7 ส.ค. เวลา 04:41 • ข่าวรอบโลก

ครบ​ 80​ ปี​ สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ญี่ปุน​🇯🇵💥​

ตอน​ 0️⃣2️⃣ (จบ) ปฏิกิริยาของสหภาพโซเวียต
ต่อระเบิดปรมาณูในญี่ปุ่น และจุดเริ่มต้นของ
มหากาพย์นิวเคลียร์โลก
ตอนที่​แล้ว​ 0️⃣1️⃣ ▪️▪️◾
จากแสงแรกถึงฮิโรชิม่า​ นางาซากิ
วันที่ 6 สิงหาคม 1945 โลกเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เมื่อเครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ของสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกใส่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น และอีกเพียงสามวัน
ถัดมา นางาซากิก็เผชิญชะตากรรมเดียวกัน ทว่าท่ามกลางเสียงร้องไห้และการทำลายล้างระดับประวัติศาสตร์ ณ อีกซีกโลกหนึ่ง กลับมีบรรยากาศเงียบงันประหลาดปกคลุมสหภาพโซเวียต
ประชาชนโซเวียตในเวลานั้นแทบไม่รับรู้เลยว่าได้เกิดโศกนาฏกรรมขนาดใหญ่ขึ้นในโลก ในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ของรัฐ มีเพียงข่าวรายงานสั้น ๆ และไร้อารมณ์ใด ๆ เกี่ยวกับ “อาวุธชนิดใหม่ที่สหรัฐใช้ในญี่ปุ่น” ไม่มีคำบรรยายถึงจำนวนผู้เสียชีวิต ไม่มีภาพ ไม่มีน้ำเสียงของความตระหนก​ แต่ศูนย์กลาง​อำนาจหลังกำแพงเครมลิน สายตาของ
สตาลินและคณะผู้นำฯกลับจับจ้องเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
แม้โซเวียตจะมีสายลับฝังตัวอยู่ในโครงการ
“แมนฮัตตัน” ของสหรัฐฯ อยู่แล้ว
(เหล่าจารชน ผู้นำความลับนิวเคลียร์)​
ของอเมริกาและอังกฤษ สู่โซเวียต​ 👨‍🔬👨‍🔧👩‍🔬
และรู้ว่ามีการพัฒนาอาวุธปรมาณู แต่เมื่อเกิดการ
ทิ้งระเบิดจริง ๆ ผู้นำสหภาพโซเวียตจึงตระหนักว่า ตนเองไม่เคยประเมินอำนาจของนิวเคลียร์​อย่าง
ลึกซึ้งมาก่อน ระเบิดลูกนั้นไม่ใช่แค่อาวุธ แต่คือการ
เปิดฉากข่มขู่ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
สเวตลานา อัลลิลูเยวา ลูกสาวของโจเซฟ สตาลิน เล่าไว้ภายหลังว่า ตอนเหตุการณ์นั้น เธออยู่กับพ่อและผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ระดับสูง ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดจนไม่มีใครใส่ใจเด็กหญิงคนหนึ่ง
ที่เดินเล่นอยู่ใกล้ ๆ
จุดเริ่มต้นของมหากาพย์
นิวเคลียร์โซเวียต​ ▪️▪️💥💣
เพียงไม่ถึงสองสัปดาห์หลังฮิโรชิมาถูกถล่ม สตาลินได้ออกคำสั่งจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษด้านพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1945 โดยมอบหมายให้ “ลาฟเรนตี เบเรีย” หัวหน้าหน่วยตำรวจลับ NKVD ผู้มีอำนาจล้นฟ้ารับผิดชอบสูงสุดต่อโครงการนิวเคลียร์ของโซเวียต
เป้าหมายของโครงการนั้นไม่ใช่แค่สร้างระเบิดปรมาณูเท่านั้น แต่ต้องมีประสิทธิภาพ “อย่างน้อย” เทียบเท่ากับ “แฟตแมน” ที่สหรัฐฯ ใช้ถล่มนางาซากิ ซึ่งมีพลังทำลายล้างถึง 21 กิโลตันของทีเอ็นที ในช่วงเวลาเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิของโซเวียต เช่น อิกอร์ คูร์ชาตอฟ และยูเลีย คาห์ริตัน ก็ถูกดึงเข้ามาเป็นผู้รับผิดชอบด้านวิทยาศาสตร์ ในขณะที่สายลับของ NKVD อย่างคลอส ฟุกส์ และ
ทีโอดอร์ ฮอลล์​ นักฟิสิกส์​ชาวอเมรริกันฝังตัวอยู่
ในโครงการแมนฮัตตัน ยังคงส่งข้อมูลลับกลับมายังมอสโกอย่างต่อเนื่อง
(นักฟิสิกส์อเมริกันผู้นำความลับ
ระเบิดปรมาณูไปให้โซเวียต 🌫️🌪️)​
เอกสารทางเทคนิค ตำแหน่งการทดลอง สูตรนิวเคลียร์ กลไกของอุปกรณ์ จุดอ่อนของโครงการอเมริกัน ล้วนถูกถ่ายทอดมาอย่างต่อเนื่องในรูปของม้วนฟิล์มและรายงานลับ
RDS-1​ 💥💥 💣
คำตอบของโซเวียตต่อฮิโรชิมา
ในที่สุด วันที่ 29 สิงหาคม 1949 ณ ทุ่งทดลอง
ในเซมีปาลาทินสค์ ประเทศคาซัคสถาน สหภาพโซเวียตก็ทำการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของตนในชื่อว่า “RDS-1” หรือที่นักวิจัยเรียกกัน
อย่างลับ ๆ ว่า “ชุมชนหมายเลขหนึ่ง” ระเบิดลูกนี้มีพลังทำลายล้าง 22 กิโลตัน มากกว่าระเบิดที่สหรัฐฯ ใช้ถล่มนางาซากิเล็กน้อย และเป็นการประกาศแก่
โลกว่า สหภาพโซเวียตกลายเป็น “รัฐนิวเคลียร์” อย่างเป็นทางการ
ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนสมดุลทางทหารทั่วโลกอย่างรุนแรงเท่านั้น แต่ยังจุดประกายให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “สงครามเย็น” เต็มรูปแบบ เมื่อสองมหาอำนาจโลกต่างถือระเบิดที่สามารถล้างโลกได้หลายร้อยครั้ง
ไว้ในมือ
โซเวียตชกับญี่ปุ่น​ 💣
พันธมิตรที่เปลี่ยนขั้ว​ 💥💥
สิ่งที่น่าสนใจคือ โซเวียตไม่เพียงแต่นั่งดูเหตุการณ์ระเบิดจากระยะไกล แต่ยังลงมือเคลื่อนไหวทางการทหารอย่างชาญฉลาดเช่นกัน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมจำนน โซเวียตประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในวันที่ 8 สิงหาคม 1945 แล้วส่งทัพบุกแมนจูเรีย เกาหลีเหนือ และหมู่เกาะคูริลภายในไม่กี่วันหลังจากนั้น
การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้น “หลัง” การทิ้งระเบิดปรมาณูแค่ไม่กี่ชั่วโมง และ “ก่อน” ที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้อย่างเป็นทางการ ทำให้สหภาพโซเวียตสามารถเข้าไปยึดดินแดนที่เคยอยู่ในอาณัติของญี่ปุ่นได้ในลักษณะ “ผู้ชนะสงคราม” แม้จะร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตรในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นก็ตาม
ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับโซเวียตที่ประชุมกันในกรุงยัลตาเมื่อช่วงต้นปี 1945 ทำให้โซเวียตได้สิทธิครอบครองหมู่เกาะซาฮาลินใต้และหมู่เกาะคูริล
https://history.state.gov/milestones/1937-1945/yalta-conf แต่ก็กลายเป็นบาดแผลในความสัมพันธ์รัสเซีย-ญี่ปุ่นที่ยังไม่คลี่คลาย
มาจนถึงปัจจุบัน
💣💥 เปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ตลอดกาล
การที่โซเวียตสามารถสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จในเวลาเพียงสี่ปีหลังสหรัฐฯ ถือเป็นผลงานที่น่าตะลึง แต่แท้จริงแล้วคือชัยชนะของการจารกรรมระดับโลก ยิ่งไปกว่านั้น ยังเปลี่ยนสมดุลอำนาจไปตลอดกาล โลกหลังปี 1949 กลายเป็นโลกที่ไม่มีใคร
“กล้าทำสงครามใหญ่” อีกเลย เพราะรู้ว่าหากทำ
เช่นนั้น จะไม่มีใครเหลือรอด
จากแค่การรายงานข่าวสั้น ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์โซเวียต กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันนิวเคลียร์อันยาวนาน.การแข่งขันที่ยังไม่จบแม้จะผ่านไปเกือบศตวรรษ
หากฮิโรชิมาและนางาซากิไม่ถูกทิ้งระเบิด
ในวันนั้น โลกก็อาจไม่มีอาวุธทำลายล้างสูง
แพร่กระจายมากมายดังเช่นวันนี้ แต่หากไม่มีสัญญาณเตือนอันน่าสะพรึงในวันนั้น สงครามใหญ่ครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีใครยั้งคิด
โลกอาจยังไม่ตายจากระเบิดนิวเคลียร์ แต่ก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลยนับแต่เช้าวันที่ 6 สิงหาคม 1945.
➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖
รวมบทความเกี่ยวกับนิวเคลียร์​ 👇👇👇
โฆษณา