้าใคร แต่มาจากการที่พวกเขาเข้าใจ “ทิศทางลม” ของตลาดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
พวกเขาคือ “ผู้ตาม” ที่ยิ่งใหญ่ และสูตรสำเร็จนี้ก็ได้ส่งให้ ACER เดินทางมาถึงจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ท่ามกลางเสียงชื่นชมและยอดขายที่ถล่มทลาย
แต่แล้ว เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 2010 สายลมที่เคยพัดหนุนส่ง ACER ก็เริ่มเปลี่ยนทิศ มันไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 3 ระลอกที่ค่อยๆ เข้ามาสั่นคลอนรากฐานความสำเร็จของพวกเขาจนหมดสิ้น
การเปลี่ยนแปลงระลอกแรก คือการมาถึงของ “สมาร์ทโฟน” และการที่เทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องของ “อารมณ์”
การเปิดตัว iPhone ในปี 2007 ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างโทรศัพท์รุ่นใหม่ แต่มันคือการเปลี่ยนนิยามของสินค้าเทคโนโลยีไปตลอดกาล
มันทำให้ผู้คนตระหนักว่า เทคโนโลยีไม่จำเป็นต้องเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้งานได้ แต่มันสามารถเป็นของที่ “สวยงาม” และ “น่าปรารถนา” ได้ด้วย
และสิ่งนี้มันได้ถูกส่งต่อมายังโลกของคอมพิวเตอร์ผ่านการเปิดตัว MacBook Air ในปี 2008 ที่มาพร้อมความบางเฉียบและดีไซน์ที่ปฏิวัติวงการ มันทำให้ผู้คนเริ่มมองหาแล็ปท็อปที่ไม่ได้มีดีแค่สเปก แต่ยังต้องบ่งบอกตัวตนและรสนิยมได้ด้วย
ทันใดนั้น กลยุทธ์ของ ACER ที่เน้นแค่ฟังก์ชันและราคา ก็เริ่มดู “น่าเบื่อ” และ “ไม่น่าตื่นเต้น” ไปในทันที
การเปลี่ยนแปลงระลอกที่สอง คือการที่คอมพิวเตอร์เดินทางมาถึงจุดที่ “ดีพอแล้ว” สำหรับคนส่วนใหญ่
ในทางเทคนิค โปรเซสเซอร์ยังคงเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก็จริง แต่สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ใช้คอมพิวเตอร์แค่ท่องเว็บ ส่งอีเมล พิมพ์งาน หรือดูหนัง ความเร็วที่เพิ่มขึ้นมานั้นมันเกินความจำเป็นไปแล้ว
คอมพิวเตอร์เมื่อ 5-6 ปีก่อน ก็ยังสามารถทำงานเหล่านี้ได้ดีอยู่ ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผู้คนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องบ่อยๆ อีกต่อไป ระยะเวลาการใช้งานเฉลี่ยของคอมพิวเตอร์จึงยาวนานขึ้น จากที่เคยเปลี่ยนทุก 2-3 ปี ก็กลายเป็น 5, 6 หรือแม้กระทั่ง 7 ปี
1
และเมื่อลูกค้าต้องซื้อของที่จะอยู่กับพวกเขาไปอีกนานหลายปี ก็จะไม่ได้มองมันเป็นแค่ “สินค้า” ที่ใช้แล้วทิ้งอีกต่อไป แต่มันคือ “การลงทุน” จะเริ่มมองหาคุณภาพ ความทนทาน และ “ความน่าเชื่อถือของแบรนด์” มากขึ้น และนั่นทำให้โมเดลธุรกิจของ ACER ที่เน้น “ถูกที่สุด” เริ่มไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป
และการเปลี่ยนแปลงระลอกสุดท้าย ซึ่งอาจจะสำคัญที่สุด คือ “ความหมาย” ของคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนไป
ในอดีต คอมพิวเตอร์อาจเป็นเครื่องมือเพื่อความบันเทิง แต่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังยุคโควิด-19 คอมพิวเตอร์ได้กลายเป็น “เครื่องมือทำมาหากิน” ที่ขาดไม่ได้สำหรับคนแทบทุกอาชีพ
เมื่อคอมพิวเตอร์คือหัวใจสำคัญของรายได้และการทำงานของผู้ใช้งาน คำถามที่ทุกคนจะถามตัวเองก่อนซื้อก็คือ “ฉันจะไว้ใจมันได้แค่ไหน?” ไม่ใช่ “ฉันจะซื้อมันได้ถูกที่สุดเท่าไหร่?”
