7 ส.ค. เวลา 00:20 • นิยาย เรื่องสั้น

The Book of Soyga: คัมภีร์ลับแห่งการเรียกวิญญาณและศาสตร์แห่งจักรวาล

The Book of Soyga (หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Aldaraia)
▣ 1. ภูมิหลังและบริบทในประวัติศาสตร์:
“คัมภีร์ที่สูญหายระหว่างเหตุผลและวิญญาณ”
ในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน ระหว่างยุคกลางสู่ยุคใหม่ ช่วงที่มนุษย์ตะวันตกเริ่มโบกมือลาศรัทธาแบบศาสนจักร เพื่อหันหน้าเข้าหาเหตุผล วิทยาศาสตร์ และปฏิรูปความรู้ในนามของ “เรอเนสซองซ์” กลับมีบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่เดินสวนทาง พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธเหตุผล แต่เชื่อว่าเหตุผลที่แท้จริงต้องประกอบไปด้วย การรู้แจ้งจากเบื้องบน ด้วยเช่นกัน
หนึ่งในบุคคลเช่นนั้นคือ John Dee — ชายผู้เป็นทั้งนักคณิตศาสตร์ นักโหราศาสตร์ นักสำรวจ นักปรัชญา และที่สำคัญที่สุด: นักติดต่อกับเทวทูต
ในห้องสมุดส่วนตัวของเขาที่ Mortlake บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ สถานที่ซึ่งเคยรวบรวมหนังสือมากกว่าสามพันเล่ม หนึ่งในนั้นคือหนังสือเล่มเล็ก เล่มเดียว ที่ทำให้ Dee ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต พยายามค้นความหมาย มันคือสิ่งที่ปัจจุบันเรารู้จักในชื่อว่า“ The Book of Soyga”
.
▣ คัมภีร์ไร้นาม: เงาของภาษาที่หายไป
The Book of Soyga หรือ Aldaraia ตามชื่อที่ปรากฏในต้นฉบับบางฉบับ ไม่ได้เปิดตัวด้วยบทนำ ไม่มีชื่อผู้เขียน ไม่ระบุปีที่จัดพิมพ์ และไม่มีแม้แต่คำอุทิศ
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา มันเป็นหนังสือที่ดูราวกับ ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจได้ง่ายนัก ต้นกำเนิดของมันคลุมเครือเหมือนหมอก และไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถยืนยันแหล่งที่มาได้อย่างแน่ชัด ทว่า เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างภายใน ก็พบร่องรอยของศาสตร์หลายสายที่ไหลรวมกันอยู่ในหน้าหนังสือเหล่านั้น ได้แก่:
▫️คาบาลาห์แบบยิว — ศาสตร์แห่งการอ่านจักรวาลผ่านตัวอักษร ฮีบรู และระบบเลขศาสตร์ที่เชื่อว่า คำพูดของพระเจ้าสร้างความเป็นจริง
▫️โหราศาสตร์ — แนวคิดที่ว่าชีวิตและจิตวิญญาณดำเนินตามจังหวะของจักรวาล
▫️ภาษาละตินโบราณแบบเข้ารหัส — ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับมนตราหรือสัญลักษณ์แห่งพลัง
แต่สิ่งที่ลึกลับที่สุด คือ ตารางเวทมนตร์ขนาด 36 คูณ 36 ซึ่งปรากฏในช่วงท้ายของคัมภีร์ ตารางที่เต็มไปด้วยอักษรละติน เรียงกันอย่างไม่มีคำอธิบาย ไม่มีกุญแจ ไม่มีแม้แต่สมมุติฐานที่แน่ชัดว่า มันถูกสร้างขึ้นอย่างไร หรือมีไว้เพื่ออะไร
แม้ดูเหมือนสุ่ม ทว่าในสายตาของผู้เชื่อ นี่คือ โครงสร้างของภาษาที่ถูกลืมไปนานแล้ว ภาษา ที่อาจมีไว้เพื่อสื่อสารกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือมนุษย์ หรืออาจเป็นรหัสที่เปิดทางสู่โลกที่ไม่เคยมีใครเดินเข้าไปได้ โดยไม่สูญเสียบางสิ่งกลับมา
.
▣ Dee และความทะเยอทะยานแห่งสวรรค์
John Dee ไม่ใช่แค่นักปราชญ์ เขาเป็น สื่อกลางระหว่างโลกกับฟ้า ในมุมมองของตัวเขาเอง ในโลกที่ยังไม่รู้จักคำว่า “ฟิสิกส์สมัยใหม่” Dee เชื่อว่าความจริงสูงสุดไม่ได้อยู่ในกล้องจุลทรรศน์ หรือการทดลองเชิงประจักษ์เท่านั้น แต่มันซ่อนอยู่ในเสียงของทูตสวรรค์
และเพื่อจะฟังเสียงนั้นได้ มนุษย์จำเป็นต้องมี “ภาษาแห่งการสื่อสารกับพระเจ้า” ภาษาเอโนเคียน (Enochian Language) ที่เขาอ้างว่าได้รับผ่านการสื่อจิตกับเทวทูต เช่น Uriel, Raphael, และ Michael โดยผ่านตัวกลางคือ Edward Kelley ผู้เป็นนักอัญเชิญวิญญาณ (scryer)
ในปี 1580s Dee ได้แสดงความสงสัยเกี่ยวกับตารางลับใน Soyga เขาจึงทำสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยของเขาไม่อาจจินตนาการได้: เขา “ถามทูตสวรรค์” ว่า Soyga มาจากไหน ใครเป็นผู้เขียน และทำไมเขาจึงไม่อาจเข้าใจมัน
คำตอบจาก Uriel คือ:
“หนังสือนี้ถูกเขียนโดยอาดัม หลังจากถูกขับออกจากสวนเอเดน มันเป็นความรู้ที่ยังไม่ถูกบิดเบือนโดยบาป หรือความเข้าใจของมนุษย์”
Dee จึงเชื่อว่าหนังสือ Soyga คือเศษเสี้ยวของ “ความรู้แห่งยุคก่อนมนุษย์” ความรู้บริสุทธิ์ที่ถูกส่งมาผ่านรหัส เพื่อให้มนุษย์ผู้เหมาะสมเท่านั้นเข้าถึงได้
.
▣ วิทยาศาสตร์แห่งตารางที่ไม่อาจถอด
The Book of Soyga เปิดเผยสิ่งที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำอธิบายธรรมดา เมื่อเราตัดศรัทธาและความเชื่อทางจิตวิญญาณออกไป สิ่งที่ยังคงหลงเหลือและทำให้ผู้ศึกษาต้องตะลึงคือ 36 ตารางเวทมนตร์ขนาด 36x36 ช่อง ซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรละตินรวมกันถึง 46,656 ตัวอักษร
ในแวบแรก รูปแบบของตัวอักษรในแต่ละตาราง ดูเหมือนจะไร้ระเบียบ ไม่สอดคล้องกับระบบภาษาหรือสคริปต์ใดที่เป็นที่รู้จัก ไม่มีหัวข้อกำกับ หรือคำอธิบายชัดเจนบางตารางดูเหมือนสุ่มสมบูรณ์ บางตารางกลับเผยจังหวะและรูปแบบซ่อนเร้นอย่างคลุมเครือในแนวทแยงและรูปทรงเรขาคณิต
นักวิชาการยุคใหม่จึงพยายามถอดรหัส และตั้งสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อย่างหลากหลาย เช่น
บางฝ่ายเชื่อว่า ตารางเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นด้วยรหัสหรืออัลกอริธึม ที่ซับซ้อนก่อนยุคคอมพิวเตอร์ อาจเป็นวิธีการเข้ารหัสขั้นสูงโดยใช้หลักคณิตศาสตร์ลึกลับ
บางความเห็นชี้ว่า อาจมีการนำระบบ gematria หรือเลขศาสตร์ในคาบาลาห์มาใช้ ซึ่งแปลงตัวอักษรเป็นตัวเลขแล้วจัดเรียงตามความหมายเชิงตัวเลข
ขณะเดียวกัน มีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม ตั้งข้อสังเกตว่า ตารางเหล่านี้อาจเป็นกับดักทางจิตวิญญาณ หรือ “ภาพลวงตา” ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อท้าทายหรือขัดขวางผู้พยายามถอดรหัสมากเกินไป
ความซับซ้อนและปริศนาในระดับนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคน เปรียบเทียบตารางใน Soyga ว่าเหมือนกับ “DNA ที่ไม่มีร่างกาย” ชุดรหัสที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่ออ่านหรือแปลความ แต่มีไว้เพื่อ ปลุกปฏิกิริยาในจิตของผู้พบเห็น ปฏิกิริยาที่อาจนำไปสู่ความรู้ที่เกินกว่าความเข้าใจทั่วไป หรือความเปลี่ยนแปลงภายในจิตวิญญาณเอง
.
