2 ส.ค. เวลา 06:21 • ความคิดเห็น
Chiangmai, Thailand

เมื่อ “ความสะใจ” กลายเป็นกลยุทธ์ของสงครามดิจิทัล

ตอนแรกผมก็อมยิ้มนะ…
เห็นคลิป AI ที่ทำภาพ “สมเด็จฮุนเซน” กับ “นางมาลี” ออกมาในมู้ดแบบละครหลังข่าว บางคลิปเนียนจัดจนนึกว่าเขาเล่นหนังกันจริงๆ บรรยากาศ ฉากหลัง ก็มาครบ มุขก็มันส์ ผมยังแอบชื่นชมเลย คนไทยแม่งเก่ง ทำเร็ว ตัดต่อดี มีไอเดียล้ำหน้าโซเชียลฝั่งอื่นเป็นกิโล
แต่พอดูไปเรื่อยๆ จากคลิปเดียวก็กลายเป็นหลายเวอร์ชั่น จากกลุ่มหนึ่งก็แพร่ไปอีกกลุ่ม จนสุดท้ายมันไม่ใช่แค่เรื่องขำๆ แล้ว
มันกลายเป็น “การทำลายตัวตนของคนจริงๆ” ผ่านการแต่งเรื่องที่เรารู้ว่า "ไม่จริง"
สองตัวละครนำ สมเด็จฮุนเซนและนางมาลี ถูกลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ลงอย่างน่าใจหาย จาก “ผู้นำ” และ “ข้าราชการหญิง” กลายเป็นแค่ตัวตลกในโลกออนไลน์ที่ไม่มีอะไรน่าเคารพเหลืออยู่เลย
จากสงครามชาติ สู่สงครามศีลธรรม
ความขัดแย้งชายแดนในโลกจริงมันซับซ้อน
แต่ในโลกออนไลน์ เราเลือกจะ “ทำให้มันง่าย” ด้วยการสร้างเรื่องแต่งที่ขยี้ภาพลักษณ์ของฝ่ายตรงข้ามแบบไม่มีเยื่อใย
หนึ่งในเทคนิคที่มนุษย์ใช้กันมานานคือ การโจมตีเรื่อง “ชู้สาว”
เพราะมันเป็นวิธีที่เร็วและแรงที่สุดในการ “ปลดอำนาจเชิงสัญลักษณ์”
ในสายตาคนไทยบางกลุ่ม สมเด็จฮุนเซนไม่ใช่แค่ศัตรูทางการเมือง
แต่กลายเป็น “ตาแก่ไร้ศักดิ์ศรี” ที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด ไฝ่ต่ำ ลุ่มหลงหญิงสาว ภาพแบบนี้ ถูกออกแบบมาให้เขาดู น่ารังเกียจ มากกว่าน่ากลัว
ในขณะเดียวกัน “นางมาลี” ก็ไม่ได้ถูกนำเสนอในฐานะเหยื่อ
แต่กลายเป็นตัวแทนของ “ผู้หญิงที่ใช้ร่างกายเพื่อไต่เต้า”
ภาพจำแบบนี้แฝงด้วยอคติเพศหญิงอย่างลึกซึ้ง หญิงลวง หญิงร้าย หญิงที่ยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อชื่อเสียงและอำนาจ
นี่ไม่ใช่แค่การโจมตีตัวบุคคล
แต่มันคือการ ใช้เรื่องเพศและศีลธรรม มาสร้างวาทกรรมทำลายฝ่ายตรงข้ามให้หมดค่าทุกระดับ
มนุษย์กับความอยาก “เอาคืน”
ผมไม่แปลกใจเลยที่คนไทยจำนวนมากจะรู้สึก “สะใจ”
เพราะเวลาเรารู้สึกว่าถูกทำร้าย โดนใส่ร้าย หรือในสถานการณ์ที่ไม่มีอำนาจจะสู้กับระบบใหญ่ๆ สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือ “ทำให้ศัตรูกลายเป็นคนไร้ค่า”
เราทำให้เขาไม่ใช่ “ผู้นำที่เรากลัว”
แต่เป็นแค่ “ตาแก่ที่คลั่งเซ็กส์”
เราทำให้เธอไม่ใช่ “ข้าราชการจากประเทศเพื่อนบ้าน”
แต่เป็นแค่ “ผู้หญิงที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเก้าอี้ในรัฐบาล”
ทั้งหมดนี้คือเทคนิคการ ลดทอนความเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นกลยุทธ์เก่าแก่ในสงครามข้อมูลทุกยุคทุกสมัย
และเรากำลังใช้มันอยู่... โดยไม่รู้ตัว
ถามจริงๆ ว่า
เราชนะแล้วได้อะไร?
  • ได้ไลก์ ได้แชร์ ได้หัวเราะ ได้ความสะใจชั่วครู่?
แต่ในอีกด้านหนึ่ง เรากำลังสร้างวัฒนธรรมแบบเดียวกับที่เราดูแคลน
  • ข่าวปลอม
  • การเหยียดเพศ
  • การทำลายศักดิ์ศรีของผู้อื่นผ่านเรื่องส่วนตัว
และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ
เราอาจกำลังสอนเด็กรุ่นใหม่ว่า “ความขำ” สำคัญกว่า “ความจริง”
และการ “แต่งเรื่องชู้สาว” คือวิธีล้มศัตรูที่ได้ผลเสมอ
ลองคิดดูดีๆ นะครับ…
เราไม่ชอบที่ประเทศเพื่อนบ้านใช้เฟคนิวส์มาปั่นเรา
แต่ตอนนี้ เรากำลังทำแบบเดียวกันอยู่หรือเปล่า?
สงครามครั้งนี้... เราอยากชนะยังไง?
ผมเข้าใจครับ ว่าการตอบโต้ด้วยมีม ด้วยคลิป AI มันทำให้เรารู้สึกว่า
เราได้สู้กลับ
เราไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกตบหน้าอยู่ฝ่ายเดียว
แต่ถ้าเราจะสู้เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพื่อศักดิ์ศรีของประเทศ เพื่อความจริง เพื่ออนาคต เราควรเริ่มจากไม่ใช้เครื่องมือเดียวกับคนที่เราตำหนิ
บางที...
การ “ไม่หัวเราะ” กับเรื่องแต่ง
การ “ไม่แชร์” คลิปที่ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของใคร
การ “ไม่เอาความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเป็นอาวุธ”
...อาจเป็นการต่อสู้ที่สง่างามที่สุดของมนุษย์ที่มีสติ และมีศักดิ์ศรี
โฆษณา