6 ส.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

เมื่อการลดยาคือการรักษาที่ดีที่สุด และทำไมไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะทำ

วันนี้ผมอยากจะชวนทุกท่านมาสำรวจแนวคิดที่เรียกว่า “Deprescribing” หรือที่ผมขอเรียกง่ายๆ ว่าการลดยาอย่างชาญฉลาดซึ่งไม่ใช่แค่การหยุดยาไปเฉยๆ แต่เป็นกระบวนการทบทวนและปรับลดรายการยาที่ไม่จำเป็นหรืออาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ โดยอาศัยการพูดคุยร่วมกันระหว่างแพทย์ ผู้ป่วย และครอบครัว แต่คำถามสำคัญคือ...ผู้ป่วยเองล่ะ พวกเขารู้สึกอย่างไรกับแนวคิดนี้ ทุกคนอยากลดยาจริงหรือ?
งานวิจัยชิ้นล่าสุดจากประเทศญี่ปุ่นที่ตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Family Medicine ได้ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้สูงวัยที่ใช้ยา 5 ชนิดขึ้นไป เพื่อค้นหาคำตอบนี้โดยเฉพาะ และผลลัพธ์ที่ได้ก็ช่วยให้เราเข้าใจเสียงในใจของผู้สูงวัยได้ดีขึ้นมาก จนสามารถแบ่งพวกเขาออกเป็น 5 กลุ่มที่มีความคิดและความต้องการแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยครับ
เมื่อยาไม่ได้เป็นแค่ “ยา” ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ก่อนจะไปดูว่าผู้ป่วย 5 กลุ่มนั้นมีใครบ้าง เราต้องเข้าใจก่อนว่าสำหรับผู้สูงวัยแล้ว ยาไม่ได้เป็นเพียงเม็ดแคปซูลหรือเม็ดกลมๆ ที่กินตามเวลา แต่มีความหมายที่ผูกพันกับความรู้สึกและความเชื่ออย่างลึกซึ้ง งานวิจัยพบว่า ทัศนคติของผู้ป่วยที่มีต่อยาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดว่าพวกเขาจะเปิดใจหรือปิดกั้นต่อการลดยา
ปัจจัยที่ช่วยให้ลดยาสำเร็จ
มองยาเป็นภาระ: ผู้ป่วยกลุ่มที่อยากลดยา มักจะมองว่าการกินยาเยอะๆ เป็นภาระ รู้สึกเหมือนต้องจำใจกิน กังวลเรื่องผลข้างเคียงต่อตับต่อไต หรือเคยมีประสบการณ์ที่ดีจากการหยุดยาบางตัวมาก่อน
ความเชื่อใจในตัวแพทย์: ข้อนี้สำคัญมากครับ ความสัมพันธ์ที่ดีและความไว้วางใจที่มีต่อแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยกล้าที่จะพูดคุยและเปิดใจยอมรับข้อเสนอการลดยาได้ง่ายขึ้น
อุปสรรคที่ขัดขวางการลดยา
มองยาเป็นสิ่งจำเป็น: ผู้ป่วยบางกลุ่มมองว่ายาคือฮีโร่ที่ช่วยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้ รู้สึกว่าการกินยาคือการดูแลตัวเองที่ดีที่สุด และพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่
ความกลัว: กลัวว่าถ้าหยุดยาแล้วอาการจะกำเริบ หรือทรุดลงกว่าเดิม
ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถ: ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าเรื่องยาเป็นเรื่องของหมอเท่านั้น ตนเองไม่มีความรู้พอที่จะร่วมตัดสินใจ หรือแม้แต่การเอ่ยปากถามก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
เมื่อเข้าใจความรู้สึกพื้นฐานเหล่านี้แล้ว เรามาดูกันครับว่านักวิจัยแบ่งประเภทของผู้ป่วยตามทัศนคติเหล่านี้ไว้อย่างไร
เปิดใจผู้สูงวัย 5 กลุ่ม 5 สไตล์ เมื่อต้องคุยเรื่อง “ลดยา”
นี่คือหัวใจของงานวิจัยชิ้นนี้ครับ การแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 5 กลุ่ม ซึ่งทำให้แพทย์และเภสัชกรสามารถ "ตัดเสื้อให้พอดีตัว" หรือออกแบบการสื่อสารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนได้
1. กลุ่มนักสู้เชิงรุก (Proactive - 25%)
กลุ่มนี้มีทัศนคติเชิงลบต่อยาอย่างชัดเจนครับ พวกเขามองว่ายาเป็นภาระและอยากจะควบคุมสุขภาพด้วยตัวเอง เช่น การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งยาเยอะๆ คนกลุ่มนี้พร้อมที่จะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาเรื่องการลดยากับแพทย์ก่อนเลยครับ
“ผมอยากจะควบคุมความดันกับไขมันด้วยตัวเองมากกว่านี้ ผมว่าผมทำได้นะ”
2. กลุ่มเชื่อมั่นในคุณหมอ (Compliant - 30%)