▣ มรดกที่ยังไม่สมบูรณ์
หลังจากการจากไปของ John Dee ในปี 1609 The Book of Soyga ก็ถูกลืมเลือนไปในห้วงเวลานานเกือบ 400 ปี เสมือนคัมภีร์ไร้นามที่ถูกกลืนหายไปกับหมอกแห่งประวัติศาสตร์ นักล่าคัมภีร์โบราณและนักวิจัยด้านศาสตร์ลึกลับ จำนวนมากต่างพยายามตามรอยและค้นหาคำตอบ ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นกุญแจสู่ความลับของเวทมนตร์ Enochian ที่ Dee ศรัทธาอย่างลึกซึ้ง หรือเป็นประตูสู่ระดับใหม่ของจิตสำนึกมนุษย์
จนกระทั่งในปี 1994 ความลับบางส่วนกลับเผยโฉมขึ้นอีกครั้ง ต้นฉบับสองฉบับของ Soyga ถูกค้นพบโดยบังเอิญ ในสถานที่สำคัญทางปัญญาของโลกยุคใหม่
หนึ่งฉบับถูกเก็บรักษาไว้ที่ หอสมุด Bodleian Library ในมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ อีกฉบับหนึ่งพบใน British Library กรุงลอนดอน
ภายใต้ชื่อดั้งเดิมว่า Aldaraia sive Soyga vocor หรือ “Soyga ที่ข้าถูกเรียก” แม้การค้นพบนั้นจะเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ในวงการประวัติศาสตร์และโบราณคดีศาสตร์ลี้ลับ แต่มนต์สะกดของ Soyga ยังคงไม่จางหายไป
เพราะในยุคแห่งคอมพิวเตอร์ อัลกอริธึม และปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครยังสามารถถอดรหัส 36 ตารางเวทมนตร์ได้อย่างสมบูรณ์ Soyga ยังคงเป็นปริศนา มรดกที่รอคอยการตีความใหม่ ในยุคที่ความรู้และจินตนาการยังคงเดินคู่กันอย่างไม่สิ้นสุด
.
▪️บทส่งท้าย
The Book of Soyga ไม่ได้เป็นเพียงหนังสือเวทมนตร์ที่ถูกลืม แต่คือกระจกที่สะท้อนแรงปรารถนาของมนุษย์จะ รู้ทุกสิ่ง ผ่านภาษา ผ่านรหัส ผ่านพลังที่เหนือคำอธิบาย John Dee เชื่อว่าความรู้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ สร้าง ขึ้นเอง แต่มันคือสิ่งที่มนุษย์ เคยรู้ และลืมไปแล้ว
Soyga จึงเป็นมากกว่าหนังสือ มันคือ ความทรงจำที่ถูกปิดผนึก ความทรงจำที่รอคอยผู้ถอดรหัสที่แท้จริง ไม่ใช่ด้วยสมองของนักคณิตศาสตร์ แต่ด้วยจิตของผู้ที่ ยังจำได้ว่าเราเคยเป็นใคร ก่อนมีภาษา
▣ 2. “คำภีร์แห่งจิต—รหัสของฟ้า”
หากมองจากภายนอก The Book of Soyga อาจดูเหมือนตำรามนตร์อย่างที่พบได้ทั่วไปในยุคกลางตอนปลาย มีทั้งภาษาละตินลึกลับ ผังตาราง แผนผังแนวคิด และสูตรเกี่ยวกับโลกที่ไม่อาจมองเห็น
ทว่าเมื่อพินิจในรายละเอียด โครงสร้างของมันกลับขัดต่อความเข้าใจแบบตำรา เพราะมันไม่มีการแบ่งหมวดชัดเจน ไม่มีเลขหน้า และไม่มีลำดับที่สมเหตุสมผลในทางตรรกะ
Soyga จึงไม่ใช่ “ตำรา” ในแบบที่เราเข้าใจ แต่มันคือ “สนามจิตแห่งรหัสเวท” ที่หล่อหลอมด้วยตรรกะเฉพาะของผู้สร้างมัน และสำหรับผู้เข้าใจเท่านั้น
โดยสรุปแล้ว หนังสือแบ่งได้เป็น สองแกนหลัก:
▪︎ 2.1 คำแนะนำเกี่ยวกับเวทมนตร์
ส่วนต้นของหนังสือ (ก่อนเข้าสู่ตาราง) ประกอบด้วยข้อความภาษาละติน ที่ว่าด้วยวิธีปฏิบัติและปรัชญาเวทมนตร์ในแนว Christian Hermeticism ผสมกับแนวคิดแบบ Kabbalistic โดยเนื้อหาหลักในส่วนนี้ประกอบด้วย:
▩ วิธีเรียกวิญญาณและเทวทูต
ไม่ใช่การเรียกด้วยคำสั่ง หรือการบังคับเหมือนศาสตร์คาถาดำ (Goetia) แต่เป็นการ “เตรียมจิต” ให้พร้อมรับการสำแดง ภาวะดังกล่าว ต้องการทั้งความบริสุทธิ์ทางศีลธรรม การฝึกฝนในศาสตร์คาบาลาห์ และการจัดเตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรมอย่างเคร่งครัด เช่น การบูรณะห้องประกอบพิธี การวาดวงเวท และการตั้งเครื่องหมายดาวจุติ (sigils)
.
▩ การตีความสัญลักษณ์
ผู้เขียนมองว่าสัญลักษณ์มิใช่เพียงตัวแทน แต่เป็น ทางเดินของพลังงานระหว่างโลกต่างมิติ จึงมีการแนะนำวิธีอ่านอักษรในเชิง แนวดิ่ง ไม่ใช่แนวนอน เช่นเดียวกับการอ่านภาษาเทวทูต (Enochian) ที่มักเริ่มจากบนลงล่าง ขวาไปซ้าย เพื่อทำลายตรรกะสามัญ และเปิดประตูสู่จิตใต้สำนึกระดับสูง
.
▩ เวทมนตร์ป้องกันและการอัญเชิญ
ตำราสอนวิธีสร้าง “สนามเรขาคณิตเวท” เพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันจากพลังภายนอก ที่ไม่บริสุทธิ์ และเน้นการอัญเชิญเฉพาะเทวทูตเท่านั้น มิใช่ภูตผีหรือวิญญาณต่ำ เครื่องมือ เช่น หินสื่อ (shewstone), แท่นพิธี, และ แผ่นจารึกโลหะ เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางที่นำไปสู่การอัญเชิญอย่างปลอดภัย
ในมุมของนักประวัติศาสตร์ศาสนา ข้อความเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงร่องรอยของ การผสมระหว่างคริสต์ศาสนาแบบลึกลับกับปรัชญาเพลโตนิก ที่ถือว่าความรู้แท้ต้องมาจากการติดต่อกับ “ต้นฉบับของความจริง” ไม่ใช่เพียงการอนุมานจากประสบการณ์ภายนอก
▪︎ 2.2 ตารางตัวอักษรลับ (Magical Tables)
“36 กระจกแห่งมิติที่ไม่มีภาษาอธิบาย”
ส่วนท้ายของ Soyga คือปริศนาที่ยังไม่ถูกแก้ มันคือชุดของตารางตัวอักษร 36 ตาราง ที่แต่ละตารางมีขนาด 36 คูณ 36 ช่อง รวมทั้งสิ้น 1,296 ช่องต่อตาราง หรือ 46,656 ตัวอักษรรวมทั้งหมด
ตัวอักษรเหล่านี้เป็น อักษรละติน (capital letters) ถูกจัดเรียงในลักษณะคล้ายสุ่ม ไม่มีคำอธิบายประกอบ ไม่มีแถบกำกับหรือคีย์เวิร์ดใด ๆ
▩ โครงสร้างและลักษณะ
ตารางทั้ง 36 ถูกตั้งชื่อตาม “บรรดาทูตแห่งความรู้” ที่ไม่เคยปรากฏในคัมภีร์ศาสนาใดโดยตรง เช่น Balce, Nogah, Elhena
แต่ละตารางมีรูปแบบการเรียงอักษรต่างกัน บางตารางเรียงแนวตั้งเป็นคำที่ดูมีความหมาย บางตารางเป็นกลุ่มอักษรไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจน
นักคณิตศาสตร์ยุคใหม่เสนอว่า ตารางเหล่านี้อาจสร้างขึ้นจาก อัลกอริธึมแบบ pre-modern recursive code ที่สามารถทำซ้ำตนเองแบบเส้นเวลาในแนวรัศมี ไม่ใช่เส้นตรง
.
▩ วัตถุประสงค์ที่ยังไม่ชัดเจน
แม้ในยุคปัจจุบัน นักวิชาการและนักวิจัย ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า ตารางตัวอักษรทั้ง 36 ตารางใน The Book of Soyga มีวัตถุประสงค์หรือหน้าที่อะไรแน่แท้ แต่มีแนวคิดหลักที่ถูกเสนอขึ้นอย่างน่าสนใจ ได้แก่:
1.การเข้ารหัสคำภาวนา (Divine Names)
ตารางเหล่านี้อาจถูกสร้างขึ้น เพื่อซ่อนชื่อของพระเจ้าหรือชื่อแห่งพลังงานสูงสุด (Shemhamphorasch) ซึ่งเป็นชุดชื่อศักดิ์สิทธิ์ในคาบาลาห์ โดยตารางเหล่านี้ อาจทำหน้าที่เป็นรหัสพลังงาน ที่ใช้สำหรับสื่อสารหรือเชื่อมต่อกับทูตสวรรค์ชั้นสูง เป็นเหมือนภาษาลับสำหรับพิธีกรรมที่เข้าถึงโลกแห่งเทวะโดยตรง
.
2.การเรียกหน่วยความรู้ของจักรวาล
บางทฤษฎีเสนอว่าแต่ละตารางอาจแทนที่ “โดเมน” หรือคลังเก็บข้อมูลจิตวิญญาณของจักรวาล ที่จะถูกปลดล็อกด้วยเสียงสวดหรือภาวะจิตเฉพาะอย่างเดียวกันกับแนวคิด “คลังแสงอากาศ” (Akashic Records) ในปรัชญาตะวันออก ที่เชื่อว่ามีการบันทึกข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในระดับพลังงานของจักรวาล
.
3.ระบบเรขาคณิตจิตวิญญาณ (Geometric Invocation System)
นักวิจัยบางคนเสนอว่า ตารางทั้ง 36 อาจทำหน้าที่เหมือน “พิมพ์เขียว” ของโครงสร้างพลังงานจิต ที่คล้ายกับ mandala หรือ yantra ในศาสนาฮินดู ซึ่งต้องใช้การมองและภาวนาในจังหวะเฉพาะ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและการปลุกพลังงานนั้น ๆ
.
แนวคิดทั้งสามนี้ล้วนสะท้อนภาพของ Soyga ที่ไม่ใช่แค่หนังสือธรรมดา แต่เป็นศูนย์รวมของความรู้และพลังงานที่ถูกเก็บรักษาไว้ในรูปแบบของโค้ดลับและโครงสร้างเรขาคณิตที่มนุษย์ทั่วไปยังไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
.
▪️ ระหว่างรหัสและภาวนา:
The Book of Soyga มิใช่เพียงหนังสือเวทมนตร์หรือปริศนาเชิงคณิตศาสตร์ที่รอการถอดรหัสเท่านั้น หากแต่เป็นวัตถุทางประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนความพยายามของมนุษย์ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ที่จะไขความลับแห่งจักรวาล ผ่านแนวคิดที่อยู่ระหว่างศาสตร์และศรัทธา
John Dee ผู้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญแห่งยุคสมัยนั้น เคยกล่าวไว้ด้วยความเชื่อมั่นว่า
“มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นจากดินและแสง”
คำกล่าวนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนภาพกายภาพของมนุษย์เท่านั้น หากแต่หมายถึงการแสวงหาความจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้น “แต่ความจริงที่แท้ไม่อยู่ในดิน และก็ไม่ใช่ในแสง แต่อยู่ในรอยต่อระหว่างทั้งสอง”
ในแง่นี้ The Book of Soyga และตารางเวทมนตร์ทั้ง 36 ตาราง ที่เป็นปริศนาสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ไม่ถูกออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์เข้าใจในเชิงตรรกะหรือภาษาเท่านั้น แต่เป็นเครื่องหมายแห่งความลึกลับที่บ่งบอกว่า มีบางสิ่งในจักรวาลนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อความเข้าใจโดยตรง แต่มีไว้เพื่อให้เรารู้สึก สั่นสะเทือน และมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับพลังบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า
นี่คือบทเรียนเชิงประวัติศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นว่า ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งวิทยาศาสตร์และศาสนาเริ่มปะทะกันอย่างรุนแรง ความพยายามของนักคิดเช่น Dee คือการค้นหาพื้นที่ “ระหว่าง” ความรู้และความศรัทธา ระหว่าง “รหัส” และ “ภาวนา” ซึ่งบางที นั่นอาจคือ เวทมนตร์ที่แท้จริง ที่ไม่อาจจับต้อง แต่สัมผัสได้ด้วยจิตใจ
▣ 3. การหายสาบสูญ และการค้นพบอีกครั้ง
“สิ่งที่หายไปไม่ใช่แค่หนังสือ แต่คือวิธีคิดของยุคสมัย”
เมื่อ John Dee ถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1608 หนังสือ Soyga ก็หายไปจากแวดวงวิทยาการยุโรปอย่างสมบูรณ์ เหลือไว้เพียงร่องรอยจากการบันทึก ในสมุดบันทึกของ Dee เอง ว่าเขา “ได้รับข้อความจากเทวทูต” ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ที่รู้ความหมายของตารางใน Soyga
ประโยคนี้ทำให้มันกลายเป็น ตำนาน แห่งความลึกลับม เป็นเวลานานกว่า 380 ปี ที่ชื่อของ Soyga ไม่มีตัวตนในหอสมุดใด ไม่มีการอ้างถึงในสารานุกรมเวทมนตร์ใด ๆ มันกลายเป็น หนังสือที่ไม่มีใครถืออยู่ แต่มีทุกคนพูดถึง
▩ การกลับมาสู่สายตานักวิชาการ: ปี 1994
การค้นพบเกิดขึ้นจากความพยายามของ Deborah Harkness นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์แห่ง University of Southern California ผู้ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิญญาณยุคเรอเนสซองซ์ และสายเวทมนตร์ในฐานะกระแสความรู้คู่ขนาน กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ขณะเดียวกัน Professor John Reeve, นักภาษาศาสตร์จาก British Library ซึ่งศึกษาเอกสารโบราณภาษาละติน ได้ตรวจพบต้นฉบับอีกฉบับที่เหมือนกันแทบทุกประการ ทั้งสองต้นฉบับอยู่ในหอสมุดสำคัญของอังกฤษ:
▫️ฉบับหนึ่งใน Bodleian Library มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด
▫️อีกฉบับหนึ่งใน British Library กรุงลอนดอน
และทั้งสองถูกเก็บไว้โดยไม่มีใครสังเกตมานานหลายร้อยปี ชื่อหนังสือบนปกคือ
Aldaraia sive Soyga vocor :(Aldaraia, หรือ “Soyga ที่ข้าถูกเรียก”)
ชื่อนี้มีลักษณะคล้าย ภาษาสัญญะทางพิธีกรรม ซึ่งไม่ใช่เพียงชื่อเรียกทั่วไป แต่เป็น การเรียกตัวตนของสิ่งที่หนังสือเป็น ชวนให้คิดว่า “Soyga” อาจไม่ได้เป็นเพียงสิ่งของ แต่เป็น “เอกลักษณ์เชิงมิติ” ที่ถูกเรียกผ่านเสียงหรือตัวอักษร
.
▩ ลักษณะของต้นฉบับที่ค้นพบ
ต้นฉบับของ The Book of Soyga ทั้งสองเล่มที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1994 มีลักษณะและโครงสร้างที่ใกล้เคียงกันอย่างน่าทึ่ง พวกมันเป็น ต้นฉบับที่เขียนด้วยมือ (manuscript) โดยใช้ภาษาละตินยุคกลาง ที่เป็นภาษาสำคัญของงานเขียนทางศาสนาและวิชาการในยุโรปสมัยนั้น
ภายในหน้ากระดาษมีร่องรอยของการใช้งานอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการขีดเส้นใต้เพื่อเน้นข้อความ การแทรกสัญลักษณ์เฉพาะ รวมถึงคำอธิบายประกอบสั้น ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นการบันทึกส่วนตัวของผู้ครอบครองก่อนหน้า
สิ่งที่โดดเด่นที่สุด คือ ตารางลึกลับทั้ง 36 ตาราง ซึ่งปรากฏครบถ้วนในทั้งสองฉบับ รูปแบบของตารางเหล่านี้ตรงตามที่ John Dee เคยกล่าวถึงและศึกษามาแล้วอย่างละเอียด
ส่วนต้นของคัมภีร์ยังระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หนังสือเล่มนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อศึกษาและไขความลับของ รหัสแห่งจักรวาล ผ่านพลังอำนาจของตัวอักษรและเลขศาสตร์
นักประวัติศาสตร์บางรายเสนอว่า ต้นฉบับทั้งสองฉบับนี้ อาจเป็นสำเนาที่ทำขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยกลุ่มนักบวช หรือสมาชิกของกลุ่มลับทางจิตวิญญาณ
กลุ่มเหล่านี้มีความพยายามอย่างสูง ในการปกป้องเนื้อหาของคัมภีร์จากการถูกตรวจสอบและสาปแช่ง โดยศาสนจักรที่เข้มงวดในยุคนั้น ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของความรู้ลึกลับในยุคเรอเนสซองซ์ ที่อยู่ระหว่างแสงสว่างแห่งวิทยาศาสตร์และเงามืดแห่งความเชื่อ
.
▩ คำถามใหม่จากการค้นพบ
การกลับมาของ The Book of Soyga ไม่ได้เป็นเพียงการค้นพบต้นฉบับโบราณ ในรูปธรรมเท่านั้น หากแต่เป็นการเปิดประตูสู่คำถามใหม่ ๆ อันลึกซึ้งในวงการอภิปรัชญาและวิทยาศาสตร์ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา คำถามที่เกิดขึ้นมีหลากหลายและท้าทายความเข้าใจเดิม ๆ ได้แก่:
.
▫️ทำไมจึงมีเพียงสองต้นฉบับที่เหลืออยู่?
แม้จะมีการค้นพบต้นฉบับสองเล่มที่เหมือนกัน แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีฉบับอื่น ๆ ที่หลงเหลือหรือสูญหายไปในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ หรืออาจเป็นไปได้ว่าสองฉบับนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นคู่แฝด ที่ออกแบบมาให้มีความสัมพันธ์และซ้อนทับกัน ในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อรักษาความลับที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหา
.
▫️ทำไมจึงใช้คำว่า “vocor” ซึ่งแปลว่า “ข้าถูกเรียก”?
ชื่อเต็ม Aldaraia sive Soyga vocor แปลได้ว่า “Soyga ที่ข้าถูกเรียก” คำถามสำคัญคือ ใครคือผู้ที่เรียก และการ “เรียกชื่อ” คัมภีร์นี้เป็นการปลดล็อกบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าความหมายในเชิงภาษาหรือไม่? อาจเป็นสัญลักษณ์ถึงเจตจำนงหรือพลังงานที่คัมภีร์นี้มี หรือบ่งบอกถึงการติดต่อกับสิ่งที่อยู่เหนือโลกมนุษย์
.
▫️หนังสือเล่มนี้เป็นแค่ตำราหรือมากกว่านั้น?
แนวคิดที่ว่าคัมภีร์เวทมนตร์ หรือ Grimoire อาจมี “เจตจำนง” หรือ consciousness ของตนเอง เป็นเรื่องที่ปรากฏในตำนานยุโรปหลายแห่ง
The Book of Soyga อาจไม่ได้เป็นเพียงหนังสือที่ถูกเขียนขึ้น เพื่อสอนเวทมนตร์เท่านั้น แต่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิต และส่งผลต่อผู้ที่พยายามเข้าใจหรือใช้มัน ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่าความลึกลับที่แท้จริงของ Soyga อยู่ที่ตัวเนื้อหา หรืออยู่ที่พลังที่แฝงเร้นอยู่ในตัวมันเอง
คำถามเหล่านี้ ยังคงรอการวิจัยและตีความต่อไป เป็นสัญญาณว่ายังมีอะไรซ่อนอยู่ในเงามืดของประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณ ที่มนุษย์ยังไม่สามารถหยั่งรู้ได้โดยง่าย
.
▪️ หนังสือที่ไม่ควรมีอยู่ แต่ยังอยู่
นักภาษาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ บางท่านเคยเปรียบ The Book of Soyga ว่าเป็น “คัมภีร์ที่ถูกหักล้างโดยยุคสมัย แต่ไม่สามารถถูกลืมโดยจิตสำนึกมนุษย์” แม้หนังสือเล่มนี้ จะไม่ได้ถูกพูดถึงหรือนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ก็ยังคงปรากฏขึ้นใหม่ พร้อมกับคำถามและปริศนาที่ไม่เคยมีใครตอบได้อย่างชัดเจน
การค้นพบต้นฉบับในปี 1994 จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การค้นพบวัตถุโบราณเท่านั้น แต่คือการกลับมาของแนวคิดและวิธีคิดแบบ Renaissance Hermeticism
ซึ่งเชื่อมั่นว่า “ความรู้แท้” นั้นไม่ได้เกิดจากการทดลองหรือการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการ ตื่นรู้ และเข้าใจว่า จักรวาลทั้งปวง คือข้อความที่ถูกเขียนไว้ด้วยรหัสลับ และมนุษย์เรา คือผู้ที่ถูกเรียกให้เป็นนักแปลถอดบทกวีอันซับซ้อนนั้น
Soyga จึงไม่ใช่แค่หนังสือเวทมนตร์ธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ระหว่างความรู้และความลึกลับ ระหว่างเหตุผลและความเชื่อ และเป็นเครื่องเตือนใจว่าในทุกยุคสมัย ยังมีความลับที่รอคอยการตื่นขึ้น และการเข้าใจอย่างลึกซึ้งจากจิตใจมนุษย์
▣ 4. ความเชื่อของ John Dee และมิติของจิตวิญญาณ
“Soyga ไม่ใช่เพียงหนังสือ มันคือบทสนทนากับพระเจ้า”
ในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก น้อยคนนักที่ชีวิตจะเป็นรอยต่อระหว่าง วิทยาศาสตร์, เวทมนตร์, และศรัทธาทางจิตวิญญาณ ได้ชัดเจนเท่ากับ John Dee เขาไม่ได้มอง The Book of Soyga ในฐานะตำราพิธีกรรมหรือคัมภีร์เวทมนตร์ธรรมดา แต่เห็นมันเป็น ภาชนะของภาษาสวรรค์ คลังความรู้ก่อนการล่มสลายของมนุษยชาติ
“ถ้าเราจะเข้าใจจักรวาล เราต้องเข้าใจภาษาที่พระเจ้าใช้เขียนมัน”
▩ Dee กับการติดต่อเทวทูต: จิตวิญญาณที่เชื่อมผ่านกระจก
John Dee ไม่ใช่นักไสยศาสตร์พื้นบ้าน หรือหมอผีที่แสวงหาพลังเวทมนตร์ เพื่ออำนาจส่วนตัว หากแต่เขาคือนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ผู้มีบทบาทสำคัญในการแปลคณิตศาสตร์ของ Euclid เป็นภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาของราชินี Elizabeth I และนักคิดผู้พยายามสร้างแบบจำลองจักรวาล ผ่านเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์
แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิต Dee ได้เบนเข้าสู่การปฏิบัติที่เขาเรียกว่า “การติดต่อกับทูตสวรรค์” โดยใช้ กระจก obsidian ซึ่งเป็นหินดำมันวาวที่ได้มาจากวัฒนธรรมแอซเท็ก เป็นสื่อกลางสำหรับการสื่อสาร
ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางทางจิต หรือ medium ในการติดต่อ คือ Edward Kelley — คู่หูและผู้ทำนายของ Dee ที่เชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถรับสารจากสิ่งที่เป็น “ทูตสวรรค์” ได้จริง หนึ่งในชื่อเทวทูตที่ Dee และ Kelley ได้บันทึกไว้บ่อยครั้ง คือ Uriel — อัครเทวทูตแห่งแสง ความรู้ และการเปิดเผย
บันทึกของ Dee ระบุว่า ในระหว่างการติดต่อกับ Uriel เขาได้ตั้งคำถามถึงที่มาของ The Book of Soyga ซึ่งคำตอบที่ได้รับเผยว่า หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นโดย “Adam หลังจากตกจากสวรรค์ และได้รับแรงบันดาลใจจากพระเจ้า”
การติดต่อผ่านกระจก obsidian ของ Dee และ Kelley จึงไม่ใช่เพียงพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการผสมผสาน ระหว่างศาสตร์คณิตศาสตร์ ปรัชญา และจิตวิญญาณ เพื่อไขความลับของจักรวาลและธรรมชาติแห่งความรู้ที่สูงส่งกว่า
.
▩ คำตอบจากสิ่งที่เหนือมนุษย์: Adam, การล่มสวรรค์ และความรู้ที่สูญ
คำตอบจากอัครเทวทูต Uriel ที่ John Dee ได้รับในระหว่างการติดต่อผ่านกระจก obsidian ไม่เพียงแต่เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสะเทือนจิตวิญญาณของ Dee ในระดับลึกที่สุด
Uriel เปิดเผยว่า “Soyga ถูกเขียนโดย Adam หลังการตกจากสวรรค์ เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่ยังคงเหลือจากความเป็นหนึ่งกับพระเจ้า”
แนวคิดนี้สอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับคติความเชื่อในระบบ คาบาลาห์ และ โคนอสติก (Gnostic) ซึ่งถือว่ามนุษย์ เคยอยู่ในภาวะเอกภาพสมบูรณ์กับจักรวาล แต่เมื่อเกิดการตกจากสวรรค์ หรือการพลัดพรากจากความเป็นหนึ่งนั้น ความรู้ดั้งเดิมหรือ Primordial Knowledge ก็ถูกทำให้หล่นหายไป
การตกจากสวรรค์ ในบริบทนี้ไม่ได้หมายถึงโทษอย่างเดียว แต่คือการแยกขาดจากรหัสของภาษาศักดิ์สิทธิ์ ภาษาที่เป็นต้นกำเนิดของจักรวาลและชีวิต
ในสายตาของ John Dee, The Book of Soyga ไม่ใช่แค่ตำราเวทมนตร์ทั่วไ แต่เป็น บันทึกของภาวะก่อนการแยก ที่ยังคงเก็บรักษาความรู้ในระดับสูงสุดเอาไว้ และตารางในหนังสือ ไม่ได้เป็นเพียง “โค้ดมนุษย์” ที่สร้างขึ้นโดยคนธรรมดา แต่เป็น โครงสร้างของภาษาแห่งเทวะ ภาษาที่มีเฉพาะเทวทูตเท่านั้นที่ “ยังคงอ่านได้”
เนื่องจากมนุษย์ทั่วไปได้ลืมเสียง, รูปแบบ และตรรกะของภาษานั้นไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ความเข้าใจนี้จึงทำให้ Soyga กลายเป็นสัญลักษณ์ของความพยายาม ในการกลับคืนสู่รากฐานความรู้แห่งจักรวาล และเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่สูงส่งกว่าที่พ้นขอบเขตของเหตุผลและภาษาในโลกธรรมดา
.
▩ ความเชื่อใน Angelic Revelation: แกนกลางของศาสตร์ Enochian
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างศาสตร์เก่าและวิทยาศาสตร์ใหม่ John Dee และ Edward Kelley ได้ร่วมกันวางรากฐาน ของสิ่งที่ภายหลังถูกเรียกว่า Enochian Magic — ระบบที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักความเชื่อพื้นบ้านหรือเวทมนตร์ เพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่เป็นความพยายามที่ทะเยอทะยานในการ “คืนภาษาศักดิ์สิทธิ์แก่มนุษย์”
หัวใจของระบบนี้คือ ความเชื่อใน Angelic Revelation หรือการเปิดเผยแห่งเทวทูต ซึ่ง Dee เชื่อว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์เคยได้รับในอดีตกาล ก่อนที่จะ “ตก” จากสภาวะร่วมกับจักรวาล ไม่ใช่แค่ภาษาธรรมดา แต่เป็นภาษาแห่งการสร้าง เป็นโครงสร้างของความจริงที่โลกนี้ถูกก่อกำเนิดขึ้นจากมัน
เขาและ Kelley เชื่อว่ามนุษย์ยังสามารถติดต่อกับ อาณาจักรแห่งทูตสวรรค์ ได้ ไม่ใช่ผ่านคำอ้อนวอน หรือพิธีกรรมซ้ำซาก แต่ผ่าน การปรับจิตให้สอดคล้องกับสนามของการรู้แจ้ง
จากการติดต่อเหล่านั้น Dee ได้บันทึกสิ่งที่กลายเป็นองค์ประกอบหลักของ Enochian Magic:
•การแผ่พลังจักรวาล (Emanation) ที่คล้ายแนวคิดในคาบาลาห์
•เทวทูต 49 องค์ ที่มีลำดับชั้นและฟังก์ชันเฉพาะในโครงสร้างของสภาวะเหนือธรรมชาติ
•ผังเรขาคณิตของ 30 Aethyrs หรือภูมิเร้นลับแห่งสติ ซึ่งเรียงตัวเป็นระบบโลกทิพย์ที่ขนานกับจักรวาลเรา
ทุกสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงจินตนาการ แต่เป็นความพยายามถอดรหัส โครงสร้างของความเป็นจริงในระดับจิตวิญญาณ พวกเขาเชื่อว่าภาษาของเทวทูตคือเครื่องมือหนึ่งในการสั่นสะเทือนร่วมกับจักรวาล และ The Book of Soyga ก็คือหนึ่งในประตูที่นำไปสู่เส้นทางนั้น ประตูที่ไม่มีบานเปิด แต่ต้อง “สั่นรับ” ด้วยจิตที่ถูกเตรียม
.
▩ ความรู้ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในโลกของ John Dee ความรู้ไม่เคยเป็นเพียงผลผลิตจากปัญญามนุษย์ หรือสิ่งที่ได้มาจากการสังเกตธรรมชาติ เขามองความรู้ในฐานะสิ่งมีชีวิต เป็นพลังที่มีจิตวิญญาณ มีต้นกำเนิดจากแสงแห่งพระเจ้า และดำรงอยู่เหนือขอบเขตของภาษาและตรรกะใด ๆ
สำหรับ Dee หนังสือไม่ใช่แค่เครื่องมือของการบันทึก แต่คือ ภาชนะแห่งเศษแสงจากพระผู้สร้าง และบางเล่ม อย่าง The Book of Soyga — ก็ไม่ใช่เพียงหนังสือธรรมดา แต่มันคือเศษซากจาก “สวนเอเดน” ที่หลงเหลืออยู่หลังการตกจากสวรรค์
ด้วยเหตุนี้ การอ่าน Soyga จึงไม่ใช่กระบวนการของ การเรียนรู้ แต่คือการ จดจำ ไม่ใช่เพื่อเสริมเติมสิ่งใหม่ แต่เพื่อปลุกเร้าสิ่งที่เคยมี ความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ในชั้นจิตวิญญาณของมนุษย์ ก่อนโลกจะเริ่มต้น
Dee เชื่อว่ามีบางสิ่งในมนุษย์ที่ยังไม่ลืมสิ่งนั้น และการสั่นสะเทือนของตาราง 36 ตารางใน Soyga อาจคือรหัสที่กระตุ้นให้มันตื่นขึ้น
นี่คือแนวคิดที่สะท้อนจิตวิญญาณของยุคเรอเนสซองซ์ ยุคที่ความรู้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในห้องแล็บ แต่ไหลเวียนอยู่ในพิธีกรรม ภาษาศักดิ์สิทธิ์ และการภาวนา และในสายตาของ Dee ความรู้คือ แสงที่ตกค้าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์ไม่มีสิทธิ์สร้าง แต่มีสิทธิ์ “ระลึกถึง” ถ้าจิตนั้นเปิดรับพอ
.
▪️ Soyga: ความรู้ที่ไม่ถูกเขียนด้วยมือมนุษย์
ในบรรดาคัมภีร์ลึกลับแห่งยุคเรอเนสซองซ์ ไม่มีเล่มใดทิ้งร่องรอยอันแปลกประหลาดเท่ากับ The Book of Soyga — หนังสือที่ไม่ควรมีอยู่ แต่ยังคงมีอยู่
แม้ในยุคของปัญญาประดิษฐ์และวิทยาการสมัยใหม่ ไม่มีใครสามารถถอดรหัสตารางทั้ง 36 ได้อย่างสมบูรณ์ ตารางที่อาจมีไว้เพื่อซ่อนชื่อของพระเจ้า เรียกพลังงานจากแหล่งความรู้จักรวาล หรือแม้กระทั่งทำหน้าที่เป็นพิมพ์เขียว ของเรขาคณิตจิตวิญญาณ
และแม้ไม่มีใครเข้าใจตารางเหล่านี้ อย่างถ่องแท้ แต่พวกมันยัง สั่นสะเทือน อยู่ในจิตใจของผู้พยายามเข้าใกล้ เพราะมันอาจไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เข้าใจ แต่เพื่อให้มนุษย์ยอมรับว่า บางสิ่งในจักรวาลไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เพื่อเข้าใจ แต่เพื่อร่วมสั่นสะเทือนกับมัน และนั่นอาจคือเวทมนตร์ที่แท้จริง
ภายในบันทึกของ Dee เอง มีร่องรอยการติดต่อกับ “สิ่งที่อยู่เหนือมนุษย์” โดยเฉพาะกับเทวทูตที่ปรากฏผ่าน medium นามว่า Edward Kelley ทั้งสองใช้ “กระจก Obsidian” ของชาวแอซเท็กเป็นสื่อกลาง หนึ่งในนามที่ปรากฏคือ “Uriel” — อัครเทวทูตแห่งแสงและความรู้
และเมื่อ Dee ถามถึงต้นกำเนิดของ Soyga คำตอบของ Uriel ก็กระแทกใจของเขา:
“Soyga ถูกเขียนโดย Adam หลังการตกจากสวรรค์ เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่ยังคงเหลือจากความเป็นหนึ่งกับพระเจ้า”
คำตอบนี้เชื่อมโยงกับแนวคิดกนอสติกและคาบาลาห์ ที่เห็นว่ามี Primordial Knowledge หรือความรู้ดั้งเดิม ซึ่งหล่นหายไปพร้อมกับการแยกตัวของมนุษย์ออกจากความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
Dee ไม่มองตารางเหล่านี้ว่าเป็นโค้ดของมนุษย์ แต่เป็น “ภาษาแห่งเทวะ” ที่มนุษย์ไม่สามารถอ่านได้อีกต่อไป เว้นแต่จะได้รับการเปิดจากฝั่งของสวรรค์
