เมื่อวาน เวลา 13:01 • หุ้น & เศรษฐกิจ

‼️สงคราม AI ระอุ! จีนไล่บี้สหรัฐฯ ติดๆ ตำแหน่ง "เจ้าโลก" กำลังสั่นคลอน ศึกเทคโนโลยี–เงินทุน–นโยบาย

กำหนดผู้นำโลกศตวรรษที่ 21
วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องที่ร้อนแรงที่สุดในแวดวงเทคโนโลยีและการเงินตอนนี้ ที่ไม่ว่าใครก็ต้องจับตามอง นั่นก็คือ “ศึกชิงเจ้าแห่ง AI” ระหว่างสองมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนค่ะ
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันทางเทคโนโลยีธรรมดาๆ นะคะ แต่มันอาจจะเป็นตัวชี้วัดเลยว่าใครจะได้เป็นผู้นำโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ มาดูกันดีกว่าค่ะว่าแต่ละฝ่ายมีไพ่เด็ดอะไรในมือบ้าง
นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ จุดประกายให้โลกได้รู้จักกับปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เมื่อเกือบสามปีที่แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีเพียงประเทศเดียวที่ก้าวตามมาติดๆ และพร้อมจะท้าชิงตำแหน่งผู้นำได้ นั่นก็คือประเทศจีน
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง DeepSeek, Alibaba และ Moonshot ได้พัฒนา AI Model ของตัวเองจนมีศักยภาพใกล้เคียงกับค่ายดังจากอเมริกาแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะคะ แต่เป็นเพราะรัฐบาลจีนประกาศให้การเป็นผู้นำด้าน AI เป็นวาระแห่งชาติ มีทั้งเงินสนับสนุนก้อนโต และการสร้างเครือข่ายศูนย์ประมวลผลข้อมูลที่เชื่อมถึงกันทั่วประเทศ
แน่นอนว่าการผงาดขึ้นมาของจีนทำให้ทั้งซิลิคอนวัลเลย์และรัฐบาลสหรัฐฯ นั่งไม่ติด โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงกับต้องออกแผนปฏิบัติการ AI (AI Action Plan) เพื่อลดกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์และหาแหล่งพลังงานให้เพียงพอ ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศกร้าวเลยว่าจะทำ "ทุกวิถีทางเพื่อครองความเป็นผู้นำโลกด้านปัญญาประดิษฐ์"
🔥ด้านเทคโนโลยี: ต้นตำรับปะทะผู้ตามที่รวดเร็ว
จุดเริ่มต้นของยุค AI ที่เราเห็นกันทุกวันนี้มาจากสหรัฐฯ ค่ะ บริษัทอเมริกันเป็นผู้บุกเบิกทั้งชิปประมวลผลขั้นสูงและโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) ที่เป็นหัวใจของแชทบอทอย่าง ChatGPT
นอกจากนี้ ค่ายดังอย่าง OpenAI และ Google ของ Alphabet ก็เป็นผู้เปิดตัวระบบ AI ที่สามารถให้เหตุผล เลียนแบบมนุษย์ สร้างวิดีโอ รูปภาพ และเสียงได้ รวมถึงการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า "เอเจนต์" (Agents) ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการงานที่ซับซ้อนแทนเรา
แต่จีนก็ไม่น้อยหน้าค่ะ บริษัทเทคฯ ของจีนไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว และที่น่าสนใจคือ พวกเขาเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงชิปของสหรัฐฯ แต่นั่นกลับทำให้พวกเขาสร้าง AI Model ที่สามารถทำงานได้มากขึ้นโดยใช้พลังการประมวลผลน้อยลง
และจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือการที่จีนเลือกเดินเกม "โอเพนซอร์ส" (Open-Source) ซึ่งก็คือการเปิดให้ใครก็ได้นำโค้ดหรือโมเดล AI ของพวกเขาไปใช้และพัฒนาต่อได้ฟรีๆ แตกต่างจากค่ายใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง OpenAI หรือ Anthropic ที่เก็บค่าบริการสำหรับโมเดลระดับสูงในราคาหลายร้อยดอลลาร์ต่อเดือนเพื่อนำไปชดเชยต้นทุนการพัฒนาที่มหาศาล
การที่จีนเลือกกลยุทธ์โอเพนซอร์สแสดงให้เห็นว่าพวกเขายอมสละกำไรในระยะสั้น เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่าคือ การทำให้ AI ของจีนถูกนำไปใช้ทั่วโลกและกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศ 5 ปีฉบับที่ 14 ที่ส่งเสริมเทคโนโลยีโอเพนซอร์ส
กลยุทธ์นี้ทำให้แม้แต่ OpenAI ยังต้องหันกลับมาทบทวนแนวทางของตัวเอง และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา OpenAI ก็ได้เปิดตัว AI Model แบบโอเพนซอร์สที่เปิดให้ใช้ฟรีถึง 2 ตัวเลยทีเดียว
🏛️ด้านบทบาทของรัฐบาล: เกมแห่งอำนาจและอิทธิพล
สำหรับทั้งสองประเทศ AI ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ การเมือง และเครื่องมือในการแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ของสหรัฐฯ กล่าวอย่างชัดเจนว่า "เราต้องการให้โลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีของอเมริกา ไม่ใช่ของจีน"
ในขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ก็ออกมาพูดในเชิงเปรียบเปรยว่า AI ไม่ควรเป็น "เกมของคนรวย" ซึ่งเป็นการเหน็บแนมแนวทางที่เน้นผลกำไรของสหรัฐฯ โดยจีนถึงกับประกาศจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศเพื่อดูแลให้ AI ไม่ถูกผูกขาดโดยไม่กี่ประเทศ
รัฐบาลจีนเคลื่อนไหวเร็วมากค่ะ มีการบรรจุวิชา AI ในโรงเรียนประถม จัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในเทคโนโลยีนี้ และอนุญาตให้บริษัทที่รัฐสนับสนุนนำ AI ไปใช้ในหลากหลายด้าน เช่น การตรวจตราพื้นที่สาธารณะ และการเงินดิจิทัล
แต่ในขณะเดียวกัน ระบบการเมืองแบบรวมศูนย์ของจีนก็บังคับให้นักพัฒนาต้องเซ็นเซอร์ผลลัพธ์ในประเด็นที่ละเอียดอ่อน เช่น เหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินปี 1989 หรือประเด็นเอกราชของไต้หวัน
ฝั่งสหรัฐฯ เองก็มีการควบคุมเนื้อหาใน AI เช่นกัน โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารในเดือนกรกฎาคม บังคับให้บริษัทที่มีสัญญากับรัฐบาลต้องพิสูจน์ว่า AI ของตนไม่ได้ "บิดเบือนคำตอบเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์บางอย่าง เช่น DEI (ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม)"
ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์ก็เป็นอีกหนึ่งสนามรบทางกฎหมาย ในสหรัฐฯ หลักการ "การใช้งานโดยชอบธรรม" (Fair Use) ทำให้สามารถนำเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์มาใช้ได้ในบางกรณี แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าหลักการนี้จะใช้กับการพัฒนา AI ได้หรือไม่ ทำให้บริษัทอย่าง OpenAI และ Anthropic กำลังเผชิญกับคดีฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์มากมายจากเจ้าของผลงาน
ในทางกลับกัน ศาลของจีนเคยมีคำตัดสินว่าการนำข้อมูลที่มีลิขสิทธิ์มาใช้ฝึก AI ไม่ถือเป็นการละเมิด ตราบใดที่ไม่ได้นำกลับมาใช้ในรูปแบบดั้งเดิม