นี่คือกลุ่มที่พบมากที่สุด พวกเขามีทัศนคติที่ดีต่อยาและเชื่อมั่นในการตัดสินใจของแพทย์ แต่ก็เปิดใจที่จะลดยาหากแพทย์เป็นผู้เสนอและให้เหตุผลที่ดี พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนเริ่มก่อน แต่พร้อมจะทำตามเมื่อเห็นว่าปลอดภัย
“ถ้าหมอบอกว่าลดยาตัวนี้ได้ ผมก็โอเคนะ ผมเชื่อหมออยู่แล้ว ผมจะรู้สึกปลอดภัยกว่าถ้าหมอเห็นชอบด้วย”
3. กลุ่มกังวลแต่ไม่กล้าบอก (Fearful but Passive - 20%)
กลุ่มนี้มีความขัดแย้งในใจสูงครับ พวกเขากังวลเรื่องการกินยาเยอะๆ ไม่ต่างจากกลุ่มแรก แต่กลับรู้สึกไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปากถามแพทย์ตรงๆ เพราะรู้สึกเกรงใจหรือไม่มั่นใจในตัวเอง ทำให้ได้แต่เก็บความกังวลไว้ในใจ
“บางทีก็สงสัยนะว่ายาตัวนี้ยังจำเป็นอยู่ไหม...แต่เป็นคนไข้ จะไปบอกให้หมอลดยาก็ลำบากใจ ไม่กล้าถาม”
4. กลุ่มแฮปปี้...ไม่อยากเปลี่ยน (Satisfied and Risk-Averse - 10%)
กลุ่มนี้พอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันมาก รู้สึกว่ายาที่กินอยู่ช่วยควบคุมอาการได้ดี และกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะทำให้อาการแย่ลง พวกเขาจึงมักจะปฏิเสธข้อเสนอการลดยาเพราะไม่อยากเสี่ยง
“ยาตัวนี้ช่วยให้อาการปวดท้องของฉันดีขึ้น ฉันกลัวที่จะหยุดกินมันนะ เพราะคิดว่ามันช่วยให้ฉันใช้ชีวิตได้โดยไม่มีอาการ”
5. กลุ่มเฉยๆ...หมอว่าไงก็ว่างั้น (Indifferent - 15%)
กลุ่มนี้มีความรู้สึกกลางๆ ไม่ได้มองว่ายาดีหรือร้ายเป็นพิเศษ และมักจะมอบอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดให้แพทย์เป็นผู้ดูแล พวกเขาคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะร่วมตัดสินใจ จึงเลือกที่จะทำตามที่แพทย์บอกทุกอย่างโดยไม่ตั้งคำถาม
“เรื่องสุขภาพกับเรื่องยา ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอเถอะ ผมรับยามาก็กินตามนั้น เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน...ก็แค่นั้น”
แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป?
การค้นพบนี้บอกเราว่า การสื่อสารเรื่องการลดยาไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวครับ การที่แพทย์เดินเข้าไปบอกผู้ป่วยว่า "มาลดยากันเถอะ" อาจจะได้ผลดีกับ กลุ่มนักสู้เชิงรุก และ กลุ่มเชื่อมั่นในคุณหมอ แต่อาจจะสร้างความกังวลให้กับ กลุ่มแฮปปี้ หรือทำให้ กลุ่มกังวลแต่ไม่กล้าบอก ยิ่งไม่กล้าแสดงความคิดเห็นไปอีก
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ เราต้องเรียนรู้ที่จะประเมินว่าผู้ป่วยตรงหน้าของเราน่าจะอยู่ในกลุ่มไหน เพื่อที่จะเลือกวิธีการพูดคุยที่เหมาะสม การสร้างความไว้วางใจ การให้ข้อมูลที่ชัดเจน และการใช้เทคนิคการสัมภาษณ์เพื่อสร้างแรงจูงใจ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่กล้าแสดงออก มีความมั่นใจที่จะร่วมตัดสินใจมากขึ้น
สำหรับผู้ป่วยและครอบครัว การรู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกอย่างไรต่อการใช้ยาเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มไหน การเตรียมคำถามไปคุยกับแพทย์ถือเป็นสิทธิ์ที่สำคัญ เช่น "ยาแต่ละตัวช่วยเรื่องอะไรบ้างครับ" "มีความเสี่ยงอะไรไหม" หรือ "มียาตัวไหนที่อาจจะไม่จำเป็นแล้วบ้าง"
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกว่าการลดยาอย่างชาญฉลาดคือหนึ่งในเป้าหมายสูงสุดของการดูแลผู้สูงวัย มันคือการคืนคุณภาพชีวิต ลดความเสี่ยง และทำให้การรักษามีความหมายอย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง:
Ie, K., Machino, R., Albert, S. M., et al. (2025). Proactive Deprescribing Among Older Adults With Polypharmacy: Barriers and Enablers. Annals of Family Medicine, 23(3), 207-213. https://doi.org/10.1370/afm.240363
โฆษณา