9 ส.ค. เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์

80 ปี ฮิโรชิม่ารำลึก เศรษฐกิจเมืองท่าญี่ปุ่นก่อนยุคปรมาณูเพื่อสันติภาพ

“บัดนี้ข้าคือความตาย คือผู้ทำลายล้างโลกทั้งมวล”
พระกฤษณะได้สำแดง “วิศวรูป” พลางตรัสเฉลยแก่อรชุนผู้ที่บัดนี้ได้สูญเสียซึ่งกำลังใจที่จะหยิบคันธนูคานฑีวะเพื่อทำศึกกับวงศ์เการพผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของตน เนื้อหาตอนนี้จาก ภควัทคีตา น่าจะเป็นส่วนที่ผู้คนรู้สึกคุ้นเคยมากจากภาพยนตร์เรื่อง “ออพเพนไฮเมอร์” (Oppenheimer) ที่โด่งดังเป็นกระแสเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในเรื่องนั้นวรรคจากภควัทคีตานี้ได้ถูกหยิบมาใช้เป็นบทพูดที่เล่าถึงความรู้สึกของออพเพนไฮเมอร์หลังการทดลองระเบิดปรมาณูของเขาที่นิวเม็กซิโกในเดือนกรกฎาคมปี 1945 ก่อนที่มันจะถูกนำมาใช้จริงในเดือนถัดมาที่ฮิโรชิม่า-นางาซากิ
ในเดือนสิงหาคมปี 2025 นี้ เป็นปีที่ 80 หลังเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ แน่นอนว่าการที่สหรัฐอเมริกาเลือกเมืองทั้งสองนี้เป็นเป้าหมายทางการทหารย่อมแสดงว่าจะต้องเป็นเมืองที่มีความสำคัญในด้านยุทธศาสตร์ ในช่วงเวลาดังกล่าว ฮิโรชิม่านับว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านอุตสาหกรรม และในขณะเดียวกันนางาซากิก็เป็นเมืองการค้าสำคัญในอีกทางหนึ่ง
ซึ่งใน All About History สัปดาห์นี้ เราจะขอย้อนเวลากลับไปยังฮิโรชิม่าและนางาซากิ เพื่อดูกันว่าสองเมืองนี้มีความเป็นมาอย่างไร และสำคัญอย่างไรต่อญี่ปุ่นในช่วงเวลาก่อนยุคปรมาณูกัน
⭐ ฮิโรชิม่า: หมู่บ้านชาวประมงที่กลายเป็นเมืองท่าอุตสาหกรรม
ฮิโรชิม่า เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น โดยในอดีตอันไกลโพ้นมีสถานะเป็นชุมชนเล็กที่ดำรงชีพด้วยการประมงเป็นหลัก โดยมีอ่าวฮิโรชิม่าเป็นแหล่งทำกินหลัก จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 12 ฮิโรชิม่าก็มีความรุ่งเรืองในฐานะของเมืองท่องเที่ยวที่มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อแสวงบุญยังวัดเก่าแก่ของเมืองอย่างวัดมิตากิเดระ ตลอดจนเริ่มมีสถานะเป็นย่านค้าขายขึ้นมา กระทั่งมีการตั้งถิ่นฐานเป็นเมืองขึ้นมาในช่วงยุคเซ็งโงคุโดยโมริ เทรุโมโตะ พร้อมกับสร้างปราสาทฮิโรชิม่าขึ้นมา
หลังสิ้นสุดยุคเซ็งโงคุ ฮิโรชิม่าก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ความโดดเด่นของฮิโรชิม่าเริ่มฉายแววหลังสิ้นสุดยุคเอโดะเมื่อระบอบไดเมียวสิ้นสุดลง ฮิโรชิม่าในยุคเมจิเป็นเมืองสำคัญมาก ที่ซึ่งจากระบบเศรษฐกิจของฮิโรชิม่าเดิมที่เป็นแบบท้องถิ่นชนบทที่ทำเกษตรและประมงเป็นหลัก ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญ อย่างเช่นอุตสาหกรรมการทอผ้า
ตลอดจนมีการก่อสร้างท่าเรืออุจินะ ซึ่งเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญทั้งในด้านการคมนาคมขนส่งสินค้า และด้านการทหาร และเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองในช่วงสงครามจีนญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ด้วย ซึ่งนี่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเมืองฮิโรชิม่าหลาย ๆ ประการ
อุตสาหกรรมของฮิโรชิม่าก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วงสงครามญี่ปุ่นรัสเซีย ซึ่งมีการเร่งอัตราการพัฒนาและการผลิตยุทโธปกรณ์และเครื่องสนามต่าง ๆ สำหรับทหาร และนำมาซึ่งการก่อสร้างอาคารนิทรรศการจัดแสดงสินค้าอุตสาหกรรมของเมืองขึ้นมา ซึ่งมีความสำคัญในการเป็นศูนย์กลางการค้าของจังหวัดด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงเป็นเป็นอาคารที่เป็นเป้าหมายทางการทหาร และเป็นจุดที่ลิตเติลบอยถูกหย่อนลงมายังเมืองฮิโรชิม่าด้วยซึ่งยังคงอนุรักษ์ซากของอาคารเอาไว้เป็นอนุสรณ์จนถึงปัจจุบัน
⭐ นางาซากิ: ประตูด่านแรกที่เปิดรับคนเถื่อน
ด้วยความที่ฮิโรชิม่าตั้งอยู่ลึกเข้ามาหน่อยในตัวของเกาะญี่ปุ่น ทำให้พัฒนาการของฮิโรชิมาเต็มไปด้วยการพัฒนาจากภายในโดยคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง อย่างไรก็ดี สำหรับที่นางาซากินั้นนับว่าต่างออกไปมาก เพราะว่าที่นางาซากินั้น มีการเข้ามาของกลุ่มคนที่ชาวญี่ปุ่นในยุคแรกเริ่มเรียกว่ากลุ่ม “คนเถื่อนจากแดนใต้” อย่างชาวโปรตุเกสนี่เอง
นางาซากิเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บนเกาะคิวชู แน่นอนว่าในยุคแรกญี่ปุ่นเป็นประเทศปิดทำให้การที่มีชาวโปรตุเกสขึ้นไปบนฝั่งญี่ปุ่นได้ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา โดยจากเท่าที่มีการบันทึกไว้ การพบพานของชาวยุโรปกับญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นจากการที่สำเภาจีนซึ่งบรรทุกลูกเรือชาวโปรตุเกสเกิดสำเภาล่มลงไป และลอยน้ำมาขึ้นฝั่งที่นางาซากิแห่งนี้ เป็นการเปิดประตูให้ชาวต่างชาติได้เข้ามายังญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ในเมืองท่าเล็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู๋บนตัวเกาะหลัก
การค้าของชาวโปรตุเกสกับชาวญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาโดยมีการค้าอาวุธปืนคาบชุดเป็นสินค้าหลัก แต่อย่างไรก็ดี แทนที่ญี่ปุ่นจะอุดหนุนปืนคาบชุด พวกเขากลับเลือกที่จะซื้อปืนคาบชุดแล้วนำมาศึกษาจนเกิดเป็นปืนทาเนะงาชิมะขึ้นมา วิทยาการเรื่องปืนกลายเป็นสิ่งสำคัญที่พลิกโฉมหน้าสงครามในญี่ปุ่นไปอย่างสิ้นเชิงและมีส่วนสำคัญในการรวมชาติในยุคเซ็งโงคุด้วย
1
ญี่ปุ่นได้เริ่มติดต่อกับชาวโปรตุเกสเรื่อยมาจนเข้าสู่ช่วงการค้านัมบัง ซึ่งก่อนหน้านั้น ญี่ปุ่นแทบจะไม่ได้ทำการค้ากับภายนอกเลย ดังที่ปรากฏในบันทึกของโทเม ปิเรส์ ซึ่งได้ระบุว่าชาวจัมปงไม่ทำการค้ากับจีนเนื่องจากพวกเขาไม่มีสำเภาและไม่มีประสบการณ์ในการเดินเรือระยะไกล การที่ชาวโปรตุเกสเดินเรือเข้ามาเป็นคนกลางในการนำเข้าและส่งออกสินค้าจึงมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจและการค้าของญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
1
นอกเหนือจากการทหาร และการค้าแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่โปรตุเกสนำเข้ามายังญี่ปุ่นก็คือคริสต์ศาสนา ที่ซึ่งนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ ได้นำมา ทำให้มีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยพากันหันมาเข้ารีตคริสต์กันจนนางาซากิกลายเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ศาสนาคริสต์อยู่ในญี่ปุ่นได้ไม่นานนัก พอชาวโปรตุเกสหมดอิทธฺพลในเมืองนางาซากิแล้วก็เกิดการเบียดเบียนศาสนาขึ้นมา ชาวคริสต์ญี่ปุ่นจำนวนมาก ถ้าไม่หนีก็ต้องถูกประหารชีวิต ตลอดจนในช่วงหลังยุคเซ็งโงคุ นางาซากิก็ถูกปิดตัวอีกครั้งหนึ่ง กระทั่งถึงยุคเมจิ
หลังจากที่ญี่ปุ่นกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งหนึ่งในยุคเมจิ นางาซากิก็เริ่มฟืื้นกลับคืนมาเป็นเหมือนก่อนหน้าคือเป็นศูนย์กลางของชาวคริสต์ญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกันในเรื่องของเศรษฐกิจก็นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยได้กลายมาเป็นเมืองอุตสาหกรรมหนัก
โดยมีอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือเป็นแหล่งรายได้หลัก ซึ่งมีเจ้าของอู่ต่อเรือชื่อดังที่เราน่าจะคุ้นหูกันดีอย่างบริษัทมิตซูบิชิ ตลอดจนมีบทบาทสำคัญต่อทัพเรือญี่ปุ่นด้วย เปลี่ยนภาพลักษณ์จากอดีตเมืองการค้าสำคัญที่เปิดประตูต้อนรับชาวต่างชาติและสร้างอิทธฺพลทางการค้าขึ้นมาไปอย่างสิ้นเชิง
⭐ ปรมาณูเพื่อสันติภาพ (?)
จากประวัติของเมืองที่เราได้กล่าวไปข้างต้นพอสังเขปนั้น เราจะเห็นถึงความสำคัญที่มากกว่าแค่การค้าและอุตสาหกรรม แต่ยังหมายรวมไปถึงการเป็นแหล่งผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญที่มีบทบาทในการสงคราม จึงไม่น่าแปลกใจมากนักว่าทำไมเมืองนี้ถึงได้เป็นเป้าหมายทางการทหารหลักที่สหรัฐฯ จำต้องทำลาย
เหตุการณ์การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมากับนางาซากิ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เยอรมันกับอิตาลีได้แพ้สงครามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นญี่ปุ่นก็ยังคงอำนาจและมีอิทธิพลในสมรภูมิเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ ซึ่งการโจมตีญี่ปุ่นทางเรือก็นับว่าเป็นเรื่องยากจากในเรื่องของชัยภูมิที่ญี่ปุ่นมี ทำให้การโจมตีทางอากาศเป็นตัวเลือกหลักที่ทางสัมพันะมิตรนำมาใช้
1
การโจมตีทางอากาศเริ่มตั้งแต่การโจมตีด้วยระเบิดหลากหลายชนิดซึ่งมีเป้าหมายส่วนใหญ่อยู่ที่นางาซากิเป็นหลักในขณะที่ฮิโรชิม่าแทบจะไม่ถูกโจมตีเลย อย่างไรก็ดี ในเดือนสิงหาคม ก็ได้มีการใช้ระเบิดปรมาณูที่ซึ่งผ่านการทดสอบโดย ออพเพนไฮเมอร์ มาก่อนหน้านี้ ปล่อยลงที่ฮิโรชิม่าก่อน ก่อนที่จะปล่อยลงที่นางาซากิในอีก 3 วันหลังจากนั้น
ซึ่งเหตุการณ์โจมตีในครั้งนั้นทำให้ญี่ปุ่นจำต้องยอมแพ้ ซึ่งก็ได้สร้างความเสียหายมากมายให้กับญี่ปุ่นทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และประชากร โดยท่านประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ของสหรัฐฯ ก็ได้มีการแถลงต่อการทิ้งระเบิดปรมาณูนี้ โดยใช้ชื่อหัวข้อการปราศรัยว่า “ปรมาณูเพื่อสันติภาพ”
⭐ ฮิโรชิม่าและนางาซากิท่ามกลางการฟื้นฟูหลังสงคราม
ความเสียหายที่เกิดขึ้นมานับว่ามีผลกระทบใหญ่หลวง ซึ่งก็ได้มีการพยายามสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาหลังจบสงคราม ซึ่งการฟื้นฟูก็เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การฟื้นฟูหรือสร้างเมืองใหม่ทั้งเมืองนี้จำเป็นที่จะต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลในการสร้างใหม่ อย่างไรก็ดีอุปสรรคสำคัญของการฟื้นฟูเมืองก็คือฮฺโรชิม่าไม่มีเงินขนาดนั้น ซึ่งกว่าที่จะมีการฟื้นฟูและได้รับเม็ดเงินสนับสนุนจากภาครัฐก็เข้าสู๋ปี 1949 เสียแล้ว ซึ่งได้ออกมาเป็นกฏหมายเกี่ยวกับการก่อสร้างเมืองอนุสรณ์สันติภาพขึ้นมา สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของภาครัฐที่มองว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ทรงคุณค่าในเรื่องของการให้ตระหนักถึงความโหดร้ายของสงครามด้วยในอีกทางหนึ่ง
บ้านเมืองในฮิโรชิม่าจำนวนมากถึงสร้างขึ้นมาใหม่แต่ในขณะเดียวกันก็มีส่วนเล็กของเมืองที่ปล่อยให้ยังคงมีสภาพอยู่เหมือนเมื่อครั้งหลังถูกทำลายใหม่ ๆ เพื่อเป็นอนุสรณ์หลงเหลือเอาไว้จนถึงปัจจุบัน โดยหลังจากที่ภาครัฐอนุมัติเงินทุน ไม่นานนักฮิโรชิม่าก็ฟื้นฟูจนกระทั่งกลับมามีประชากรเหมือนยุคก่อนหน้าสงครามราวปี 1958 หรือราว ๆ 10 ปีเท่านั้นเอง
ซึ่งนอกเหนือจากที่ฮิโรชิม่าแล้ว ที่นางาซากิเองก็ได้มีการเก็บรักษาบางที่ให้คงสภาพเดิมเมื่อครั้งถูกทำลายไว้ไม่ต่างกัน แต่ทั้งนี้แนวทางการฟื้นฟูของนางาซากิไปทางเรื่องของการค้าและชุมชนหลากเชื้อชาติมากกว่าเหมือนนางาซากิในอดีต
⭐ 80 ปีผ่านไป…อะไรเปลี่ยนไปบ้าง ?
80 ปีผ่านไป แน่นอนว่าทั้งฮิโรชิม่าและนางาซากิต่างได้รับการฟื้นฟูใหม่จนสามารถที่จะก้าวยืนเป็นเมืองสำคัญเหมือนเมื่อครั้งก่อนสงครามแล้ว อย่างไรก็ดี ในแง่ของอนุสรณ์และการรำลึกถึงยังคงมีต่อเนื่องในทุกปีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
สันติภาพในบริบทของฮิโรชิม่าและนางาซากิ เป็นวาทกรรมที่ถูกพูดถึงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ในมุมมองของคนบางกลุ่มก็ยังคงมองว่ามันยังคงเป็นเพียงแค่วาทกรรมเท่านั้น เพราะว่าสุดท้ายแล้วการเยียวยาจากรัฐบาลก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการช่วยสร้างเมืองใหม่ และให้ความช่วยเหลือแก่ทหารผ่านศึก ทว่ากับประชาชนจำนวนมากมายที่สูญเสียบุคคลที่รักไปจากปรมาณูกลับไม่ได้รับการเยียวยาอย่างที่ควรเป็น
จริงอยู่ที่ว่าปรมาณูได้สร้างความเสียหายให้ญี่ปุ่น แต่ถึงอย่างนั้นนานาประเทศในปัจจุบันต่างแสวงหาหัวรบนิวเคลียร์และปรมาณูเอาไว้เพื่อให้ประเทศอื่นเกรงใจ ซึ่งก็ชวนให้ย้อนกลับมาสู่คำถามต่อ “ปรมาณูเพื่อสันติภาพ” อยู่เหมือนกัน
สันติภาพจะเกิดขึ้นได้เมื่อมหาอำนาจครอบครองปรมาณูอย่างนั้นเหรอ? และถ้าสมมุติว่าทุกประเทศทั่วโลกต่างมีปรมาณูเหมือนกันหมด สันติภาพจะยังมีอยู่ไหม? จำเป็นแค่ไหนที่ต้องมีปรมาณูเพื่อบังคับให้เกิดสันติภาพขึ้นมา? ก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าขบคิดกันต่อไป แต่ทั้งนี้เมื่อสงครามเกิดมันอาจจะพัฒนาเศรษฐกิจได้ช่วงหนึ่ง แต่ถ้าสงครามจบลงแล้ว ความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อผู้แพ้สงครามย่อมเกิดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน…
เรื่อง : ณัฐรุจา งาตา
ภาพประกอบ : บริษัท ก่อการดี จำกัด
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
#ประวัติศาสตร์ #สงคราม #สันติภาพ #อุตสาหกรรม #สังคม #เศรษฐกิจ #ญี่ปุ่น #Bnomics #BBL #BangkokBank #ธนาคารกรุงเทพ
อ้างอิง:
ไทยรัฐ. ฮิโรชิมารำลึก 80 ปีโศกนาฏกรรมปรมาณู ท่ามกลางกระแสโลกที่เลือกใช้นิวเคลียร์เพื่อยับยั้ง.
Justin McCurry. Story of cities #24: how Hiroshima rose from the ashes of nuclear destruction.
The International Campaign to Abolish Nuclear Weapons. Hiroshima and Nagasaki bombings.
The Associated Press. Hiroshima survivors fear rising nuclear threat on the 80th anniversary of atomic bombing.
The city of Hiroshima. Before the Atomic Bombing.
Kenichi Ohno. THE HISTORY OF JAPANESE ECONOMIC DEVELOPMENT : Origins of Private Dynamism and Policy Competence. https://library.oapen.org/bitstream/id/e3bfd9c3-f16e-4379-9894-df07c103757a/9781315444031.pdf
Charles Ralph Boxer. SOME ASPECTS OF PORTUGUESE INFLUENCE IN JAPAN, 1542-1640.
โฆษณา