Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ข้อคิดปริศนาธรรม
•
ติดตาม
7 ส.ค. เวลา 02:25 • การศึกษา
วิเคราะห์ปรัชญา: อัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus)
# ปรัชญาแห่งความไร้สาระ (The Absurd)
"มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ชอบจัดระเบียบ ต้องการมองเห็นทุกอย่างชัดๆ จึงให้ความหมายของชีวิต เราพยายามเหลือเกินที่จะเข้าใจทุกอย่างในจักรวาล" —คำอธิบาย "หนึ่งในสองขั้ว" ของปรัชญาที่โด่งดังที่สุดของเขา
โลกในสายตาของอัลแบร์ กามูส์:
กามูส์ไม่ได้เริ่มต้นจากการบอกว่า "โลกนี้ไม่มีความหมาย" เหมือนนักสุญนิยม (Nihilist) ทั่วไป แต่เขาเริ่มต้นจากการสังเกตความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันระหว่างสองสิ่งนี้:
1. ขั้วมนุษย์: ความโหยหาเหตุผลและความหมาย (The Human Need for Reason) —นี่คือประโยคของเขาอธิบายไว้:
— มนุษย์เป็น "สัตว์จัดระเบียบ": เราไม่สามารถทนอยู่ในความสับสนวุ่นวายได้ เราต้องการโครงสร้าง, แบบแผน, ตรรกะ และเหตุผล เราสร้างวิทยาศาสตร์เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ, สร้างศาสนาและศีลธรรมเพื่อกำหนดความดีความชั่ว และสร้างศิลปะเพื่อจัดระเบียบอารมณ์ความรู้สึก
— ต้องการความชัดเจน: เราถามคำถามพื้นฐานที่สุดเสมอ: "เราเกิดมาทำไม?", "ชีวิตมีเป้าหมายอะไร?", "ความยุติธรรมคืออะไร?" เราปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีคำตอบที่ชัดเจนและเป็นสากลสำหรับคำถามเหล่านี้
— การสร้างความหมาย: เมื่อเราไม่พบความหมายที่ติดมากับโลกตั้งแต่แรก เราก็ "พยายามเหลือเกิน" ที่จะสร้างหรือมอบความหมายให้กับมันด้วยตัวเอง นี่คือแรงขับเคลื่อนพื้นฐานที่สุดของอารยธรรมมนุษย์
ในมุมมองของกามูส์ ความปรารถนานี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นสภาวะโดยธรรมชาติของมนุษย์ (Human Condition)
2. ขั้วจักรวาล: ความเงียบงันและไร้เหตุผล (The Silence of the Universe) — จุดที่กามูส์เริ่มแตกต่างจากนักปรัชญาคนอื่นๆ
เขาไม่ได้มองว่า จักรวาลเป็นสิ่งที่มีเหตุผลซ่อนอยู่ รอให้เราค้นพบ หรือเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างมีเป้าหมาย แต่เขามองว่า:
— จักรวาลนั้น "เงียบ": เมื่อเราตะโกนถามหาความหมายของชีวิตออกไปในจักรวาล... สิ่งที่เราได้รับกลับมาคือความเงียบงัน ไม่มีเสียงตอบกลับ ไม่มีคำแนะนำ ไม่มีกฎเกณฑ์สากลใดๆ
— ไร้ซึ่งเหตุผลโดยเนื้อแท้ (Irrational): โลกไม่ได้ดำเนินไปตามตรรกะของมนุษย์ ความดีไม่ได้ถูกตอบแทนเสมอไป คนชั่วอาจได้ดี ความทุกข์ทรมานเกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล (ดังที่เห็นในงานเขียนเรื่อง กาฬโรค The Plague) จักรวาลไม่แยแสต่อความสุขหรือความทุกข์ของเรา
— ไม่มีความหมายในตัวเอง: โลกและจักรวาลก็แค่ "เป็นอยู่" ของมันไปอย่างนั้น มันไม่ได้ถูกสร้างมา "เพื่อ" มนุษย์ และไม่ได้มีความหมายใดๆ ติดตัวมาตั้งแต่แรก
3. จุดปะทะ: กำเนิดแห่ง "ความไร้สาระ" (The Absurd)
"ความไร้สาระ"( The Absurd) ในปรัชญาของกามูส์ ไม่ได้หมายถึง "ความไร้สาระ" แบบตลกขบขัน แต่คือ สภาวะของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างสองขั้วข้างต้น:
ความไร้สาระ = [ความโหยหาความหมายของมนุษย์] VS [ความเงียบงันไร้ความหมายของจักรวาล]
มันคือ "การหย่าร้าง" ระหว่างมนุษย์กับโลก กามูส์เปรียบเทียบว่ามันเหมือนกับคนที่มีดาบแต่ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครให้ต่อสู้ด้วย ความปรารถนาของเราที่จะเข้าใจโลกนั้นมีอยู่จริง แต่โลกกลับไม่มีอะไรให้เราเข้าใจได้ในแบบที่เราต้องการ
นี่คือจุดที่กามูส์แตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง:
นักปรัชญาสายเหตุผลนิยม/ศาสนา: พยายามจะ "แก้ปัญหา" ความขัดแย้งนี้โดยการยืนยันว่าจักรวาลมีความหมายซ่อนอยู่ (รอการค้นพบทางวิทยาศาสตร์, หรือเป็นแผนการของพระเจ้า)
สำหรับกามูส์ นี่คือการหลีกหนีความจริง หรือที่เขาเรียกว่า "การฆ่าตัวตายในเชิงปรัชญา" (Philosophical Suicide) คือการยอมทิ้งสติปัญญาและเหตุผลเพื่อกระโดดไปสู่ความเชื่อที่ไร้ข้อพิสูจน์
นักสุญนิยม (Nihilists): เมื่อพบว่าโลกไม่มีความหมาย ก็สรุปว่าทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า นำไปสู่ความสิ้นหวัง การไม่ทำอะไรเลย หรือแม้กระทั่งการทำลายล้าง (การฆ่าตัวตายจริงๆ)
คำตอบของกามูส์: การกบฏ, เสรีภาพ, และความหลงใหล (Rebellion, Freedom, and Passion) เมื่อตระหนักถึงสภาวะอันไร้สาระนี้แล้ว กามูส์เสนอว่าเราไม่ควรหลีกหนีหรือยอมจำนน แต่เราควร "ใช้ชีวิตอยู่กับมัน" ด้วยท่าทีของ "วีรบุรุษแห่งความไร้สาระ" (Absurd Hero) ผ่าน 3 แนวทาง:
1) การกบฏ (Rebellion): คือการปฏิเสธที่จะยอมแพ้ต่อความไร้สาระ เราต้องมีชีวิตอยู่ "ทั้งๆ ที่" โลกรอบตัวเราไม่มีความหมาย การตื่นขึ้นมาทุกเช้าและใช้ชีวิตต่อไป คือการ "กบฏ" ต่อความเงียบงันของจักรวาล เราสร้างความหมายของเราเองขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อหลอกตัวเองว่ามันเป็นความจริงสากล แต่เพื่อเป็นเครื่องยืนยันการมีอยู่ของเรา เป็นการแสดงออกถึงการต่อสู้
2) เสรีภาพ (Freedom): เมื่อเรายอมรับว่าไม่มีกฎเกณฑ์สากล ไม่มีพระเจ้า ไม่มีชีวิตหลังความตายที่คอยตัดสิน เราก็จะพบกับ "เสรีภาพ" ที่แท้จริง เราเป็นอิสระจากภาระในการค้นหาความหมายสูงสุด เราเป็นอิสระที่จะสร้างคุณค่าของเราเอง และใช้ชีวิตในปัจจุบันขณะอย่างเต็มที่
3) ความหลงใหล (Passion): เมื่อชีวิตนี้คือสิ่งเดียวที่เรามี และมันจะจบลงอย่างแน่นอน เราจึงควรใช้ชีวิตด้วยความหลงใหลอย่างที่สุด สัมผัสทุกประสบการณ์อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความรัก หรือความเจ็บปวด เพราะ "ปริมาณ" ของประสบการณ์มีความสำคัญมากกว่า "คุณภาพ" ที่ถูกตัดสินด้วยมาตรฐานภายนอก
บทสรุปผ่านตำนานซิซีฟุส (The Myth of Sisyphus)
กามูส์ใช้ตำนานของ ซิซีฟุส ผู้ถูกลงทัณฑ์ให้เข็นหินก้อนใหญ่ขึ้นภูเขาชั่วนิรันดร์ พอถึงยอดหินก็กลิ้งกลับลงมา เป็นภาพสะท้อนที่สมบูรณ์แบบที่สุด
งานของซิซีฟุส: คือตัวแทนของชีวิตมนุษย์ที่ไร้ความหมาย ซ้ำซาก และไร้จุดหมายสูงสุด
การกบฏของซิซีฟุส: กามูส์กล่าวว่า ช่วงเวลาที่น่าสนใจที่สุดคือตอนที่ซิซีฟุสเดินลงจากยอดเขาเพื่อไปเข็นหินขึ้นมาใหม่ ในช่วงเวลานั้น เขารู้ตัวถึงชะตากรรมของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม เขาไม่ได้มีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าหินจะไม่กลิ้งลงมา
ความสุขของซิซีฟุส: การที่เขายอมรับชะตากรรมและยังคงเข็นหินต่อไปด้วยการตระหนักรู้อย่างสมบูรณ์นี่แหละ คือชัยชนะของเขา เขาเป็นนายเหนือโชคชะตาของตนเอง
กามูส์ทิ้งท้ายบทความนี้ด้วยประโยคสะเทือนใจว่า
"เราต้องจินตนาการว่าซิซีฟุสนั้นมีความสุข" (One must imagine Sisyphus happy)
ดังนั้น โลกในสายตาของกามูส์จึงแตกต่างคนอื่น เพราะเขาไม่ได้พยายามจะ "แก้" ปัญหาเรื่องความหมายของชีวิต แต่เขายอมรับ "ปัญหา" นั้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของสภาวะมนุษย์ และพบศักดิ์ศรี ความสุข และเสรีภาพในการต่อสู้กับมันอย่างซึ่งๆ หน้า โดยไม่ยอมจำนนต่อความสิ้นหวังหรือการหลอกลวงตัวเอง.
แนวคิด
ปรัชญา
ประวัติศาสตร์
บันทึก
2
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย