6 ส.ค. เวลา 16:59 • หนังสือ

หนังสือ "ถ้าอยู่ได้นานกว่านี้มีอะไรอยากทำบ้างไหมครับ"

นายแพทย์คิมบ๊อมช๊อก เขียน
จารุพรรณ์ สีดาฐิติวัฒน์ แปล
ความตายบอกอะไรเราบ้าง...
บอกเราว่าจงอย่าลืมว่าทุกๆวันสำคัญขนาดไหน
บอกเราว่าเวลามันผ่านไปเร็วจนแทบยัดใส่ความทรงจำไม่ทัน
บอกเราว่าชีวิตมีคุณค่าเกินกว่าจะเสียเวลากับอะไรที่ไม่มีความสุข
บอกเราว่ากำลังใจและความผูกพันคือพลังที่ยิ่งใหญ่
บอกเราว่าอย่าหมดกำลังใจกับความตั้งใจที่ทำมาตลอด
บอกเราว่ามีคนที่รักคุณ (และเกลียดคุณ) มากเท่าไร
บอกเราว่าไม่มีประโยชน์เลยกับการทำอะไรแย่ๆ
บอกเราว่าคำว่าสายเกินไปมีอยู่จริง
บอกเราว่าการรักและทำเพื่อใครสักคนไม่ได้ต้องคิดเยอะขนาดนั้น
บอกเราว่าต่อให้เราเจ็บปวด แต่เราก็ยังหายใจอยู่
บอกเราว่าต่อให้คุณอยากบอกรักแค่ไหน คนจากไปก็ไม่ได้ยิน
บอกเราว่าคนสำคัญจะสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่าที่คุณคิด
บอกเราว่าสุขภาพคือเรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก
บอกเราว่าความตายไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น การมีชีวิตอยู่น่ากลัวกว่า
บอกเราว่าหลังความทรมานคือความเงียบสงบ
บอกเราว่าทุกๆวันเราอาจพบเจอกับความตายได้เช่นกัน
บอกเราว่าถ้าถึงเวลานั้นก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะนะ
ความตายเป็นเพื่อนที่ดีนะ ตามใจให้เราใช้ชีวิตเต็มที่ แต่ก็รอเราอยู่ปลายทางตรงนั้นเสมอ ถึงแม้สำหรับใครบางคนความตายอาจดักรอระหว่างทาง อาจเสียดายเวลาเล่นสนุกกับชีวิตต่อไปบ้าง แต่เรื่องราวของเขาก็จะอยู่ในความทรงจำของใครสักคนตลอดไป ในเมื่อตอนนี้มีโอกาส ใช้ชีวิตให้เต็มที่ สุขเท่าที่สร้างได้ รักเท่าที่ให้ได้ ให้ความสำคัญกับตัวเอง และดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ขอโทษที่หนังสือเล่มนี้ดึงเวลาชีวิตของคุณไป แต่ก็หวังว่าจะทำให้มองเห็นคุณค่าของเวลาที่เหลือมากยิ่งขึ้น (คำนำ สำนักพิมพ์ Bloom หน้า 6-7)
เมื่อวานที่ผ่านมาของใครสักคนอาจส่งผลต่อเราในวันนี้ และวันนี้ของเราก็อาจส่งผลต่อวันพรุ่งนี้ของคนอื่นๆ ชีวิตได้นำพาพวกเรามาเชื่อมโยงถึงกันและกัน ถ้าเรื่องราวชีวิต และความตายของใครบางคนในหนังสือเล่มนี้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆต่อชีวิตอื่นๆได้ ผมคิดว่าสิ่งที่เคยติดค้างเอาไว้กับเหล่าผู้ตายจะได้รับการปลดเปลื้องออกไป ดังนั้น ผมขออุทิศหนังสือเล่มนี้ให้กับคุณด้วยเรื่องราวของความตายที่นำมาซึ่งความหมายของชีวิต (หน้า 12)
ผมพบเห็น "มนุษย์เงินเดือน" ที่หมกมุ่นกับงานอยู่รอบตัวเต็มไปหมด แน่นอนว่าพวกเขาก็คงจะบอกว่าทำเพื่อครอบครัว แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับแตกต่างออกไป เพราะยิ่งเขาทำงานเพื่อครอบครัวมากเท่าไร ครอบครัวก็ยิ่งคิดว่าไม่ได้ทำเพื่อพวกเขามากเท่านั้น สุดท้ายแล้วการมีอยู่ของเขาจะดำรงอยู่ในฐานะเพียงผู้อยู่อาศัยที่หาเงินมาจ่ายค่าเช่าโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว คนประเภทนี้แม้กระทั่งนิสัยที่ใช้ในที่ทำงานก็ยังนำมาใช้กับคนที่บ้านราวกับครอบครัวเป็นลูกน้องอีกด้วย (หน้า 25)
... สำหรับใครบางคนครอบครัวคือคนที่สามารถพึ่งพิงได้มากที่สุด แต่สำหรับใครหลายๆคน บางครั้งก็เป็นภาระและโซ่ตรวนที่ผูกมัดเอาไว้แน่นจนแก้ไม่หลุด (หน้า 47)
... มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเข้าข้างตัวเองเสมอ (หน้า 91)
ตอนแข็งแรงอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อความตายใกล้เข้ามา ความคิดของหลายๆคนก็เปลี่ยนไป ทั้งตระหนักรู้ได้ว่าร่างกายของเรามันไม่ใช่ของเราอีกต่อไปและคิดได้ว่าอย่างไรเสียตายไปร่างกายก็เน่าสลายไปอยู่ดี พอได้รู้ถึงความสำคัญของสุขภาพเมื่อยามป่วย เวลาเห็นคนอื่นป่วยก็มีใจที่อยากจะช่วยเหลือคนเหล่านั้นถ้าหากตนเองทำได้ ในอีกมุมหนึ่ง ถึงผมจะตายผมก็รู้สึกเหมือนกับว่ายังมีชีวิตอยู่ หากส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของผมเป็นชิ้นส่วนเติมเต็มให้กับร่างกายของคนอื่นๆ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจบริจาคอวัยวะ (หน้า 58-59)
... แต่คำว่าครอบครัวนี่แหละที่ทำให้เราไม่รู้จักกันดีมากพอ สำหรับคนที่ไม่รู้จักเรามักทักทายอย่างมีมารยาทและพูดคุยกันเพื่อรู้จักให้มากขึ้น แต่เนื่องด้วยสถานะครอบครัวนั้นเราได้มาตั้งแต่เกิด จึงทำให้คนชอบเข้าใจผิดว่าถึงไม่พูดอะไรก็เข้าใจกัน และเรามักได้รับบาดแผลทางใจได้ง่ายๆตอนที่เวลามีอะไรเกิดขึ้น แต่สุดท้ายจะคิดว่าไม่ต้องทำอะไรหรอกเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง (หน้า 84 - 85)
... เหล่าผู้ป่วยที่อดทนต่อความเจ็บปวดที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะพบความกล้าหาญในการมีชีวิตอยู่แล้วไม่ตาย ณ เวลานั้น (หน้า 92)
"เด็กๆยังเล็กมาก..." ผมจึงบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวล การไม่มีพ่อไม่ใช่ปัญหา แต่การที่ไม่มีใครทำหน้าที่พ่อต่างหากที่ต้องเป็นห่วง และถ้าแม่กับครอบครัวที่เหลืออยู่ทำหน้าที่แทนคนเป็นพ่อได้อย่างดี เด็กๆก็จะเติบโตได้อย่างดีไม่มีอะไรน่ากังวล หากแม้ว่าผู้ป่วยมีชีวิตรอด แต่ถ้าเขาไม่ได้ทำหน้าที่พ่อที่ดีให้กับเด็กๆ ก็คงเป็นเรื่องยากเช่นกันที่เด็กๆจะเติบโตขึ้นได้อย่างที่ควรจะเป็น (หน้า 97)
... ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้เกิดจากสถานะทางสังคมหรือฐานะ แต่เกิดจากทัศนคติหรือมุมมองของตัวเราเองต่างหาก (หน้า 113)
ตอนที่ผมกำลังกังวลเรื่องที่ต้องดร็อปเรียนเพราะไม่มีค่าเล่าเรียน ก็มีรองคณบดีท่านหนึ่งที่รู้เรื่องราวสถานภาพของผมประสานงานเรื่องทุนการศึกษาให้ ถ้าไม่ได้เขาผมคงต้องจบช้ากว่าเพื่อนไปอีกหนึ่งปีแน่ๆ ในขณะที่คนสายเลือดเดียวกันเอาแต่จ้องจะรังควานผม ผมกลับได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดไว้อย่างมากมาย ผมได้เรียนรู้จากบรรดาคนเหล่านี้ว่า "โลกใบนี้ยังมีความรักความอาทรอยู่มากมาย ไม่ได้โหดร้ายทารุณไปเสียทั้งหมด" (หน้า 138)
เขากลับมาเรียนและใช้ชีวิตปกติอีกครั้งหลังจากพักการเรียนไป ไม่มีใครคอยสอนว่าการอยู่บนโลกนี้ต้องทำอย่างไรกับชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆที่เพิ่งจะเอาชนะมะเร็งมา และดีใจที่มะเร็งนั้นหายไป ถึงแม้ว่าจะเรียนจบได้ผลการเรียนยอดเยี่ยมตลอดสี่ปีที่เรียนในกรุงโซล แต่ถ้าไม่ใช่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงโดดเด่นแล้วล่ะก็ สิ่งที่กำลังรอเขาหลังจากจบการศึกษาก็คือหัวข้อการเป็น "เด็กจบใหม่ผู้ว่างงาน" เขาเป็นคนว่างงาน แต่ก็ไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียว เพราะก็มีเหล่าเพื่อนคนอื่นๆส่วนใหญ่ที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ความภาคภูมิใจที่ได้เอาชนะโรคมะเร็งและการทำเคมีบำบัดที่แสนเจ็บปวดทรมานมาได้นั้นไม่มีประโยชน์ต่อความเป็นจริงอันแสนโหดร้าย มันเป็นช่วงเวลาที่แม้แต่คนหนุ่มสาวที่สุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจ ก็ยังหางานยาก ในมุมมองของผู้ประกอบการคือไม่มีเหตุผลที่จะต้องจ้างคนหนุ่มสาวที่ถูกตีตราบนหน้าไว้ว่าเป็นผู้ป่วยมะเร็ง ถ้าไปสมัครงานแล้วถูกจับได้เรื่องสุขภาพในภายหลังก็จะโดนบีบบังคับให้ออกจากงานด้วยเหตุผลส่วนตัว สำหรับคนหนุ่มสาวที่เคยป่วยเป็นโรคมะเร็งแล้วมีบริษัทไม่กี่แห่งหรอกที่จะให้พวกเขาเข้าไปสมัครงานได้... (หน้า 149)
... ผมก็เลยคิดว่าเคล็ดลับของคนที่มีชีวิตยืนยาวก็คือ "การมองโลกในแง่ดีแบบเสมอต้นเสมอปลาย" ผู้ป่วยประเภทนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ยังยิ้มได้เสมอ ไม่ใช่ว่าในระหว่างการรักษาพวกเขาไม่เคยอยู่ในขั้นวิกฤตเลย แต่ด้วยพลังบวกและพลังแห่งความรู้สึกขอบคุณ ทำให้พลังดีๆไหลเวียนทั่วทั้งร่างกาย จะบอกว่าเพียงแค่มองดูจู่ๆก็รู้สึกดีขึ้นมาได้หรือเปล่านะ (หน้า 157)
... เรื่องราวของทั้งสองจึงไม่สามารถจบลงด้วยคำว่า "มีความสุขด้วยกันตราบนานเท่านาน" อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าได้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตกับคนที่รัก และได้ใช้เวลาแห่งความสุขไปด้วยกัน ถึงชีวิตจะไม่ได้ลงเอยด้วย "ความสุขตราบนานเท่านาน" แต่ก็เป็น "ความสุขจวบจนวาระสุดท้าย" ผมคิดว่าเป็นฉากตอนจบที่สวยงามในแบบของมัน (หน้า 165)
... ดังภาษิตโบราณในภาษาละตินที่ว่า "จำไว้ว่าคุณต้องตาย (Memento Mori)" ภาษิตนี้ไม่ได้เหมาะกับการใช้ชีวิตเพียงอย่างเดียว แต่สำหรับความรักก็ต้องจดจำคำนี้ไว้ด้วยเช่นกัน ช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ หากนึกถึงคำนี้ขึ้นมาบ้างก็คงจะเป็นเหมือนสองคนนั้นที่รักกันและทำทุกวันที่เหลือให้ดีที่สุด (หน้า 166)
ในบรรดาผู้คนที่เติมเต็มวันที่เหลือด้วยสีหน้าและคำพูดที่แตกต่างกันออกไป ผมมักจะนึกถึงภาพของพ่อในวันนั้น พอเป็นแบบนั้นความคิดที่ว่าชีวิตเรามันไม่ใช่ของเราก็ได้แล่นผ่านเข้ามาในหัว ภาพของผมที่กำลังประจันหน้าและต่อสู้โรคมะเร็งในวันนี้อาจกลายเป็นพลังงานให้แก่คนในครอบครัวผมของวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าอาจยังไม่เข้าใจในตอนนี้ แต่วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน สักวันที่ครอบครัวเข้าใจในตัวผม เช่นเดียวกับผมที่สามารถเข้าใจพ่อได้มากขึ้นหลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไป (หน้า 171)
