2 ส.ค. เวลา 09:20 • ข่าวรอบโลก

17 บริษัทยายักษ์ใหญ่ ถูกทรัมป์กดดันให้ลดราคายาใน 60 วัน

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ส่งจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทยายักษ์ใหญ่ 17 แห่ง รวมถึง Eli Lilly, Sanofi, Regeneron, Merck, Johnson & Johnson, AstraZeneca, Pfizer และบริษัทอื่น ๆ เพื่อเรียกร้องให้ลดราคายาในสหรัฐฯ ให้อยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดในประเทศพัฒนาแล้ว พร้อมกำหนดเส้นตาย 60 วัน (ถึงวันที่ 29 กันยายน)
โดยจดหมายดังกล่าวมีการกล่าวถึงการขยายการใช้ราคาประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษที่สุด (most-favored-nation :MFN) ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วยรายได้น้อย ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และบางกลุ่มของเด็กและครอบครัวที่เข้าเกณฑ์ (Medicaid) ซึ่งราคาดังกล่าวครอบคลุมถึงยาคิดค้นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว
ทรัมป์ระบุต่อไปอีกว่า ชาวอเมริกันต้องจ่ายค่ายาแพงกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ ถึงสามเท่า และเขาจะใช้ “ทุกเครื่องมือที่มี” หากบริษัทไม่ปฏิบัติตาม
ราคาหุ้นของบริษัทยาร่วงลงเล็กน้อยหลังประกาศ โดยดัชนี NYSE Arca Pharmaceutical ลดลงประมาณ 2–3% ขณะที่หุ้นบริษัทยายุโรป เช่น AstraZeneca และ GSK ก็ตกลงเช่นกัน กลุ่มอุตสาหกรรมและผู้บริหารแสดงความกังวลว่า ข้อเสนอดังกล่าวอาจกระทบต่อการพัฒนาและนวัตกรรม และอาจประสบอุปสรรคด้านกฎหมายและนโยบาย โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา แม้ว่าบางบริษัทจะเริ่มดำเนินการลดต้นทุนยาให้ผู้บริโภคแล้ว แต่รัฐบาลเห็นว่ายังไม่เพียงพอ
2
หากมีการปฏิบัติตามข้อความในจดหมายของทรัมป์จริง บริษัทยาที่เคยใช้โมเดลตั้งราคาตามศักยภาพของประเทศ (Tiered Pricing) เพื่อชดเชยต้นทุนวิจัยผ่านตลาดที่ทำกำไรสูงอย่างสหรัฐฯ หากต้องขายยาราคาต่ำในสหรัฐฯ เท่ากับยุโรปหรือแคนาดา บริษัทยาอาจต้อง ลดราคาทั่วโลก (Global Price Convergence) ถอนตัวจากตลาดราคาต่ำ หรือชะลอการเปิดตัวยาในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดจากยาาที่ได้รับการคิดค้นใหม่
มีความกังวลว่าผลจากแรงกดดันดังกล่าวอาจกระทบห่วงโซ่อุปทานยาทั่วโลก นโยบาย Direct-to-Consumer (DTC) และ Direct-to-Business (DTB) ที่เสนอในจดหมายจะบังคับให้บริษัทยาต้องพัฒนาระบบขนส่ง/โลจิสติกส์ใหม่ เพื่อขายยาโดยตรงในราคาถูก ลดการพึ่งพาตัวแทนจำหน่ายแบบดั้งเดิม เช่น wholesaler และ pharmacy benefit managers (PBMs) และทำให้เกิดการลงทุนใหม่ในระบบคลังสินค้า, ดิจิทัลแพลตฟอร์ม, หรือเครือข่ายอีคอมเมิร์ซที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานยาทั้งระบบ
นอกจากนี้ แรงกดดันดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อการวิจัยและพัฒนายาใหม่ เมื่อไม่มีเงินสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา การวิจัยและพัฒนายาใหม่อาจลดลงหรือหยุดชงัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรคหายากหรือโรคที่ทำกำไรไม่สูง หรือหากต้องการเดินหน้าการศึกษาวิจัยต่อ บริษัทยาอาจจำเป็นต้องขึ้นราคายาในตลาดกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เพื่อชดเชยกับมูลค่าที่สูญเสียไปจากนโยบายใหม่ของสหรัฐฯ
2
ไทยจึงมีความเสี่ยงต่อการเข้าถึงนวัตกรรมยา และอาจกลายเป็น “ตลาดท้ายสุด” ในการเข้าถึงยานวัตกรรม โดยเฉพาะยาเฉพาะทาง และยาชีววัตถุ (biologics)
ไทยจึงควรเร่งพัฒนาการผลิตยาในประเทศ โดยเฉพาะยาจำเป็น ยาชีววัตถุคล้ายคลึง (biosimilars) และ Active Pharmaceutical Ingredients (API) สนับสนุนบริษัทไทยให้วิจัยและผลิตยาทดแทน สำหรับยาที่อาจขาดแคลนหรือราคาสูงขึ้น สร้างกลไก จัดซื้อแบบรวมศูนย์ ที่ต่อรองราคาได้ดีขึ้น เช่น Thai FDA, สปสช. หรือ อภ. ร่วมมือกับประเทศอื่นในอาเซียน (ASEAN+3) เพื่อจัดตั้ง “พันธมิตรการเจรจาราคายา” ขนาดใหญ่ เสนอซื้อร่วมในระดับภูมิภาค
อ้างอิง
โฆษณา