1
สามระลอกคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ซัดเข้าใส่ชายฝั่งของ ACER อย่างจัง โลกที่เคยเป็นใจให้กับพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
สนามแข่งขันที่เคยมีแค่เรื่อง “ราคา” เป็นตัวตัดสิน ตอนนี้กลับมีตัวแปรเรื่อง “แบรนด์”, “ดีไซน์”, “ประสบการณ์” และ “ความน่าเชื่อถือ” เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ ACER ไม่เคยให้ความสำคัญกับการสร้างมันขึ้นมาเลย
เมื่อรากฐานความสำเร็จพังทลายลง ACER ก็พบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่กลางทะเลโดยไม่มีทิศทางที่ชัดเจน พวกเขาสูญเสียตัวตนไป และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ คู่แข่งทุกรายกลับหาที่ทางของตัวเองเจอหมดแล้ว
ตลาดคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้แบ่งตัวเองออกเป็นกลุ่มก้อนที่ชัดเจนมาก
ถ้าต้องการประสบการณ์ระดับพรีเมียม ระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง และแบรนด์ที่บ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ ก็จะเดินไปหา Apple
ถ้าเป็นเกมเมอร์ตัวยงที่ต้องการเครื่องที่แรงที่สุดและดีไซน์ที่ดุดัน ก็จะนึกถึง Asus กับแบรนด์ลูกอย่าง Republic of Gamers หรือ ROG ที่สร้างชุมชนของตัวเองได้อย่างแข็งแกร่ง
1
ถ้าเป็นคนทำงานในสายธุรกิจหรือโปรแกรมเมอร์ที่ต้องการความทนทานและความน่าเชื่อถือระดับตำนาน ก็จะเลือก Lenovo กับซีรีส์ ThinkPad ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน
แม้แต่ HP และ Dell ที่เคยสู้ในสงครามราคามาด้วยกัน ก็ปรับตัวด้วยการหันไปเน้นตลาดลูกค้าระดับองค์กร ซึ่งเป็นตลาดที่ทำกำไรได้มหาศาลและมั่นคงกว่า
คำถามที่น่าเศร้าก็คือ… แล้วที่ยืนของ ACER อยู่ตรงไหน?
นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดของพวกเขาในปัจจุบัน ACER ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้กับคำถามนี้ พวกเขากลายเป็นแบรนด์ที่อยู่กึ่งๆ กลางๆ ไปหมดในทุกด้าน
พวกเขาพยายามจะเจาะตลาดเกมด้วยซีรีส์ Predator แต่ก็ทำได้แค่เป็น “ผู้ตาม” ของ Asus ที่เป็นผู้นำตลาดไปแล้ว พวกเขาพยายามจะทำโน้ตบุ๊กบางเบาดีไซน์สวย แต่ก็ไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์พรีเมียมได้เท่าแบรนด์อื่น
ดูเหมือนว่า DNA ของการเป็น “ผู้ตามที่เก่งกาจ” ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่สุดของพวกเขาในอดีต ได้ย้อนกลับมากลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดในยุคปัจจุบัน พวกเขาไล่ตามเทรนด์ แต่ไม่เคยเป็นผู้สร้างเทรนด์
เรื่องราวของ ACER จึงเป็นบทเรียนทางธุรกิจที่ล้ำค่าและเจ็บปวด มันสอนให้เรารู้ว่า การพึ่งพากลยุทธ์ด้าน “ราคา” เพียงอย่างเดียวนั้นมีความเปราะบางอย่างยิ่ง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ตลาดเปลี่ยน… คุณค่าที่เคยมีก็จะหายไปในทันที
ความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีอนาคตเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าความสำเร็จนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของ “แบรนด์” และ “ตัวตน” ที่แข็งแกร่งพอ
และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของ ACER ครับ แบรนด์ที่เคยเป็นรองแชมป์โลก แต่กลับหลงทางอยู่ท่ามกลางกาลเวลาที่เปลี่ยนไป เพราะพวกเขายึดติดอยู่กับสูตรสำเร็จเดิมๆ จนลืมสร้างตัวตนที่แท้จริงของตัวเองขึ้นมา
References : [arstechnica, anandtech, statista, techspot, Wikipedia]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/what-happened-to-acer/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา