หนึ่งในบุคคลเช่นนั้นคือ John Dee — ชายผู้เป็นทั้งนักคณิตศาสตร์ นักโหราศาสตร์ นักสำรวจ นักปรัชญา และที่สำคัญที่สุด: นักติดต่อกับเทวทูต
ในห้องสมุดส่วนตัวของเขาที่ Mortlake บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ สถานที่ซึ่งเคยรวบรวมหนังสือมากกว่าสามพันเล่ม หนึ่งในนั้นคือหนังสือเล่มเล็ก เล่มเดียว ที่ทำให้ Dee ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต พยายามค้นความหมาย มันคือสิ่งที่ปัจจุบันเรารู้จักในชื่อว่า“ The Book of Soyga”
.
▣ คัมภีร์ไร้นาม: เงาของภาษาที่หายไป
The Book of Soyga หรือ Aldaraia ตามชื่อที่ปรากฏในต้นฉบับบางฉบับ ไม่ได้เปิดตัวด้วยบทนำ ไม่มีชื่อผู้เขียน ไม่ระบุปีที่จัดพิมพ์ และไม่มีแม้แต่คำอุทิศ
John Dee ไม่ใช่แค่นักปราชญ์ เขาเป็น สื่อกลางระหว่างโลกกับฟ้า ในมุมมองของตัวเขาเอง ในโลกที่ยังไม่รู้จักคำว่า “ฟิสิกส์สมัยใหม่” Dee เชื่อว่าความจริงสูงสุดไม่ได้อยู่ในกล้องจุลทรรศน์ หรือการทดลองเชิงประจักษ์เท่านั้น แต่มันซ่อนอยู่ในเสียงของทูตสวรรค์
และเพื่อจะฟังเสียงนั้นได้ มนุษย์จำเป็นต้องมี “ภาษาแห่งการสื่อสารกับพระเจ้า” ภาษาเอโนเคียน (Enochian Language) ที่เขาอ้างว่าได้รับผ่านการสื่อจิตกับเทวทูต เช่น Uriel, Raphael, และ Michael โดยผ่านตัวกลางคือ Edward Kelley ผู้เป็นนักอัญเชิญวิญญาณ (scryer)
Dee จึงเชื่อว่าหนังสือ Soyga คือเศษเสี้ยวของ “ความรู้แห่งยุคก่อนมนุษย์” ความรู้บริสุทธิ์ที่ถูกส่งมาผ่านรหัส เพื่อให้มนุษย์ผู้เหมาะสมเท่านั้นเข้าถึงได้
.
▣ วิทยาศาสตร์แห่งตารางที่ไม่อาจถอด
The Book of Soyga เปิดเผยสิ่งที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำอธิบายธรรมดา เมื่อเราตัดศรัทธาและความเชื่อทางจิตวิญญาณออกไป สิ่งที่ยังคงหลงเหลือและทำให้ผู้ศึกษาต้องตะลึงคือ 36 ตารางเวทมนตร์ขนาด 36x36 ช่อง ซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรละตินรวมกันถึง 46,656 ตัวอักษร
หลังจากการจากไปของ John Dee ในปี 1609 The Book of Soyga ก็ถูกลืมเลือนไปในห้วงเวลานานเกือบ 400 ปี เสมือนคัมภีร์ไร้นามที่ถูกกลืนหายไปกับหมอกแห่งประวัติศาสตร์ นักล่าคัมภีร์โบราณและนักวิจัยด้านศาสตร์ลึกลับ จำนวนมากต่างพยายามตามรอยและค้นหาคำตอบ ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นกุญแจสู่ความลับของเวทมนตร์ Enochian ที่ Dee ศรัทธาอย่างลึกซึ้ง หรือเป็นประตูสู่ระดับใหม่ของจิตสำนึกมนุษย์
The Book of Soyga ไม่ได้เป็นเพียงหนังสือเวทมนตร์ที่ถูกลืม แต่คือกระจกที่สะท้อนแรงปรารถนาของมนุษย์จะ รู้ทุกสิ่ง ผ่านภาษา ผ่านรหัส ผ่านพลังที่เหนือคำอธิบาย John Dee เชื่อว่าความรู้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ สร้าง ขึ้นเอง แต่มันคือสิ่งที่มนุษย์ เคยรู้ และลืมไปแล้ว
หากมองจากภายนอก The Book of Soyga อาจดูเหมือนตำรามนตร์อย่างที่พบได้ทั่วไปในยุคกลางตอนปลาย มีทั้งภาษาละตินลึกลับ ผังตาราง แผนผังแนวคิด และสูตรเกี่ยวกับโลกที่ไม่อาจมองเห็น
แม้ในยุคปัจจุบัน นักวิชาการและนักวิจัย ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า ตารางตัวอักษรทั้ง 36 ตารางใน The Book of Soyga มีวัตถุประสงค์หรือหน้าที่อะไรแน่แท้ แต่มีแนวคิดหลักที่ถูกเสนอขึ้นอย่างน่าสนใจ ได้แก่:
The Book of Soyga มิใช่เพียงหนังสือเวทมนตร์หรือปริศนาเชิงคณิตศาสตร์ที่รอการถอดรหัสเท่านั้น หากแต่เป็นวัตถุทางประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนความพยายามของมนุษย์ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ที่จะไขความลับแห่งจักรวาล ผ่านแนวคิดที่อยู่ระหว่างศาสตร์และศรัทธา
John Dee ผู้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญแห่งยุคสมัยนั้น เคยกล่าวไว้ด้วยความเชื่อมั่นว่า
การค้นพบเกิดขึ้นจากความพยายามของ Deborah Harkness นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์แห่ง University of Southern California ผู้ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิญญาณยุคเรอเนสซองซ์ และสายเวทมนตร์ในฐานะกระแสความรู้คู่ขนาน กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ขณะเดียวกัน Professor John Reeve, นักภาษาศาสตร์จาก British Library ซึ่งศึกษาเอกสารโบราณภาษาละติน ได้ตรวจพบต้นฉบับอีกฉบับที่เหมือนกันแทบทุกประการ ทั้งสองต้นฉบับอยู่ในหอสมุดสำคัญของอังกฤษ:
ต้นฉบับของ The Book of Soyga ทั้งสองเล่มที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1994 มีลักษณะและโครงสร้างที่ใกล้เคียงกันอย่างน่าทึ่ง พวกมันเป็น ต้นฉบับที่เขียนด้วยมือ (manuscript) โดยใช้ภาษาละตินยุคกลาง ที่เป็นภาษาสำคัญของงานเขียนทางศาสนาและวิชาการในยุโรปสมัยนั้น
สิ่งที่โดดเด่นที่สุด คือ ตารางลึกลับทั้ง 36 ตาราง ซึ่งปรากฏครบถ้วนในทั้งสองฉบับ รูปแบบของตารางเหล่านี้ตรงตามที่ John Dee เคยกล่าวถึงและศึกษามาแล้วอย่างละเอียด
การกลับมาของ The Book of Soyga ไม่ได้เป็นเพียงการค้นพบต้นฉบับโบราณ ในรูปธรรมเท่านั้น หากแต่เป็นการเปิดประตูสู่คำถามใหม่ ๆ อันลึกซึ้งในวงการอภิปรัชญาและวิทยาศาสตร์ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา คำถามที่เกิดขึ้นมีหลากหลายและท้าทายความเข้าใจเดิม ๆ ได้แก่:
The Book of Soyga อาจไม่ได้เป็นเพียงหนังสือที่ถูกเขียนขึ้น เพื่อสอนเวทมนตร์เท่านั้น แต่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิต และส่งผลต่อผู้ที่พยายามเข้าใจหรือใช้มัน ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่าความลึกลับที่แท้จริงของ Soyga อยู่ที่ตัวเนื้อหา หรืออยู่ที่พลังที่แฝงเร้นอยู่ในตัวมันเอง
นักภาษาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ บางท่านเคยเปรียบ The Book of Soyga ว่าเป็น “คัมภีร์ที่ถูกหักล้างโดยยุคสมัย แต่ไม่สามารถถูกลืมโดยจิตสำนึกมนุษย์” แม้หนังสือเล่มนี้ จะไม่ได้ถูกพูดถึงหรือนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ก็ยังคงปรากฏขึ้นใหม่ พร้อมกับคำถามและปริศนาที่ไม่เคยมีใครตอบได้อย่างชัดเจน
ในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก น้อยคนนักที่ชีวิตจะเป็นรอยต่อระหว่าง วิทยาศาสตร์, เวทมนตร์, และศรัทธาทางจิตวิญญาณ ได้ชัดเจนเท่ากับ John Dee เขาไม่ได้มอง The Book of Soyga ในฐานะตำราพิธีกรรมหรือคัมภีร์เวทมนตร์ธรรมดา แต่เห็นมันเป็น ภาชนะของภาษาสวรรค์ คลังความรู้ก่อนการล่มสลายของมนุษยชาติ
▩ Dee กับการติดต่อเทวทูต: จิตวิญญาณที่เชื่อมผ่านกระจก
John Dee ไม่ใช่นักไสยศาสตร์พื้นบ้าน หรือหมอผีที่แสวงหาพลังเวทมนตร์ เพื่ออำนาจส่วนตัว หากแต่เขาคือนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ผู้มีบทบาทสำคัญในการแปลคณิตศาสตร์ของ Euclid เป็นภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาของราชินี Elizabeth I และนักคิดผู้พยายามสร้างแบบจำลองจักรวาล ผ่านเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์
แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิต Dee ได้เบนเข้าสู่การปฏิบัติที่เขาเรียกว่า “การติดต่อกับทูตสวรรค์” โดยใช้ กระจก obsidian ซึ่งเป็นหินดำมันวาวที่ได้มาจากวัฒนธรรมแอซเท็ก เป็นสื่อกลางสำหรับการสื่อสาร
ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางทางจิต หรือ medium ในการติดต่อ คือ Edward Kelley — คู่หูและผู้ทำนายของ Dee ที่เชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถรับสารจากสิ่งที่เป็น “ทูตสวรรค์” ได้จริง หนึ่งในชื่อเทวทูตที่ Dee และ Kelley ได้บันทึกไว้บ่อยครั้ง คือ Uriel — อัครเทวทูตแห่งแสง ความรู้ และการเปิดเผย
บันทึกของ Dee ระบุว่า ในระหว่างการติดต่อกับ Uriel เขาได้ตั้งคำถามถึงที่มาของ The Book of Soyga ซึ่งคำตอบที่ได้รับเผยว่า หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นโดย “Adam หลังจากตกจากสวรรค์ และได้รับแรงบันดาลใจจากพระเจ้า”
คำตอบจากอัครเทวทูต Uriel ที่ John Dee ได้รับในระหว่างการติดต่อผ่านกระจก obsidian ไม่เพียงแต่เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสะเทือนจิตวิญญาณของ Dee ในระดับลึกที่สุด
Uriel เปิดเผยว่า “Soyga ถูกเขียนโดย Adam หลังการตกจากสวรรค์ เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่ยังคงเหลือจากความเป็นหนึ่งกับพระเจ้า”
ในสายตาของ John Dee, The Book of Soyga ไม่ใช่แค่ตำราเวทมนตร์ทั่วไ แต่เป็น บันทึกของภาวะก่อนการแยก ที่ยังคงเก็บรักษาความรู้ในระดับสูงสุดเอาไว้ และตารางในหนังสือ ไม่ได้เป็นเพียง “โค้ดมนุษย์” ที่สร้างขึ้นโดยคนธรรมดา แต่เป็น โครงสร้างของภาษาแห่งเทวะ ภาษาที่มีเฉพาะเทวทูตเท่านั้นที่ “ยังคงอ่านได้”
ทุกสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงจินตนาการ แต่เป็นความพยายามถอดรหัส โครงสร้างของความเป็นจริงในระดับจิตวิญญาณ พวกเขาเชื่อว่าภาษาของเทวทูตคือเครื่องมือหนึ่งในการสั่นสะเทือนร่วมกับจักรวาล และ The Book of Soyga ก็คือหนึ่งในประตูที่นำไปสู่เส้นทางนั้น ประตูที่ไม่มีบานเปิด แต่ต้อง “สั่นรับ” ด้วยจิตที่ถูกเตรียม
.