ซึ่งนี่เป็นความได้เปรียบที่ทำให้ OpenAI ถึงกับต้องร้องขอให้รัฐบาลสหรัฐฯ ช่วยเหลือ เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างทัดเทียมกับจีน
💰ด้านเม็ดเงินลงทุน: สงครามตัวเลขที่น่าตกใจ
การสร้างและให้บริการ AI นั้นต้องใช้เงินทุนมหาศาลค่ะ ตัวเลขเหล่านี้จะทำให้คุณเห็นภาพชัดขึ้น
ในสหรัฐฯ แค่ครึ่งแรกของปี 2025 สตาร์ทอัป AI สามารถระดมทุนไปได้มากกว่า $100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Google, Meta, Microsoft และ Amazon คาดว่าจะใช้จ่ายเงินลงทุนรวมกัน มากกว่า $344,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้สร้างดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับ AI
หันมาดูที่จีนกันบ้าง ในช่วงทศวรรษก่อนที่ AI จะบูม กองทุนร่วมลงทุนที่รัฐบาลจีนหนุนหลังได้อัดฉีดเงินไปแล้ว ประมาณ $912,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในภาคส่วนที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยเกือบหนึ่งในสี่ของเงินจำนวนนี้ถูกส่งไปยังบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI ถึง 1.4 ล้านแห่ง และในปีนี้ คาดว่าการลงทุนด้าน AI ของจีนจะพุ่งสูงถึง $98,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 48% จากปี 2024 โดยส่วนใหญ่มาจากรัฐบาล ($56,000 ล้านดอลลาร์) และบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ ($24,000 ล้านดอลลาร์)
นอกจากนี้ยังมีกองทุนใหม่ที่อัดฉีดเงินอีก $8,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าไปในโครงการระยะเริ่มต้นอีกด้วย
🧑‍💻 ด้านบุคลากร: สงครามแย่งชิงคนเก่ง (Talent War)
สหรัฐฯ เคยเป็นผู้ครองสนามนี้มาตลอดหลายทศวรรษ โดยดึงดูดนักวิจัยและโปรแกรมเมอร์เก่งๆ จากทั่วโลก ผลงานวิจัยชิ้นสำคัญของ Google ในปี 2017 ที่เป็นต้นกำเนิดของ Generative AI ในปัจจุบัน มีผู้เขียน 8 คน ในจำนวนนี้ 6 คนเกิดนอกสหรัฐฯ และอีก 2 คนก็มีพื้นเพเป็นผู้อพยพ สถิติยังชี้อีกว่า 60% ของบริษัท AI ชั้นนำในสหรัฐฯ มีผู้ร่วมก่อตั้งอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นผู้อพยพ และ 70% ของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในสาขาที่เกี่ยวกับ AI เป็นชาวต่างชาติ
แต่ตอนนี้จีนกำลังพยายามพลิกเกมจากภาวะสมองไหลให้กลายเป็นสมองไหลกลับ โครงการอย่าง "แผนพันผู้มีความสามารถ" (Thousand Talents Plan) ที่เปิดตัวในปี 2008 ได้ดึงดูดนักวิทยาศาสตร์และผู้ประกอบการกว่า 7,000 คน ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีนที่ไปเรียนต่างประเทศ ให้กลับมาทำงานในห้องแล็บและมหาวิทยาลัยของจีนได้สำเร็จ
ในขณะที่บริษัทอเมริกันเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่านั้นเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ชั้นนำ แต่จีนใช้ "ความรักชาติ" เป็นจุดขายที่สำคัญไม่แพ้เรื่องเงิน
⚡️ด้านโครงสร้างพื้นฐาน: ชิป พลังงาน และข้อมูล
