6 ส.ค. เวลา 05:30 • ปรัชญา
กายที่จิตอาศัยนี้ เป็นเหมือนบ้าน เป็นที่พักของจิต ที่มีคุณค่า .ที่ได้กายนี้มา มีธาตุทั้งสอง ประกอบขึ้นมา ในท้องแม่ บ้างก็มีเวลา อยู่ไม่ทันครบกำหนด ก็หลุดออกท้องแม่ แท้งออกไป ไม่สามารถ โตขึ้นมาจนครบอาการสามสิบสอง
..กายนี้ให้จิตแต่ละดวงมาอาศัย ใช้เวลาอาศัยกายไม่เท่ากัน แล้วกายนี้ ก็เสื่อมสภาพสลายไป กายนี้ มีอารมณ์นึกคิด มีดีใจเสียใจเกิดขึ้น เมื่ออาศัยกายนี้ ก็ต้องรับผิดชอบดูแลกาย ให้ใช้ให้ถูกทาง ใช้ไม่ดี อายุของกายก็น้อยลงไปๆ ที่สุดก็สลายหายไป กายนี้มีพระคุณ ..ใช้สร้างสิ่งดี ก็ได้ดี จิตที่อาศัยกายก็มีความสุข ใช้ไม่ดี .กายก็จะเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน .จิตก็ต้องทุกข์ไปกับกายที่จิตอาศัย
แล้วกายนี้ เมื่ออกจากท้องแม่มา ก็ต้องใช้เวลา เลี้ยงดกายนี้ ให้แข็งแรง ใข้เวลาเรียนรู้ การใช้กายหัดคลาน ยื่น เดิน นั่ง นอน หัดให้คล้องแคล่ว ..หัดเรียนรู้ จดจำ เอาใช้ทำมาหากิน สร้างกรรม ด้วยกายวาจาใจ ที่ใช้กาย ก็มีเวลา ที่กายนี้ แข็งแรง ครบอาการสามสิบสอง ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากนั่น กายนี้ ก็ค่อย เสื่อมสภาพ ไม่แข็งแรงเหมือนตอนเป็นหนุ่มสาว พอเลยวัยหนุ่มสาว สภาพกายก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย .
..บ้างก็เจ็บป่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นเวลาของกายเจ็บกายป่วย ต้องพึ่งคนนั้นคนนี้ มาช่วยอุปถัมภ์ดูแล บางคนก็ไม่ตัวอุปถัมภ์มาเลย ทุกข์ยาก ก็ไม่มีใครมาเกื้อหนุน ให้คลี่คลายทุกข์ไปได้ บางคนแม้ร่ำรวย .มากเงินทอง ..ร่างกายกลับเจ็บป่วย อาการที่เคยครบสามสิบสอง มันก็ไม่ครบ .เหมือนว่า เป็นเวลาของกรรมที่ต้องอาศัยในสังขารที่มีแต่กรรม
แต่นั่น เรื่องเวลา ก็เหมือน มีกำหนดเวลา ถึงเวลาที่ต้องชดใช้ ที่เค้าว่า เจ้ากรรมนายเวรเดินมาตามทัน เคยทำอะไรไว้ ก็ต้องชดใช้ อารมณ์กรรมตัวกระทำ ที่ตนเองเคยสร้างเคยใช้อารมณ์ ไปสร้างกรรม หนีกรรมไม่ได้ . เมื่อกรรมนั่นเกิดขึ้นมา ทำให้กายนั้น ต้องเป็นกายของกรรม จิตก็ต้องอาศัยในกายกรรม ไปจนสิ้นชีพ
โฆษณา