1 ส.ค. เวลา 13:29 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สิ้นสุดการรอคอย ! หลัง “โดนัล ทรัมป์”ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19%

ทันทีที่ “ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีในอัตราดังกล่าว หุ้นไทยเด้งตอบรับเปิดตลาด บวก 7.57 จุด หรือ 0.61 % อยู่ที่ 1,249.92 จุด แต่ระหว่างวันดัชนีจะปรับตัวลงลึกตลาดที่ระดับ 1,218.33 จุด ร่วง 24.02 จุด (-1.93%) มูลค่าซื้อขาย 54,586.68 ล้านบาท หลังตลาดรับรู้ข่าวสารทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นทำกำไร
โดย TNN Online ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุนอย่าง “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส มองว่า สหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยเท่ากับค่าเฉลี่ยทั่วโลกคือ 19% จากเดิมที่คาดว่าจะเก็บภาษีในอัตรา 36% ขณะที่อัตราภาษีทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 31% ทำให้สถานการณ์ส่งออกและเศรษฐกิจคลี่คลายดีขึ้น คาดจีดีพีปีนี้โตต่ำกว่า 2% และการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลดน้อยลง
นอกจากนี้คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมีประชุมวันที่ 13 ส.ค.นี้ อาจปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% จากดอกเบี้ยปัจจุบัน 1.75% เพื่อพยุงเศรษฐกิจ โดยการลดดอกเบี้ยอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อผู้ส่งออกและบรรเทาผลกระทบจากภาษีทรัมป์
ทั้งนี้คาดว่า SET INDEX ระดับปัจจุบันน่าทยอยสะสมหุ้นเพิ่มเติม จาก 2 เหตุผลหลักๆ ดังนี้ 1. ถ้าเปรียบเทียบผลตอบแทนตลาดหุ้น (YTD)จะพบว่าตลาดหุ้นไทย -11.3%(YTD) ราคาแลกการ์ดกว่าประเทศที่ถูกภาษี 19%อาทิ มาเลเซีย -7.9%(YTD) ฟิลิปปินส์ -4.2%(YTD) อินโดนีเซีย +5.7%(YTD) และถูกเวียดนาม +18.6%(YTD) ทิ้งห่างอยู่มาก (20%)
2. SET ขึ้นแบบกระจายตัวไม่ได้กระจุกตัวเหมือนครั้งก่อน โดยจะเห็นได้ว่า SET INDEX ในครั้งนี้ทยอยปรับตัวขึ้น (23 JUN - 31JUL) ซึ่งมีจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นการบ่งบอกของการปรับตัวขึ้นของ SET ที่แข็งแรง ไม่ เหมือนในอดีต (20 MAR-8 MAY) ที่แม้ SET จะปรับตัวขึ้น
แต่จำนวนหุ้นที่ปรับขึ้นนั้นกระจุกตัว ซึ่งมักตามมาด้วยการ ปรับฐานของดัชนีได้ง่ายกว่า ด้วย 2 เหตุผลข้างต้น ประกอบกับ ดัชนีที่ระดับปัจจุบันมี VALUATION เด่นพร้อมกับการเติบโตของ EPS GROWTH ในปีนี้ถือเป็นจังหวะสะสมที่ดีในการสะสมหุ้นไทย
โดยกลยุทธ์การลงทุนเน้น 3 ธีมคือ 1. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ราคาปรับฐานลงมาลึกตั้งแต่ ต้นปี(YTD) เช่น AMATA ร่วงมากถึง 44% WHA ร่วง 35% มีโอกาสฟื้นกลับ 2. กลุ่มส่งออก เช่น STA ราคาร่วง 22% ITC ราคาร่วง 34% และ TU ร่วง 15% และ 3 หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า เช่น BH , BDMS, ERW , CENTEL, MTC, SAWAD
ด้าน“ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมินว่า ไทยได้ดีล Reciprocal Tariff จากสหรัฐอัตรา 19% ใกล้เคียงประเทศอื่นๆในภูมิภาค ทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย แต่ต่ำกว่าเวียดนาม
คาดว่าอัตราดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อ ความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้น Reopening Trade ที่ Deep Value กลุ่มส่งออก เช่น KCE, HANA กลุ่มนิคม WHA, AMATA กลุ่มได้ประโยชน์จากการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ คาดต้นทุนลดลง ADVANC, COM7, ADVICE, INSET นำเข้าก๊าซ : PTTGC, GPSC, BGRIM
ฝั่ง “วิลาสินี บุญมาสูงทรง” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก มองว่า สหรัฐเปิดเผยอัตราภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากไทยต่ำกว่าอัตราเดิมที่ระดับ 36% เหลือ 19% เท่ากับกัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยต่ำกว่าเวียดนามที่ถูกเรียกเก็บในอัตรา 20% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยให้สินค้าส่งออกของไทยสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้ดีขึ้น ไม่เสียเปรียบด้านราคามากเกินไป
ช่วยลดแรงกดดันต่อภาคส่งออกโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มสำคัญที่อ่อนไหวต่อภาษีนำเข้า เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มยานยนต์ และกลุ่มยางพารา ซึ่งที่ผ่านมามีความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากอัตราภาษีเดิมที่ระดับ 36%
โดยแนะนำลงทุนหุ้น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม : AMATA, WHA ,ROJNA
กลุ่มส่งออกอาหาร : TU, ITC, AAI
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ : HANA, KCE , DELTA
ทั้งนี้เนื่องจากช่วงก่อนหน้าที่ถูกสหรัฐประกาศเก็บภาษีที่ 36% หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงแรงต่อเนื่องอาจมีแรงซื้อกลับ ส่วนดัชนีหุ้นไทยเดือนส.ค.มีโอกาสปรับตัว Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากต่างประเทศ หลังจากสหรัฐเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากประเทศต่าง ๆ เสร็จแล้ว คาดกรอบดัชนีระหว่าง 1,220-1,270 จุด
ปิดท้ายที่ “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.ทิสโก้ มองว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับขึ้นมากว่า 130 จุด ดังนั้นการประกาศขึ้นภาษีทรัมป์กับไทยจาก 10% เป็น 19% ถือว่าเป็นอัตราที่ไม่สูงมาก ซึ่งจากการสอบถามบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก็มีการวางแผนรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้น
ด้วยการรับภาระต้นทุนบางส่วนไว้เอง หรือบางรายก็ผลักภาระให้กับผู้ซื้อ แต่ออร์เดอร์จะลดลงหรือไม่ ยังไม่สามารถประเมินได้ต้องรอดูสถานการณ์ จากที่ก่อนหน้านี้ “ทรัมป์” ได้ขยายเวลาการขึ้นภาษีนำเข้าทำให้มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าไปแล้ว
ส่วนหุ้นไทยที่ปรับตัวลง คาดว่าเป็นการพักฐานเพื่อไปต่อ โดยประเมินดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,270 จุด ส่วนการประชุมกนง.คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% เนื่องจากตลาดพันธบัตรระยะเวลา 10 ปี ปรับลงมาที่ระดับ 1.5% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75%
ด้านทิศทางหุ้นไทยในเดือนส.ค.ติดตามสถานการณ์การเมือง ประเด็นนายกฯ ยื่นชี้แจงปมคลิปเสียงฮุนเซนหลุด รวมถึงปัญหาไทย-กัมพูชา แม้ว่าการค้าไทยกับกัมพูชามีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของการค้าโลกแต่ถ้ามีเหตุการณ์รุนแรงอาจทำให้ตลาดเกิดความผันผวนได้ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้น Selective Buy ธีมดอกเบี้ยลด กลุ่มไฟแนนซ์ และไฟฟ้า เช่น AMATA ราคาเป้าหมาย 35 บาท COM7 ราคาเป้าหมาย 28 บาท GPSC ราคาเป้าหมาย 36 บาท GULF ราคาเป้าหมาย 55 บาท KKP ราคาเป้าหมาย 50 บาท PR9 ราคาเป้าหมาย 31 บาท และ SCB ราคาเป้าหมาย 28 บาท
แม้ว่าตัวเลขภาษีของสหรัฐฯ จะมีความชัดเจนออกมา แต่ผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากต้องรอดูกำลังซื้อของคู่ค้า ว่าลดน้อยถอยลงไปแค่ไหน และระบบการค้าโลกจะบิดเบี้ยวเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามกันต่อไปในระยะยาว
โฆษณา