ระบบภาษาและพิธีกรรม Enochian ที่ Dee และ Kelley สร้างขึ้น ก็ถือกำเนิดจากการพยายามฟังเสียงนั้น เสียงที่อ้างว่ามาจากเทวทูตทั้ง 49 องค์ การเปิด Aethyr ทั้ง 30 ชั้น และผังเรขาคณิตแห่งจักรวาล ล้วนคือความพยายามจะรำลึกถึงสิ่งที่ “เคยรู้ ก่อนเวลา”
และนี่คือหัวใจของแนวคิดเรอเนสซองซ์เฮอร์เมติก ที่เห็นว่าจักรวาลคือข้อความอันศักดิ์สิทธิ์ ถูกเขียนไว้ด้วยรหัส ความรู้แท้ไม่ใช่ผลของการทดลอง แต่เป็นผลของ การตื่นรู้
John Dee จึงไม่ใช่นักไสยศาสตร์ที่หลงผิด แต่เป็นตัวแทนของยุคที่ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ศาสนา และเวทมนตร์ ยังไม่ถูกแยกจากกัน เขาไม่พยายามควบคุมเทวะ แต่พยายาม ฟัง เขาไม่เปิดหนังสือเพื่อควบคุมโลก แต่หวังให้หนังสือ เปิดเขา เพื่อให้เขากลายเป็นผู้อ่าน ภาษาของพระผู้สร้าง อีกครั้ง
และนั่นคือเหตุผลที่แม้เวลาผ่านไปหลายร้อยปี Soyga ยังไม่เคยเงียบไปจริง ๆ มันยังอยู่ ในรูปของคำถาม และในเงาสะท้อนของผู้ที่ยังเชื่อว่า จิตที่รู้ คือกระจกของพระเจ้า
▣ 5. ความลึกลับที่ยังไม่ถูกไข
“Soyga ไม่ใช่แค่หนังสือที่ยังไม่มีคนอ่านออก มันอาจเป็นหนังสือที่มนุษย์ไม่มีสิทธิ์อ่าน”
หากคัมภีร์ทางศาสนาเป็น “ประตู” สู่สัจธรรมแห่งสวรรค์ The Book of Soyga กลับเป็นเหมือน “หน้าต่างกระจกฝ้า” เปิดเผยแสงเร้นลับที่เรา มองเห็นแต่ไม่อาจเข้าใจ
แม้ผ่านการวิเคราะห์โดยนักคณิตศาสตร์และนักปรัชญาในยุคปัจจุบันหลายคน แต่เนื้อหาส่วนสำคัญของหนังสือ โดยเฉพาะ 36 ตารางตัวอักษร ยังไม่สามารถตีความได้อย่างแน่ชัด
▩ Soyga: รหัสที่ไม่มีวันอ่านออก หรือการทบทวนเสียงที่ไม่มีผู้พูด
ไม่มีหนังสือใดในยุคเรอเนสซองซ์ที่ลึกลับเท่า The Book of Soyga — ตำราโบราณที่หายไปจากความทรงจำของมนุษย์เกือบ 400 ปี ก่อนจะกลับมาปรากฏอีกครั้งในปลายศตวรรษที่ 20 ราวกับเสียงสะท้อนจากการตื่นรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์
หนังสือที่ John Dee เคยถามถึงต้นกำเนิดจากเทวทูต และได้รับคำตอบว่า: มันถูกเขียนโดย Adam หลังจากการตกจากสวรรค์ เพื่อเก็บความรู้บางประการที่ยังหลงเหลือจากสภาพแห่งความเป็นหนึ่งกับพระเจ้า
หัวใจของความลึกลับนั้นอยู่ที่ “ตารางตัวอักษร” ทั้ง 36 ตาราง ซึ่งแต่ละตารางมีขนาด 36x36 ช่อง รวมทั้งหมด 46,656 ตัวอักษร
ตัวอักษรละตินธรรมดา ที่ถูกจัดเรียงอย่างไม่มีแบบแผน ไม่มีคำ ไม่มีไวยากรณ์ ไม่มีการแบ่งแถวหรือหัวข้อ เป็นเพียงโครงสร้างที่ดูเหมือนมีจังหวะบางอย่างที่ถูกปิดบังไว้ ราวกับเพลงที่ไม่มีผู้เล่น แต่ยังคงสั่นสะเทือนในจิตของผู้ฟัง
นักวิชาการร่วมสมัยที่พยายามเข้ารหัส ต่างเชื่อว่าตารางเหล่านี้ น่าจะถูกสร้างขึ้นจากอัลกอริธึมบางอย่าง เพียงแต่เรา “ยังไม่มีแนวคิดที่เข้าถึงมันได้”
บ้างเสนอว่าอาจเป็นระบบ Gematria แบบคาบาลาห์ ที่แต่ละตัวอักษรมีค่าตัวเลข และความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ ในความสัมพันธ์ระหว่างตาราง บ้างเชื่อว่าเป็น vibrational names — การเรียงตามคลื่นเสียงของเทวทูต บ้างเสนอว่าตารางทำหน้าที่เป็นพิกัดทางจิต ใช้ปลุกเรียกพลัง หรือเรียกคืนกฎแห่งธาตุที่สูญสลายไปจากโลกภายนอก
แต่ไม่เคยมีข้อใดให้คำตอบที่สมบูรณ์ ไม่มีใคร “อ่าน” ตารางได้ บางทีเพราะมันไม่เคยถูกออกแบบมาให้ อ่าน แต่เพื่อให้ “บางอย่างในจิตของผู้มอง” ถูกเรียกให้ตื่นขึ้น
การค้นพบ Soyga ในปี 1994 จึงไม่ใช่เพียงการเจอวัตถุโบราณ แต่มันคือ “การกลับมาของวิธีคิดแบบเรอเนสซองซ์เฮอร์เมติก” วิธีคิดที่ไม่แยกวิทยาศาสตร์ออกจากศิลปะ ไม่แยกศาสนาออกจากเวทมนตร์ และเชื่อว่า “จักรวาลคือข้อความ” ที่ถูกเขียนไว้ด้วยรหัส มนุษย์จึงมีหน้าที่ไม่ใช่เพียงเรียนรู้ แต่ ฟัง
John Dee เองก็เป็นตัวแทนของยุคสมัยนั้นอย่างสมบูรณ์ เขาเป็นทั้งนักคณิตศาสตร์ ผู้แปล Euclid เป็นอังกฤษ นักสร้างแบบจำลองโลกผ่านเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์ ที่ปรึกษาราชินี Elizabeth I และเป็นผู้ที่เชื่อว่า ความรู้ที่แท้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น แต่เป็น “สิ่งมีชีวิต” ที่มีต้นกำเนิดในแสงแห่งพระเจ้า
ดังนั้นหนังสือ Soyga จึงไม่ใช่ตำราหรือเครื่องมือ แต่มันคือ เศษของแสง เศษจาก Eden ที่ยังตกค้างอยู่ในรูปของตาราง และการอ่านมัน คือการทบทวนสิ่งที่ “เราเคยรู้ ก่อนโลกจะถูกสร้าง”
Dee ไม่อ่านมันเพื่อควบคุมพลัง แต่หวังให้ตารางเหล่านั้น “เปิดเขา” ให้กลายเป็นผู้อ่านภาษาแห่งพระผู้สร้างอีกครั้ง และเมื่อเขาติดต่อกับเทวทูตผ่าน Edward Kelley ด้วยกระจก Obsidian แห่งแอซเท็ก
สิ่งที่เขาได้รับไม่ใช่คำตอบแนวทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเปิดเผยทางจิตวิญญาณ ที่กลายมาเป็นระบบ Enochian อันซับซ้อน ซึ่งมีทั้งภาษา ผังเรขาคณิตจักรวาล และโครงสร้างการสื่อสารกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์
ในสายตาของ Dee การรู้ ไม่ได้เกิดจากข้อมูล แต่เกิดจากการ จดจำ การกลับไปสู่สิ่งที่เคยรู้ในสภาพแห่งการเป็นหนึ่ง เพราะเขาเชื่อว่า จิตที่รู้ คือกระจกของพระเจ้า และนั่นคือเหตุผลที่แม้จะผ่านไปกี่ศตวรรษ ไม่มีใครสามารถถอดรหัสตารางทั้ง 36 ได้ แต่ Soyga ก็ยังคงถูกพูดถึงอยู่เสมอ เหมือนรอยสั่นของเสียง ที่ไม่มีใครได้ยิน แต่ยังหลงเหลือแรงสะเทือนอยู่ในเงาแห่งมนุษย์
.
▩ แพตเทิร์นที่ไม่มีเหตุผล: หรือมันไม่ได้เขียนโดยมนุษย์?