จีนได้สร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่งโดยมีรากฐานจากคลังข้อมูลขนาดมหึมาที่รัฐดูแล ซึ่งรวบรวมมาจากโซเชียลมีเดีย กล้องวงจรปิด และธุรกรรมทางการเงิน แต่ข้อเสียเปรียบที่อาจเกิดขึ้นคืออินเทอร์เน็ตที่ถูกปิดกั้นและเซ็นเซอร์อาจทำให้ชุดข้อมูลที่ใช้ฝึก AI ไม่สมบูรณ์ ซึ่งนี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่จีนหันไปเน้นกลยุทธ์โอเพนซอร์ส เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วโลกสามารถนำไปปรับปรุงและเพิ่มข้อมูลของตนเองได้
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของจีนคือการขาดแคลนชิป AI ที่ล้ำสมัย การควบคุมการส่งออกจากฝั่งสหรัฐฯ ทำให้จีนเข้าถึงชิปตัวท็อปของ Nvidia ได้ยากขึ้น แต่ก็กระตุ้นให้จีนหันมาเร่งการผลิตในประเทศอย่างจริงจัง แม้ว่าชิปจาก Huawei และ SMIC ของจีนจะยังไม่ทรงพลังเท่าชิปของ Nvidia แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานในหลายๆ กรณี และถูกนำมาใช้ในการรันระบบ AI มากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนในสหรัฐฯ ประเด็นที่เป็นคอขวดสำคัญคือ โครงข่ายไฟฟ้าที่เก่าแก่และไม่เพียงพอต่อความต้องการพลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ในปี 2024 โดยซีอีโอของ Amazon อย่าง แอนดี้ แจสซี่ ถึงกับบอกว่า "ตอนนี้พลังงานมีไม่พอ" ซึ่งต่างจากจีนที่ในปี 2024 ปีเดียวสามารถเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 429 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าสหรัฐฯ อย่างมหาศาล
🎯 ด้านผู้เล่นในสนาม: ใครเป็นใครในสมรภูมินี้
ฝั่งสหรัฐฯ ผู้นำที่ทุกคนรู้จักดีคือ OpenAI เจ้าของ ChatGPT ตามมาด้วย Google, Anthropic และ xAI ของอีลอน มัสก์ ส่วน Meta ก็กำลังพยายามไล่ตามด้วยการทุ่มเงินจ้างคนเก่งๆ จากคู่แข่ง
ส่วนตลาด AI ของจีนนั้นมีทั้งบริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่อย่าง Baidu, Alibaba และ Bytedance (เจ้าของ TikTok) และดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง Zhipu, Moonshot และ DeepSeek โดยโมเดลอย่าง Ernie ของ Baidu และ Qwen ของ Alibaba ได้ลดช่องว่างกับค่ายอเมริกันในด้านการให้เหตุผลและการเขียนโค้ดได้มากแล้ว
👉🏻 แล้วใครกำลังนำอยู่? จากการจัดอันดับต่างๆ เช่น Chatbot Arena และ Humanity’s Last Exam โมเดลจากฝั่งสหรัฐฯ ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดอยู่ โดยเฉพาะการทดสอบ Humanity’s Last Exam ที่ออกแบบมาเพื่อวัดประสิทธิภาพของ AI ขั้นสูงในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ณ กลางปี 2025 มีเพียง 3 บริษัทที่ทำคะแนนความแม่นยำได้เกิน 20% คือ OpenAI, Google และ xAI ในขณะที่ DeepSeek ของจีนทำได้ 14% และ Qwen ทำได้ 11%
แม้สหรัฐฯ จะยังนำอยู่ แต่ช่องว่างนั้นกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว โดย แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI ได้กล่าวไว้ว่า "มันยากมากที่จะบอกว่าเรานำอยู่ไกลแค่ไหน แต่ผมจะบอกว่ามันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยาวนานนัก"
ทั้งหมดนี้คือ ภาพรวมทั้งหมดของสมรภูมิ AI ที่กำลังดุเดือดค่ะ เป็นการต่อสู้ที่ซับซ้อนและมีเดิมพันสูงมาก ซึ่งผลลัพธ์ของมันจะส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคนอย่างแน่นอนค่ะ ต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว
โฆษณา