4 ส.ค. เวลา 09:51 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สรุปภาวะตลาดประจำสัปดาห์ที่ 29 ก.ค. – 1 ส.ค. 2568

ภาพรวม
  • ตลาดหุ้นโดยรวมปรับลดลง จากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
  • Fed และ BOJ คงอัตราดอกเบี้ยตามตลาดคาด
  • ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง แต่ตัวเลขตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอ
  • การเจรจาทางการค้าของสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น
  • IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP โลกปี 2025
  • ผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทใน S&P 500 ดีกว่าคาด
สถานการณ์ตลาด
  • สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังการเปิดเผยตัวเลขตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ประกอบกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์
◦ ดัชนี S&P 500 ลดลง 2.4% และ Nasdaq ลดลง 2.2%
◦ ราคาน้ำมันเช้านี้ปรับตัวลดลง หลังกลุ่ม OPEC+ มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 547,000 บาร์เรลต่อวันในเดือน ก.ย.
  • สหรัฐฯ
◦ Fed คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25–4.50% ตามคาด แม้มีกรรมการ 2 รายโหวตให้ลดดอกเบี้ย โดย Fed ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครึ่งปีแรกชะลอตัว แม้ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง โดยประธาน Fed ย้ำว่า ยังไม่เร่งตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. โดยจะรอรอดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ Fed ยังประเมินว่า ผลกระทบจากนโยบายภาษีในขณะนี้ยังอยู่ในวงจำกัด และมีลักษณะเป็นปัจจัยชั่วคราว
◦ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 2 ขยายตัว 3% สูงกว่าคาด ที่ 2.5–2.6% ขณะที่ Core PCE MoM เป็นไปตามคาด ส่วน YoY อยู่ที่ 2.8% สูงกว่าคาดที่ 2.7% ด้านตลาดแรงงานส่งสัญญาณอ่อนแอ โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง พร้อมปรับลดตัวเลข 2 เดือนก่อนลง และอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.2% ส่งผลให้ตลาดเพิ่มความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เป็น 83%
◦ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับลดลงแรง โดยอายุ 2 ปี ลดลง 28 bps และอายุ 10 ปี ลดลง 16 bps มาอยู่ที่ 4.2% สะท้อนแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
  • จีน
◦ สาระสำคัญจากการประชุม Politburo ของจีน ทางการจีนมองว่าเศรษฐกิจครึ่งปีแรกยังแข็งแรง ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีและมั่นคง รัฐบาลเตรียมเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนเดิม เน้นสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง การบริโภคภายในประเทศ และการจ้างงาน รัฐมีแผนควบคุมการผลิตที่ล้นตลาด และลดการแข่งขันที่ไม่มีระเบียบ โดยได้ตั้งเป้าให้เศรษฐกิจปีนี้โต 5% โดยใช้นโยบายที่ยืดหยุ่นและส่งเสริมการเติบโต
◦ Goldman Sachs มองว่าจีนพร้อมออกมาตรการเพิ่มเติมหากจำเป็น โดยเน้นช่วยเฉพาะกลุ่มหรืออุตสาหกรรมที่ต้องการ ในขณะที่ Deutsche Bank คาดว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังอาจชะลอ และมีโอกาสที่จีนจะลดดอกเบี้ยในไตรมาส 4
  • ญี่ปุ่น: ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงดอกเบี้ยที่ 0.5% ตามคาด พร้อมปรับคาดการณ์ GDP ปี 2025 จาก 0.5% เป็น 0.6% และ Core CPI จาก 2.2% เป็น 2.7% แม้ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าลดลง แต่ภาษียังคงกดดันเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ โดย BOJ ส่งสัญญาณอาจขึ้นดอกเบี้ยหากแนวโน้มเป็นไปตามคาด ขณะที่ Goldman Sachs คาดว่า BOJ อาจขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งใน ม.ค. 2026
  • การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ มีความชัดเจนขึ้น และอัตราภาษีอยู่ต่ำกว่าที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ สะท้อนกลยุทธ์ใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือเจรจาต่อรองตามที่ตลาดคาด
◦ จีน: มีการขยายระยะเวลาระงับการขึ้นภาษีออกไปในการเจรจาที่สวีเดน แต่ไม่มีรายละเอียด หรือกรอบเวลาที่ชัดเจน โดย สก็อตต์ เบสเซนต์ รมต.กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ทรัมป์จะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย จึงยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
◦ ไทย: บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้อัตราภาษีนำเข้าที่ 19% ลดจากเดิม 36% ซึ่งใกล้เคียงกับภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อยู่ที่ 19% และเวียดนาม ไต้หวันที่ 20% ดังนั้นจึงไม่น่ามีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ควรติดตามรายละเอียดเงื่อนไขสินค้าและผลกระทบในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด
◦ เกาหลีใต้: ปรับลดอัตราภาษีลงเหลือ 15% จากเดิม 25% โดยแลกกับการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ แบบปลอดภาษี พร้อมตกลงนำเข้าก๊าซ LNG มูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ และลงทุนในสหรัฐฯ อีก 350,000 ล้านดอลลาร์
◦ อินเดีย: อัตราภาษีที่ 25% สูงกว่าที่ตลาดคาด โดยสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่าอินเดียมีอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และยังคงซื้ออาวุธและพลังงานจากรัสเซีย
◦ แคนาดา: อัตราภาษีที่ 35%
◦ เม็กซิโก: ได้รับการขยายระยะเวลาเจรจาออกไปอีก 90 วัน
  • IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP โลกปี 2025 จาก 2.8% เป็น 3% จากแรงหนุนการบริโภคและภาษีที่ต่ำกว่าคาด โดยสหรัฐฯ ปรับขึ้นเป็น 1.9% ยุโรป 1% จีน 4.8% และไทย 2% จากภาคการผลิตและส่งออกที่แข็งแกร่ง แม้ครึ่งหลังอาจชะลอจากผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน IMF เตือนความเสี่ยงจากนโยบายการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ การขาดดุลการคลัง และภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก
  • ผลประกอบการไตรมาส 2: บริษัทใน S&P 500 ประมาณ 66% รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว โดยในจำนวนนี้กว่า 82% มีผลกำไรดีกว่าที่ตลาดคาด กำไรต่อหุ้น (EPS) โดยรวมของไตรมาส 2 เติบโตประมาณ 10% ขณะที่ตอนต้นไตรมาส ตลาดคาดว่าจะโตแค่ประมาณ 4.9% สะท้อนงบการเงินที่ดีกว่าคาด และมีผลบวกต่อความเชื่อมั่นของตลาด
คำเตือน
  • เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และ ความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  • ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • ผู้ลงทุนสามารถขอข้อมูลหนังสือชี้ชวนได้ที่สำนักงานของบริษัทจัดการ หรือจาก www.krungsriasset.com หรือตัวแทนสนับสนุนการขาย หรือเจ้าหน้าที่ขายหน่วยลงทุน
ติดตามกองทุนกรุงศรี อัปเดตข่าวสาร และกิจกรรมต่างๆ ได้ที่
#KrungsriAsset #กองทุนกรุงศรี #Weeklymarketview #สรุปภาวะตลาดรายสัปดาห์
โฆษณา