ในทุกหน้าของ Book of Soyga ที่ปรากฏตารางอักษรทั้ง 36 ตารางนั้น ไม่มีผู้ใดในยุคกลางหรือยุคปัจจุบันสามารถอธิบายได้ว่า รูปแบบเหล่านั้นถูกสร้างขึ้น โดยกระบวนการใด
บางตารางมีอักษรที่หมุนวนเป็นวงกลม บางตารางมีแนวทแยงที่เหมือนจะซ้ำกัน แต่ไม่ซ้ำจริง บางตารางดูเหมือนจะมีจังหวะของเสียงแฝงในโครงสร้างของการจัดเรียง
แต่ไม่มีวิธีใดในโลกที่สามารถพิสูจน์ว่าการเรียงเหล่านั้น ตั้งอยู่บนหลักใดของตรรกะทางคณิตศาสตร์หรือภาษาศาสตร์ ไม่มีคำ ประโยคหรือระบบไวยากรณ์ ไม่สามารถแปล ไม่สามารถถอดรหัส และไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นภาษาจริงๆ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุของการจดบันทึก
แต่ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือ แม้จะไร้ซึ่งกุญแจสำหรับไข แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มีบางอย่างกำลังซ่อนอยู่ในนั้น เหมือนจังหวะที่ไม่อาจนับได้ แต่ได้ยินอยู่ลึกๆ เหมือนความหมายที่ไม่สามารถพูดออกมา แต่มีอยู่ในรูปทรงของความเงียบ
ความรู้สึกนั้นเองที่ทำให้มีผู้เสนอว่า ตารางใน Soyga อาจไม่ได้ถูก “เขียน” โดยมนุษย์ในความหมายทางวัตถุ แต่ถูกส่งผ่าน “แรงดลใจ” ที่ไม่เกี่ยวกับภาษาหรือสติปัญญาในแบบมนุษย์
บางคนเรียกมันว่า divine transmission บ้างก็ว่าเป็นภาษาก่อนคำพูด เป็นร่องรอยที่เหลืออยู่จากยุคที่มนุษย์ยังไม่แยกจากจักรวาล ยังไม่มีความเป็น “ผู้รู้” หรือ “ผู้เขียน” แต่มีเพียงจิตหนึ่งเดียวที่ร่วมสั่นสะเทือนกับจิตจักรวาล
หากเป็นเช่นนั้นจริง ตารางใน Soyga ก็ไม่ใช่ภาษาที่เราจะอ่าน หากแต่เป็นแบบแผนที่เราต้อง “จำได้” ผ่านภาวะจิตที่เหมาะสม และการอ่านมัน จึงไม่ใช่การถอดรหัส แต่คือการกลายเป็นสิ่งเดียวกับมัน คือการหยุดเป็นผู้สังเกต แล้วปล่อยให้แบบแผนที่อยู่เหนือคำพูดนั้น ทำงานกับสนามแห่งจิตโดยตรง
และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม Dee ถึงไม่เคยพยายาม “แปล” ตารางเหล่านี้ ในแบบนักวิทยาศาสตร์หรือภาษาศาสตร์ แต่กลับใช้การภาวนา การฟัง และการปล่อยตัวเองให้กลายเป็นผู้น้อมรับเสียงที่อยู่หลังอักษร เสียงที่ไม่มีเสียง ความรู้ที่ไม่มีคำ และโครงสร้างที่ไม่มีตรรกะ
เพราะสิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้มีไว้ให้เข้าใจ แต่อาจมีไว้ให้ “จำได้” ว่าเราเคยเป็นส่วนหนึ่งของมัน ก่อนที่ภาษา ความรู้ และเหตุผล จะกลายเป็นสิ่งกีดขวางระหว่างมนุษย์กับจักรวาล
.
▩ ความเงียบของผู้เขียน: เมื่อไม่มีคำอธิบาย ก็ไม่มีขอบเขต
ในหมู่ grimoires ที่ปรากฏขึ้น ในช่วงปลายยุคกลางถึงต้นยุคเรอเนสซองซ์ Book of Soyga กลับโดดเด่นด้วยสิ่งที่มัน ไม่พูด มากกว่าสิ่งที่มันกล่าวไว้ เพราะต่างจาก Key of Solomon, Ars Notoria หรือแม้แต่ Liber Juratus ซึ่งมักแนบคำอธิบาย ข้อควรปฏิบัติ และวิธีการเรียกใช้เวทมนตร์อย่างชัดเจน
Soyga กลับวางตารางลึกลับทั้ง 36 ตารางลงไว้โดยปราศจากคำแนะนำแม้แต่น้อย ไม่มีการบอกว่าควรอ่านจากมุมไหน ใช้ออกเสียงอย่างไร หรือแม้แต่ควรใช้ในพิธีใด สิ่งนี้สร้างความเวียนหัวให้กับนักตีความในทุกยุคสมัย เพราะเมื่อไม่มีคำอธิบาย หรือขอบเขต เมื่อไม่มีกรอบ จุดยึด และนั่นทำให้ Soyga ไม่ได้มีสถานะเป็น “ตำราเวทมนตร์” ในความหมายปกติ แต่มันกลายเป็น วัตถุลึกลับที่บังเอิญอยู่ในรูปของหนังสือ
บางสิ่งที่อาจไม่เคยถูกเขียนมาเพื่อเรา ไม่เคยมีจุดประสงค์ให้มนุษย์ “ใช้งาน” มันเลยด้วยซ้ำ นักเวทบางรายในยุคปัจจุบันจึงเสนอว่า: บางที Soyga คือบันทึกภายในของสิ่งเร้นลับ ไม่ใช่เพื่อถ่ายทอด แต่เพื่อดำรงอยู่ และเราเป็นเพียงสายตาที่บังเอิญไปพบเห็นมัน โดยที่ไม่รู้ว่าเรากำลังแอบมองบทสนทนาระหว่าง “บางสิ่งที่สูงกว่า” กับ “อีกสิ่งที่สูงกว่านั้น” ต่างหาก
เปรียบเหมือนเราเปิดสมุดบันทึกของพระเจ้า ในช่วงที่พระองค์กำลังสนทนากับกฎของจักรวาล แล้วเข้าใจผิดคิดว่าสมุดนั้นเขียนขึ้นเพื่อเรา เราจึงไม่อาจอ่านมัน ไม่ใช่เพราะมันซับซ้อนเกินไป แต่เพราะมัน ไม่เคยเขียนขึ้นเพื่อให้ถูกอ่านในแบบของเราเลยตั้งแต่แรก
และนั่นคือเหตุผลที่ว่า: ยิ่งเราเพ่งมองมันในกรอบของมนุษย์ เราก็ยิ่งห่างจากเสียงจริงที่แทรกอยู่ในความเงียบของมัน เพราะเสียงนั้น ไม่ได้อยู่ในคำอธิบาย แต่อยู่ในการ ไม่มีคำอธิบายเลยแม้แต่น้อย
.
▩ จากหนังสือ สู่โค้ดจิตวิญญาณ: ถ้าเราไม่สามารถแปลได้ด้วยปัญญา จะต้องฟังด้วยอะไร?
ในท้ายที่สุด Soyga ไม่ได้วางคำถามไว้แค่ในระดับ “มีความลับอะไรซ่อนอยู่ในตารางตัวอักษร” หากแต่ตั้งคำถามกลับมายังตัวผู้อ่านเอง ว่า มนุษย์มีศักยภาพเพียงพอหรือไม่ ที่จะเข้าใจสิ่งที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เข้าใจผ่านปัญญา?
เพราะบางทีเราอาจใช้ “ภาษาผิดรูป” เพื่อแปลความเงียบที่ไม่ต้องการคำตอบ บางทีเรากำลังพยายามถอดรหัสสิ่งที่ไม่ใช่รหัส แต่เป็น “เศษความทรงจำของจิตจักรวาล” ซึ่งหล่นลงมาในรูปของอักษรที่ไม่มีความหมายในเชิงไวยากรณ์ แต่ยังคงสั่นสะเทือนในเชิงจิตวิญญาณ
John Dee เคยเชื่อว่า เฉพาะทูตสวรรค์เท่านั้น ที่ยังคงเข้าใจตารางเหล่านี้ เพราะพวกเขายังไม่ถูกแยกขาดจากเสียงของแสงต้นกำเนิด ขณะที่มนุษย์ได้หลงลืมไปแล้วว่าภาษาคือสิ่งที่ตามมาภายหลัง ไม่ใช่เครื่องมือแรกของการเข้าใจจักรวาล แต่เป็นผลพลอยได้จากการแยกออกจากเอกภาพ
บางทีตาราง 36 ตารางใน Soyga จึงไม่ใช่ “ข้อความ” แต่คือ โค้ดแห่งความทรงจำของจักรวาล เสมือนโครงสร้างการจดจำที่ไม่ต้องใช้คำ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง: หากเราไม่สามารถ “เข้าใจ” มันด้วยปัญญา บางทีเราควร “จำ” มันด้วยจิตที่เงียบพอที่จะไม่แปลมัน แต่ฟังมันในความเงียบแบบเดียวกับที่โลกเคยฟังเสียงแรกของจักรวาล เสียงที่ไม่มีภาษา แต่มีโครงสร้างของการรับรู้ที่ไม่มีคำ
.
▪️ ข้อสรุป
The Book of Soyga ไม่ใช่ปริศนาที่รอการถอดรหัสในแบบที่เราเข้าใจ แต่มันคือสิ่งที่อาจไม่เคยถูกออกแบบมาให้มนุษย์ มีสิทธิ์ ถอดรหัสตั้งแต่แรก
การเฝ้ามองอักษรนับหมื่นที่ไม่ก่อให้เกิดคำ การจ้องตารางที่ไม่มีคำอธิบาย การพยายามแปลข้อความที่ไม่มีผู้เขียน ล้วนแต่สะท้อนบางสิ่งที่ลึกยิ่งกว่าความลึกลับของเวทมนตร์ นั่นคือ ความจำกัดของความรู้ในฐานะเครื่องมือของมนุษย์
เพราะหากมีสิ่งใดที่ตาราง 36 ตารางสื่อสารอยู่จริง มันอาจไม่ได้พูดด้วยถ้อยคำ แต่มันอาจสั่นสะเทือนในระดับที่ต่ำกว่าเสียง และลึกกว่าความคิด ระดับที่เราเคยเข้าใจเมื่อนานมาแล้ว แต่ลืมไปเมื่อเรารู้จัก “การให้ความหมาย” และลืมวิธีการ “ฟัง” บางที การไม่เข้าใจ ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือการยอมรับจังหวะของจักรวาล
บางทีเวทมนตร์ที่แท้จริง ไม่ใช่การเรียกสิ่งเร้นลับมาอยู่ในมือ แต่คือการเงียบพอที่จะปล่อยให้สิ่งเร้นลับยังคงอยู่ โดยไม่ถูกรบกวนด้วยความอยากรู้ที่ยังไม่ถึงเวลา และบางที… การยอมรับว่า “ไม่รู้” อาจเป็นเวทมนตร์ขั้นสูงสุดของมนุษย์แล้วก็เป็นได้
▣ 6. อิทธิพลต่อวัฒนธรรมร่วมสมัย
The Book of Soyga ไม่ได้ดำรงอยู่เพียงในฐานะของหนังสือโบราณที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรู้ที่ไม่ควร หรืออาจไม่สามารถ ที่จะถูกไขออก
ความลึกลับของมันไม่ได้อยู่ในเนื้อหาเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ในการที่มันต่อต้านการแปลความ ไม่ยินยอมต่อโครงสร้างของปัญญาแบบโลกใหม่ ในยุคที่ทุกอย่างถูกแปลงเป็นดิจิทัล ถูกแยกย่อยเป็นคำสำคัญ ถูกจัดระบบบนดัชนีและเมนูดรอปดาวน์
Soyga ยังคงเป็นพื้นที่ที่ปัญญาไม่อาจเข้าถึง มันไม่ใช่ความลับเพราะถูกซ่อน แต่มันคือสิ่งที่แม้เปิดเผย ก็ยังไม่เข้าใจ ลักษณะเช่นนี้เองที่ทำให้ Soyga ค่อย ๆ ซึมลึกเข้าสู่จิตสำนึกของวัฒนธรรมร่วมสมัย กลายเป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมของสิ่งที่ “มีอยู่จริง แต่ไม่ควรถูกอ่าน” ปรากฏในนวนิยาย ภาพยนตร์ เกม และศิลปะหลากแขนงในฐานะวัตถุเร้นลับที่เมื่อถูกเปิด
ไม่ใช่ผู้อ่านที่เข้าใจเนื้อหา แต่คือเนื้อหาที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงผู้อ่าน มันคือ archetype ของข้อความต้องห้าม ที่ไม่ได้ทำลายผู้ใดด้วยคำสาป แต่ด้วยการสั่นโครงสร้างของผู้แปล ให้กลับไปสู่สภาวะที่ยังไม่อาจแปลได้อีกครั้ง และในจิตใต้สำนึกของโลกยุคเทคโนโลยี ที่ความรู้กลายเป็นสินค้า ความเร็วกลายเป็นคุณธรรม และการรู้กลายเป็นอำนาจ Soyga ยังคงยืนอยู่เงียบ ๆ เป็นคำถามเปิด ว่ามนุษย์ควรรู้ทุกอย่างจริงหรือ?
.
▩ แรงบันดาลใจในวรรณกรรม: A Discovery of Witches
หนึ่งในตัวอย่างชัดเจนที่สุดของการที่ The Book of Soyga ถูกนำเข้าสู่โลกวรรณกรรมและสื่อร่วมสมัย คือ นิยายแฟนตาซีเรื่อง A Discovery of Witches ที่เขียนโดย Deborah Harkness นักประวัติศาสตร์ผู้ศึกษาศาสตร์เวทมนตร์ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance Hermeticism)
นิยายเล่มนี้ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจากงานวิจัยเกี่ยวกับ Soyga ของ Harkness เอง โดยในเรื่องมีการกล่าวถึงหนังสือโบราณที่ชื่อว่า Ashmole 782 ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของความลับ และพลังซ่อนเร้นในโลกเหนือธรรมชาติ
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่สิ่งของที่บันทึกความรู้เท่านั้น แต่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงมนุษย์กับสิ่งเร้นลับ และเช่นเดียวกับ Soyga ในโลกแห่งความจริง ไม่มีผู้ใดสามารถชี้ชัดได้ว่า หนังสือโบราณเหล่านี้ต้องการจะเปิดเผยอะไร หรือเพราะเหตุใดจึงต้องถูกซ่อนไว้ ทั้งในนิยายและประวัติศาสตร์ Soyga จึงยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับที่ท้าทายความเข้าใจ และสะท้อนความคิดที่ว่า บางความรู้ อาจถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องมากกว่าการเปิดเผย
.
▩ แบบแผนในสื่อป๊อป: “The Forbidden Tome”
ในบริบทที่กว้างขึ้น The Book of Soyga ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุโบราณในหอสมุดลึกลับเท่านั้น แต่มันได้กลายเป็นรหัสทางวัฒนธรรม (cultural code) สำหรับ archetype ที่ปรากฏบ่อยครั้งในวรรณกรรม ภาพยนตร์ และเกม นั่นคือ “หนังสือต้องห้าม” หรือ Forbidden Tome
หนังสือประเภทนี้มักถูกกำหนดให้มีพลังเหนือธรรมชาติ ที่เกินขอบเขตความเข้าใจของมนุษย์ทั่วไป ไม่สามารถถูกอ่านหรือใช้งานโดยคนธรรมดา และเมื่อถูกเปิดเผย มักนำมาซึ่งผลกระทบที่ไม่อาจย้อนกลับ กลายเป็นตัวเร่งให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติหรือหายนะ
ตัวอย่างสำคัญในวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่สะท้อนแนวคิดนี้ ได้แก่ Necronomicon ในจักรวาลของ H.P. Lovecraft, The Darkhold ในจักรวาล Marvel, Tome of Eternal Darkness จากเกมวิดีโอ Eternal Darkness, และ Book of the Dead หรือ Naturom Demonto ในแฟรนไชส์ Evil Dead แม้หนังสือเหล่านี้จะไม่ได้อ้างอิง Soyga โดยตรง แต่จิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ความเชื่อที่ว่า “ความรู้บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มีสิทธิ์เข้าถึงในทุกกรณี”
นั้นสอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับตำนานของ The Book of Soyga ซึ่งกลายเป็นต้นแบบให้กับแนวคิดของความรู้ต้องห้ามและความลึกลับที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจอย่างสมบูรณ์
.
▩ ปรัชญาเชิงอันตราย: ความรู้ = พิธีกรรม
The Book of Soyga นำเสนอแนวคิดปรัชญาที่ลึกซึ้งและท้าทาย ต่อความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ โดยชี้ว่า “การอ่านบางอย่างไม่ใช่แค่การแปลความหมายเชิงตรรกะ แต่คือพิธีกรรม” การเข้าใกล้ข้อความในลักษณะนี้ จึงไม่ใช่แค่การรับข้อมูล หรือทำความเข้าใจสิ่งที่เขียน แต่เป็นการเข้าสู่กระบวนการแปรเปลี่ยนภายในจิตใจของผู้อ่านเอง พิธีกรรมที่อาจย้อนกลับมาสั่นสะเทือน และเปลี่ยนแปลงผู้อ่าน มากกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงข้อความนั้นเอง
แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎีที่ถูกสำรวจในโลกแฟนตาซี และวรรณกรรมหลังสมัยใหม่ เช่น The Library of Babel โดย Jorge Luis Borges ที่กล่าวถึงห้องสมุดไม่มีที่สิ้นสุดของหนังสือ ที่บรรจุความรู้ทั้งปวง และ House of Leaves ของ Mark Z. Danielewski ซึ่งเล่าเรื่องในรูปแบบที่ทำให้ผู้อ่านต้องมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับเนื้อหา เพื่อให้เกิดความหมายใหม่ ๆ
แนวคิดของ “Found Manuscript” ที่ไม่มีจุดจบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด และไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยวิธีการธรรมดา นี่คือมิติที่ Soyga ยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ใช่แค่หนังสือ แต่เป็นพิธีกรรมที่เชื่อมโยงผู้อ่านกับจักรวาล ผ่านภาษาที่อาจลืมเลือน หรือยังไม่อาจถอดรหัสได้
.
▪️ สรุป
The Book of Soyga ไม่ใช่แค่หนังสือโบราณที่หลงเหลือในอดีต แต่มันคือสัญลักษณ์ของความไม่สมบูรณ์และข้อจำกัดของความรู้มนุษย์อย่างลึกซึ้ง หนังสือเล่มนี้ จึงกลายเป็นมากกว่าเอกสารประวัติศาสตร์ ที่ถูกค้นพบและสูญหายกลับคืนมา มันเปรียบเสมือน “เงา” ที่ทอดผ่านวงการบันเทิง ศิลปะ และวรรณกรรมในยุคสมัยใหม่ พร้อมทั้งตั้งคำถามคงค้าง ในยุคที่ทุกอย่างดูเหมือนจะต้องถูกทำความเข้าใจและแปลความหมายให้ครบถ้วน
“ถ้ามีความรู้บางอย่างที่ไม่อาจถูกถอดรหัสหรือแปลความได้ มันยังคงถือเป็น ‘ความรู้’ หรือไม่?”
หรือบางที มันอาจเป็นกับดักทางจิตใจ ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับผู้กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความลึกลับที่เกินมนุษย์จะเข้าถึงได้จริง ๆ
.
โฆษณา