"คุณหมอจำผู้ป่วยทั้ง 600 รายได้หมดเลยไหมครับ" คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็ออกมาอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าหนทางที่ดีที่สุด คือการพูดอ้อมแอ้มพอให้ผ่านๆไป ผมจึงยิ้มและถามเขากลับอย่างหยอกเย้า "ถ้าอย่างนั้นคุณก็จำชื่อดวงดาวได้ทั้งหมดเลยหรอครับ" ผมคิดว่าถ้าถามแบบนี้เขาจะขำแล้วปล่อยผ่านไป แต่เขากลับเริ่มเอ่ยปากพูดถึงสิ่งที่เขาอยากพูดจริงๆขึ้นมา "ผมก็เป็นหนึ่งใน 600 คนนั้นด้วยสินะครับ" ผมเดาไม่ได้เลยว่าเป็นคำตอบในแง่ดีหรือแง่ลบ "
สำหรับคุณหมอแล้วผมอาจจะเป็นแค่ 1 ใน 600 ราย แต่สำหรับผมแล้วมีแค่คุณหมอคนเดียวเท่านั้นนะครับ" นี่คือสิ่งที่เขาอยากพูดจริงๆ เขานับจำนวนผู้ป่วยเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเพื่อพิจารณาคำนวณว่าสำหรับอีกฝ่าย ตัวเองอยู่ตรงไหน และสารภาพออกมาว่าสำหรับผมมีแค่คุณคนเดียว จู่ๆผมก็อยากจะถอดเสื้อกาวน์ทิ้งและแทรกแผ่นดินหนี ผมไม่ใช่คนเลิศเลออะไรขนาดนั้นอีกทั้งผมไม่ได้ประกอบอาชีพ "แพทย์" ด้วยจิตวิญญาณอันเสียสละ ที่น่าเคารพ และมีจรรยาบรรณวิชาชีพที่แข็งแกร่ง เป็นแค่ปุถุชนคนทั่วไปซึ่งเลือกประกอบอาชีพนี้ก็เพียงเพื่อหาเลี้ยงชีพ
หมายความว่าผมไม่ใช่คนดีเลิศพอที่จะกลายเป็น "คนเพียงคนเดียวสำหรับใครบางคน" หรือแม้กระทั่งสำหรับคน 600 คน แต่คำที่พูดว่า "1ใน 600 คน" นั้น ได้ฝังลึกอยู่ในหัวของผม "1 ใน 600" และ "คนเพียงคนเดียว" นี่อาจจะเป็นช่องว่างระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยที่เขารู้สึกได้ ต่อหน้าโรคที่สิ้นหวังอย่างมะเร็ง ต้องต่อสู้กับความเป็นความตาย เขาจึงต้องหาที่พึ่งพิง และสำหรับเขาผมกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เหตุผลเดียวเพียงเพราะผมสวมเสื้อกาวน์ เขาทำให้ผมตระหนักถึง "ความไม่สมดุลของ 600 ต่อ 1" และ "ระยะห่าง 600 ต่อ 1" (หน้า177-179)
ในโลกนี้มีสิ่งที่เราต้องได้ลองสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ อาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์คนหนึ่งเล่าว่า เขาเคยลองกินยาที่สั่งให้ผู้ป่วยทั้งหมดด้วยตัวเอง รวมทั้งยังบอกอีกว่า ตอนที่สั่งยา ต้องรู้จริงๆเกี่ยวกับวิธีการออกฤทธิ์ของยา ประสิทธิภาพและผลข้างเคียง การจะทำแบบนั้นได้ต้องตั้งใจเรียนอยู่แล้ว แต่การลองกินเองสักครั้งก็ดีกว่าการเรียนจากในหนังสือเป็นร้อยๆรอบเสียอีก (หน้า 187)
ไม่ว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน การพูดคุยผ่านอุปกรณ์สื่อสารอาจจะดูสะดวกมากกว่าการเผชิญหน้ากับผู้คนโดยตรง แต่การส่งสายตาไปมาและการขยับของหัวคิ้วในระหว่างที่พูด ลมหายใจที่ปล่อยออกมา ปากที่ปิดแน่นสนิท รอยยิ้มที่ดูประหม่า... ความหมายของอากัปกิริยาเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องยากที่จะสามารถถ่ายทอดผ่านทางข้อความแชทในโทรศัพท์มือถือ แม้ว่าจะใส่เครื่องหมายจุดไข่ปลาลงไป หรือจะใช้อีโมจิก็ตาม แต่ข้อความแชทที่ไม่มีเสียงพูด ก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้มากยิ่งกว่านั้น
ในความหมายที่ถ่ายทอดแบบนั้น พวกเราทั้งหัวเราะ ร้องไห้ ได้รับการปลอบใจ และยังทำให้รับรู้ได้ถึงใจจริงของผู้ป่วยอีกด้วย ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนหัวโบราณหรือไม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ ถึงกระนั้นก็ตาม บางครั้งผมเองก็กลัวว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่มีอากัปกิริยาเหล่านั้นในอนาคต (หน้า 201)
ตอนที่ต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถเอาชนะได้ การเปลี่ยนกลยุทธ์การสู้รบย่อมดีกว่าการบุ่มบ่ามเข้าไปสู้ด้วยความประมาท ที่ผมจะสื่อก็คือหากไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ การไม่ยอมแพ้ก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งเช่นกัน (หน้า 203)
ถึงกระนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่เข้าใจในกลยุทธ์แบบนี้ ผู้คนไม่ชอบกลยุทธ์ที่เรียกว่าการดูแลแบบประคับประคองที่ใช้เวลาในการประคับประคองอาการของโรคจนถึงที่สุด โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องขนาดของก้อนมะเร็ง ถ้าหากว่ามีเวลาสองเดือนเท่าๆกัน การรักษาด้วยยาแบบมุ่งเป้าชนิดใหม่จะมีความกระตือรือร้นมากกว่า แต่กับการรักษาแบบประคับประคองผู้คนเมินเฉยจนน่าประหลาดใจ (หน้า 208)
ถึงแม้แพทย์จะบอกว่าคงทำเคมีบำบัดต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ผู้ป่วยหลายๆคนก็หวังให้แพทย์ช่วยรักษาพวกเขาแบบที่สุดของที่สุด ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น แต่ว่าการที่หันไปเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์กับการแพทย์ทางเลือกที่พึ่งพาไม่ได้โดยอ้างว่าเป็นการพยายามอย่างเต็มที่อยู่ หรือการที่ไม่ยอมแพ้ต่อการทำเคมีบำบัด แล้วรักษาตามอาการอย่างไร้ความหมาย แล้วจากโลกนี้ไป
ผมเห็นกรณีแบบนี้มานักตอนนักแล้ว ก็รู้สึกเวทนากับการที่พวกเขาแทบไม่มีช่องว่างพอให้ได้จัดการลงเอยชีวิตที่ยังเหลืออยู่ ได้แต่พยายามและพยายามจนถึงที่สุด กระทั่งได้จากไป ... จากประสบการณ์ของผมแล้วเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็ลำบาก และตอนที่จากไปก็ยังคงลำบากไม่แพ้กัน (หน้า 212-213)
การที่เราจะดูแลใครสักคนได้นั้นต้องเห็นแก่ตัวในระดับหนึ่งก่อนเห็นแก่ผู้อื่น เพราะความเห็นแก่ตัวกับความเห็นแก่ผู้อื่นเปรียบดังเหรียญสองด้าน เราต้องการความเห็นแก่ตัวเพื่อทำให้ตัวเองสบายใจ สามารถดูแลตัวเอง และหาความสงบด้วยตัวเองได้ ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวแบบที่ไม่สนใจใคร เพราะเราต่างเป็นผู้ดูแลให้กับใครสักคนหนึ่งและเป็นผู้ถูกดูแลจากใครสักคนได้เช่นกัน
อย่างแรกเลย เราต้องรักและใส่ใจตัวเองให้ได้เสียก่อน เพราะคนที่จะดูแลตัวเราได้ดีที่สุดมีเพียงตัวเองเท่านั้น พอดูแลใส่ใจตัวเองได้แล้ว เราก็ดีพอที่จะไปดูแลผู้อื่นได้ โปรดระลึกอยู่เสมอว่า "ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน ถึงจะดูแลคนอื่นให้ดีได้" นะครับ (หน้า 249-250)
... ประโยค "ต้องทำได้" กลายเป็นทัศนคติทางสังคมรูปแบบหนึ่งและเกิดค่านิยมที่ต้องอุทิศตนเพื่อสังคมของเรา เราต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม แม้กระทั่งความตายที่รออยู่ตรงหน้า (หน้า 264)
ขณะมีชีวิต เราไม่ได้หลงลืมเพียงแค่ความตายเท่านั้น แต่ในระหว่างมีชีวิต เราก็ทำชีวิตที่แท้จริงหล่นหายด้วยเช่นกัน การที่เรามีลมหายใจอยู่ ณ ตอนนี้ เวลานี้ แต่เรากลับใช้มันโดยไม่ได้สัมผัสถึงคำว่าชีวิตนี้เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ (หน้า 317)
โฆษณา