▩ ความรู้ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในโลกของ John Dee ความรู้ไม่เคยเป็นเพียงผลผลิตจากปัญญามนุษย์ หรือสิ่งที่ได้มาจากการสังเกตธรรมชาติ เขามองความรู้ในฐานะสิ่งมีชีวิต เป็นพลังที่มีจิตวิญญาณ มีต้นกำเนิดจากแสงแห่งพระเจ้า และดำรงอยู่เหนือขอบเขตของภาษาและตรรกะใด ๆ
สำหรับ Dee หนังสือไม่ใช่แค่เครื่องมือของการบันทึก แต่คือ ภาชนะแห่งเศษแสงจากพระผู้สร้าง และบางเล่ม อย่าง The Book of Soyga — ก็ไม่ใช่เพียงหนังสือธรรมดา แต่มันคือเศษซากจาก “สวนเอเดน” ที่หลงเหลืออยู่หลังการตกจากสวรรค์
ไม่มีหนังสือใดในยุคเรอเนสซองซ์ที่ลึกลับเท่า The Book of Soyga — ตำราโบราณที่หายไปจากความทรงจำของมนุษย์เกือบ 400 ปี ก่อนจะกลับมาปรากฏอีกครั้งในปลายศตวรรษที่ 20 ราวกับเสียงสะท้อนจากการตื่นรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์
หนังสือที่ John Dee เคยถามถึงต้นกำเนิดจากเทวทูต และได้รับคำตอบว่า: มันถูกเขียนโดย Adam หลังจากการตกจากสวรรค์ เพื่อเก็บความรู้บางประการที่ยังหลงเหลือจากสภาพแห่งความเป็นหนึ่งกับพระเจ้า
John Dee เองก็เป็นตัวแทนของยุคสมัยนั้นอย่างสมบูรณ์ เขาเป็นทั้งนักคณิตศาสตร์ ผู้แปล Euclid เป็นอังกฤษ นักสร้างแบบจำลองโลกผ่านเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์ ที่ปรึกษาราชินี Elizabeth I และเป็นผู้ที่เชื่อว่า ความรู้ที่แท้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น แต่เป็น “สิ่งมีชีวิต” ที่มีต้นกำเนิดในแสงแห่งพระเจ้า
ในทุกหน้าของ Book of Soyga ที่ปรากฏตารางอักษรทั้ง 36 ตารางนั้น ไม่มีผู้ใดในยุคกลางหรือยุคปัจจุบันสามารถอธิบายได้ว่า รูปแบบเหล่านั้นถูกสร้างขึ้น โดยกระบวนการใด
ในหมู่ grimoires ที่ปรากฏขึ้น ในช่วงปลายยุคกลางถึงต้นยุคเรอเนสซองซ์ Book of Soyga กลับโดดเด่นด้วยสิ่งที่มัน ไม่พูด มากกว่าสิ่งที่มันกล่าวไว้ เพราะต่างจาก Key of Solomon, Ars Notoria หรือแม้แต่ Liber Juratus ซึ่งมักแนบคำอธิบาย ข้อควรปฏิบัติ และวิธีการเรียกใช้เวทมนตร์อย่างชัดเจน
John Dee เคยเชื่อว่า เฉพาะทูตสวรรค์เท่านั้น ที่ยังคงเข้าใจตารางเหล่านี้ เพราะพวกเขายังไม่ถูกแยกขาดจากเสียงของแสงต้นกำเนิด ขณะที่มนุษย์ได้หลงลืมไปแล้วว่าภาษาคือสิ่งที่ตามมาภายหลัง ไม่ใช่เครื่องมือแรกของการเข้าใจจักรวาล แต่เป็นผลพลอยได้จากการแยกออกจากเอกภาพ
The Book of Soyga ไม่ได้ดำรงอยู่เพียงในฐานะของหนังสือโบราณที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรู้ที่ไม่ควร หรืออาจไม่สามารถ ที่จะถูกไขออก
หนึ่งในตัวอย่างชัดเจนที่สุดของการที่ The Book of Soyga ถูกนำเข้าสู่โลกวรรณกรรมและสื่อร่วมสมัย คือ นิยายแฟนตาซีเรื่อง A Discovery of Witches ที่เขียนโดย Deborah Harkness นักประวัติศาสตร์ผู้ศึกษาศาสตร์เวทมนตร์ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance Hermeticism)
ในบริบทที่กว้างขึ้น The Book of Soyga ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุโบราณในหอสมุดลึกลับเท่านั้น แต่มันได้กลายเป็นรหัสทางวัฒนธรรม (cultural code) สำหรับ archetype ที่ปรากฏบ่อยครั้งในวรรณกรรม ภาพยนตร์ และเกม นั่นคือ “หนังสือต้องห้าม” หรือ Forbidden Tome
ตัวอย่างสำคัญในวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่สะท้อนแนวคิดนี้ ได้แก่ Necronomicon ในจักรวาลของ H.P. Lovecraft, The Darkhold ในจักรวาล Marvel, Tome of Eternal Darkness จากเกมวิดีโอ Eternal Darkness, และ Book of the Dead หรือ Naturom Demonto ในแฟรนไชส์ Evil Dead แม้หนังสือเหล่านี้จะไม่ได้อ้างอิง Soyga โดยตรง แต่จิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ความเชื่อที่ว่า “ความรู้บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มีสิทธิ์เข้าถึงในทุกกรณี”
นั้นสอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับตำนานของ The Book of Soyga ซึ่งกลายเป็นต้นแบบให้กับแนวคิดของความรู้ต้องห้ามและความลึกลับที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจอย่างสมบูรณ์
.
▩ ปรัชญาเชิงอันตราย: ความรู้ = พิธีกรรม
The Book of Soyga นำเสนอแนวคิดปรัชญาที่ลึกซึ้งและท้าทาย ต่อความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ โดยชี้ว่า “การอ่านบางอย่างไม่ใช่แค่การแปลความหมายเชิงตรรกะ แต่คือพิธีกรรม” การเข้าใกล้ข้อความในลักษณะนี้ จึงไม่ใช่แค่การรับข้อมูล หรือทำความเข้าใจสิ่งที่เขียน แต่เป็นการเข้าสู่กระบวนการแปรเปลี่ยนภายในจิตใจของผู้อ่านเอง พิธีกรรมที่อาจย้อนกลับมาสั่นสะเทือน และเปลี่ยนแปลงผู้อ่าน มากกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงข้อความนั้นเอง
แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎีที่ถูกสำรวจในโลกแฟนตาซี และวรรณกรรมหลังสมัยใหม่ เช่น The Library of Babel โดย Jorge Luis Borges ที่กล่าวถึงห้องสมุดไม่มีที่สิ้นสุดของหนังสือ ที่บรรจุความรู้ทั้งปวง และ House of Leaves ของ Mark Z. Danielewski ซึ่งเล่าเรื่องในรูปแบบที่ทำให้ผู้อ่านต้องมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับเนื้อหา เพื่อให้เกิดความหมายใหม่ ๆ