Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
PPTV Wealth
•
ติดตาม
6 ส.ค. เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
MUFG มอง ไทยได้เปรียบ! หลังโดนภาษีสหรัฐ 19%
MUFG มอง ไทยได้เปรียบ! หลังโดนภาษีสหรัฐ 19% เชื่อยังไม่ส่งผลความเชื่อมั่นนักลงทุน ชี้! ไทยมีจุดแข็งดึงดูดต่างชาติลงทุน แต่ยังคงมีความท้าทายต้องจับตา
นายคาเนทสุกุ มิเกะ ประธานกรรมการเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) กล่าวในงาน Krungsri-MUFG Business Forum: Thriving to Sustainable Future” ก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ในโอกาสครบรอบ 80 ปีของกรุงศรี ถึงผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ที่เก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 19 จะกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนหรือไม่
โดย นายคาเนทสุกุ มองว่า ต่างชาติที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะดูที่นโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม และนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เป็นหลัก
นายคาเนทสุกุ มิเกะ ประธานกรรมการเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG)
รวมถึงให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยมากกว่าเพื่อตัดสินใจมาลงทุน ซึ่งตอนนี้สิ่งเหล่านั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญมากกว่าเรื่องของอัตราภาษีสหรัฐ เพราะอัตราที่ไทยได้นั้นคือ 19% ซึ่งถือว่า ใกล้เคียงกับทุกประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ส่วนตัวจึงมองว่าไทยไม่เสียเปรียบ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ตอนนี้เศรษฐกิจไทยตัวเลขการเติบโตอาจจะชะลอ แต่ในความจริงแล้วประเทศไทยมีจุดแข็ง มีจุดได้เปรียบ คือประเทศไทยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมหรือว่าการผลิตที่หลากหลาย ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็งและเป็นข้อได้เปรียบของประเทศไทย เพราะฉะนั้นอยากให้มองจังหวะช่วงนี้เป็นโอกาสของไทยในการที่จะพัฒนา ไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น หรือใช้จังหวะนี้ในการที่ปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรมไทยใหม่ ก็จะทำให้อุตสาหกรรมไทยสามารถที่จะไปต่อได้ นำไปสู่ความสามารถในการดึงรายได้เข้าประเทศ
ขณะที่มุมมองต่อสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยที่สูงอยู่ณขณะนี้ บวกกับสถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อ นายคาเนทสุกุ ระบุว่า ในส่วนของสินเชื่อที่ถูกจำกัด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอสังหา หรือการขยายตัวของธุรกิจ ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นเช่นนี้ การปล่อยสินเชื่ออาจจะถูกรัดกุม ซึ่งก็โยงกับเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่สูงมากในประเทศไทย
ในส่วนนี้ทางกรุงศรีได้ทำงานและให้ความร่วมมือใกล้ชิด กับรัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ซึ่งก็มีมาตรการพอสมควรในขณะนี้ ที่จะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่ในมุมมองของตนเองนั้น สิ่งเดียวที่จะแก้ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนได้ในระยะยาว คือการทำให้เศรษฐกิจไทยโต เพราะจะส่งผลให้หนี้ครัวเรือนลดลง
"ตอนนี้มองว่าประเทศไทย ควรหาวิธีผลักดันให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ซึ่งพอเศรษฐกิจไทยโตประชาชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และหนี้ครัวเรือนก็จะลดลง นั่นเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด"
ส่วนในปี 2568 เป็นโอกาสครบรอบ 80 ปีที่กรุงศรีได้ให้บริการลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ในนามของ MUFG ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนการเติบโต โดยประเทศไทยยังคงเป็นตลาดหลักที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ของ MUFG
“การเติบโตของ MUFG มุมมองในระยะกลาง ของธุรกิจ ถือว่าประเทศไทยและเอเชีย เป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจ เพราะถ้าหากดูจากกำไรจากทั่วโลก 60% มาจากนอกประเทศ ซึ่งใน 60% นั้น 45% มาจากเอเชียและครึ่งหนึ่งของ 45% มาจากธนาคารกรุงศรีหรือมาจากประเทศไทย เพราะฉะนั้นตลาดในประเทศไทยถือว่ามีความสำคัญกับ MUFG อย่างมาก"
อย่างไรก็ตาม นายคาเนทสุกุ มองว่า ประเทศไทยยังคงมีความท้าทาย ในเชิงของโครงสร้าง มีความท้าทายในเชิงของสังคมที่กำลังเข้าสู่ประชากรสูงวัย เรื่องของหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง รวมถึงพฤติกรรมผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ผู้คนให้ความสนใจเรื่องความยั่งยืน จนส่งผลให้ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งปรับตัว
ส่วนการที่จะนำเศรษฐกิจไปสู่สีเขียว ตามการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์โลกนั้น MUFG จะไม่เน้น การขายหุ้นหรือสินทรัพย์ทางการเงินสำหรับธุรกิจที่ยังคงปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ แต่จะเน้นหาวิธี ที่จะทำอย่างไร ให้สามารถทำงานร่วมกับธุรกิจเหล่านั้นได้หรือจะหาวิธีจัดการอย่างไรเพื่อที่จะให้ธุรกิจเหล่านั้นเข้าสู่การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ เป็นต้น
ด้านนายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรุงศรี มุ่งมั่นที่จะเป็นธนาคารพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงผ่านการดำเนินงานใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1.การเชื่อมโยงกลยุทธ์และความร่วมมือ ขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ พร้อมใช้ประโยชน์จากเครือข่ายระดับโลกของ MUFG เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และการขยายความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับลูกค้าทั่วทั้งอาเซียน
2.ยกระดับขีดความสามารถการให้บริการทางการเงินด้วย AI ควบคู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
3.พันธกิจด้านความยั่งยืน พร้อมส่งเสริมสังคมที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ยังได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2030 กรุงศรีจึงมีการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืน หรือ SSF ถึง 250,000 ล้านบาทภายในปี 2030 ซึ่งในปัจจุบันกรุงศรีปล่อยสินเชื่อไปแล้วถึง 220,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย ส่วนจะมีการขยายจำนวนการปล่อยสินเชื่อเพิ่มหรือไม่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา
ส่วนอุตสาหกรรมไหนในภูมิภาคอาเซียนสนใจการใช้สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนบ้างนั้น นายเคนอิจิ ระบุว่า มีตั้งแต่ธุรกิจด้านพลังงาน ธุรกิจด้านยานยนต์ ธุรกิจด้านขนส่ง ธุรกิจเคมี รวมไปถึงธุรกิจเกี่ยวกับประมงเพื่อที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลด้วย
"ESG ถือเป็นหัวใจหลักของกรุงศรี และไม่ได้เป็นเพียงแค่นโยบาย ซึ่งในปีที่ผ่านมา กรุงศรีสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อยู่ที่ 9.7 ถึง 10% และยังมีการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งมั่นใจได้ว่าเป้าหมายในการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2030 กรุงศรีจะสามารถทำได้อย่างแน่นอน"
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/254190
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์
https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
Facebook PPTVHD36 :
https://www.facebook.com/PPTVHD36
YouTube :
www.youtube.com/@PPTVHD36
ธนาคารกรุงศรี
ภาษี
ทรัมป์
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย