12 ส.ค. เวลา 06:54 • ประวัติศาสตร์

บุตรแห่ง “พระเยซู (Jesus)” สายโลหิตที่วาติกันต้องการจะลบล้าง

เรื่องราวของ “พระเยซู (Jesus)” ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ถูกค้นคว้ามากที่สุด และก็ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนในหลายๆ ส่วน
แม้ว่าพระวรสารในคัมภีร์ไบเบิลจะบันทึกคำสอน เหตุอัศจรรย์ และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ แต่กลับแทบไม่กล่าวถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือครอบครัวของพระองค์เลย
ความลับนี้ได้นำไปสู่ทฤษฎีอันเป็นที่ถกเถียงว่า พระเยซูอาจจะเคยทรงแต่งงาน มีบุตร และเชื้อสายของพระองค์อาจจะยังคงสืบต่อมาอย่างลับๆ
พระเยซู (Jesus)
ทฤษฎีนี้ถูกทำให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากนวนิยายขายดีอย่าง “The Da Vinci Code“ และได้รับการศึกษาอย่างละเอียดในหนังสือ “The Holy Blood and the Holy Grail” โดยมีการกล่าวหาว่ากรุงวาติกันมีการปกปิดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้วยวิธีการนองเลือด เพื่อไม่ให้โลกได้ล่วงรู้ถึงมรดกที่แท้จริงของพระเยซู
หากเป็นความจริง นี่จะไม่เพียงเปลี่ยนแปลงเทววิทยาของศาสนาคริสต์เท่านั้น แต่ยังพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของโลกอีกด้วย
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร เราลองมาหาคำตอบกันครับ
The Da Vinci Code
“คัมภีร์ไบเบิลฉบับสารบบ (Canonical Bible)” ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการสมรสของพระเยซู แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้หยุดยั้งนักวิชาการและนักเทววิทยา ที่ยังคงทำการค้นคว้าเรื่องนี้ต่อไป
1
เอกสารนอกคัมภีร์บางส่วน ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในพระคัมภีร์มาตรฐาน ได้ให้ภาพลักษณ์ของพระเยซูในมุมที่เป็นมนุษย์และใกล้ชิดมากขึ้น โดยบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ลึกซึ้ง และอาจจะเป็นเชิงชู้สาวกับ “แมรี แม็กดาเลน (Mary Magdalene)” หนึ่งในสาวกสตรีคนสำคัญของพระเยซู
2
“พระกิตติคุณฟิลิป (Gospel of Philip)“ ซึ่งเป็นตำรานอสติกในสมัยศตวรรษที่ 3 ถึงกับเรียกแม็กดาเลนว่าเป็น “สหาย” ของพระเยซู และยังระบุว่าพระเยซูทรงจุมพิตเธอบ่อยครั้ง อาจจะที่ริมฝีปาก และแม้ต้นฉบับจะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ แต่ประโยคนี้ก็ได้ทำให้เกิดการถกเถียงไม่รู้จบว่านี่อาจเป็นหนึ่งในหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพระองค์มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับแม็กดาเลน
แมรี แม็กดาเลน (Mary Magdalene)
ในทำนองเดียวกัน “พระกิตติคุณของมารีย์ (Gospel of Mary)” ซึ่งเป็นเอกสารคริสต์ยุคต้นอีกเล่มหนึ่ง ก็วาดภาพแม็กดาเลนว่าเป็นบุคคลสำคัญท่ามกลางเหล่าสาวกของพระเยซู เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความเข้าใจทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง และบางครั้งถึงขั้นโต้แย้งกับสาวกชายที่สงสัยในพลังของเธอ
แม้แต่ในธรรมเนียมของชาวยิวและศาสนาอิสลาม ก็ยังมีการกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่พระเยซูอาจมีภรรยาอยู่ด้วย
หนึ่งในเวอร์ชั่นของทฤษฎีนี้ได้ระบุรายละเอียดมากขึ้น โดยอธิบายว่าพระเยซูและแม็กดาเลนได้มีบุตรด้วยกัน ซึ่งต่อมาบุตรของทั้งสองก็ได้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
เชื่อกันว่าเชื้อสายของพวกเขาได้แต่งงานเชื่อมสายกับชนชั้นสูงของยุโรป และพัฒนากลายมาเป็นราชวงศ์ “เมโรแว็งเชียน (Merovingian dynasty)” ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ถือกำเนิดขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5 และปกครองอาณาจักรแฟรงก์ทางตะวันตกของยุโรป
ทฤษฎีที่ว่าเชื้อสายของพระเยซูสืบต่อมาผ่านราชวงศ์เมโรแว็งเชียนนี้ ตั้งอยู่บนข้ออ้างที่เป็นที่ถกเถียงหลายประการ โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ การมีอยู่ของสมาคมลับชื่อ “ไพรออรีแห่งไซออน (Priory of Sion)” ซึ่งว่ากันว่าเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อปกป้องลำดับเชื้อสายอันศักดิ์สิทธิ์นี้
ในยุค 60 (พ.ศ.2503-2512) หอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสได้รับเอกสารลึกลับที่มีชื่อว่า ”Dossiers Secrets“ ซึ่งนำเสนอแผนผังเชื้อสายที่เชื่อมโยงพระเยซูกับราชวงศ์ยุโรป
แม้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จะลงความเห็นว่าเอกสารเหล่านี้เป็นของปลอม แต่ผู้ที่เชื่อกลับชี้ว่ามันอาจถูกสร้างขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อปกป้องความลับที่แท้จริงบางอย่างเอาไว้ก็เป็นได้
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คริสตจักรคาทอลิกก็ได้ดำเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อกำหนดความเชื่อที่ถูกต้องตามหลัก และกำจัดสิ่งที่ถือว่าเป็นลัทธินอกรีต โดย “สภาไนเซีย (Council of Nicaea)” ในช่วงศตวรรษที่ 4 ได้พยายามวางรากฐานหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์อย่างเป็นระบบ
งานเขียนของพวกนอสติก ซึ่งบรรยายพระเยซูในมุมที่เป็นมนุษย์ และอาจรวมถึงในบริบทของครอบครัว ถูกตัดออกจากคัมภีร์และถูกตีตราว่าเป็นลัทธินอกรีต เอกสารจำนวนมากในกลุ่มนี้ก็สูญหายหรือถูกทำลายลงในเวลาต่อมา
สงครามเพื่อปราบปรามความเห็นต่างของคริสตจักรไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ตัวอย่างหนึ่งก็คือ “สงครามครูเสดแอลบิเจนเซียน (Albigensian Crusade)” ในสมัยศตวรรษที่ 13 ซึ่งมุ่งโจมตี “คาทาร์ (Cathars)” ซึ่งเป็นกลุ่มความเชื่อที่อยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
เชื่อกันว่ากลุ่มคาทาร์ยังคงยึดถือแนวคิดเรื่องการสมรสศักดิ์สิทธิ์ระหว่างแม็กดาเลนกับพระเยซู โดยสงครามครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคน และได้ทำลายแนวคิดนี้เกือบสิ้น พร้อมทั้งทำลายเอกสาร วรรณกรรม และโบราณวัตถุส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องไปจนหมด
หากเป็นความจริงว่ากษัตริย์ในราชวงศ์เมโรแว็งเชียนเป็นเชื้อสายแท้จริงของพระเยซู การที่พวกเขาถูกโค่นล้มก็จะถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทำให้แผนการปกปิดของวาติกันพังทลายลง
“พระเจ้าดาโกแบร์ทที่ 2 (Dagobert II)“ ซึ่งเป็นหนึ่งในกษัตริย์องค์ท้ายๆ ของราชวงศ์ ได้ถูกลอบปลงพระชนม์ในสมัยศตวรรษที่ 7 โดยมีข่าวลือว่าผู้นำคริสตจักรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลงพระชนม์ เนื่องจากเกรงอำนาจของราชวงศ์และสิทธิอันชอบธรรมตามสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่อาจมีอยู่
ต่อมาในปีค.ศ.751 (พ.ศ.1294) “ราชวงศ์คาโรแล็งเจียน (Carolingians)” ก็ขึ้นมาแทนที่เมโรแว็งเชียน โดยได้รับการสนับสนุนจากคริสตจักร
พระเจ้าดาโกแบร์ทที่ 2 (Dagobert II)
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสลับตัวผู้ปกครองเท่านั้น แต่ยังพลิกความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรกับรัฐอย่างสิ้นเชิง และหากเมโรแว็งเชียนมีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์จริง การกำจัดคนในราชวงศ์ก็ได้เปิดทางให้คริสตจักรกลับมากุมอำนาจในฐานะสื่อกลางเพียงหนึ่งเดียวระหว่างพระเจ้าและมนุษย์
“หอจดหมายเหตุอัครสังฆราชวาติกัน (Vatican Apostolic Archive)” เป็นหนึ่งในสถาบันปิดที่ลึกลับที่สุดในโลก โดยเชื่อว่าภายใน ได้เก็บเอกสารที่อาจพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูมีเชื้อสายสืบต่อมา และเปิดเผยวิธีที่คริสตจักรพยายามปกปิดความจริงนี้
ในปีค.ศ.2012 (พ.ศ.2555) ศาสตราจารย์ “คาเรน คิง (Karen King)” แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่เศษกระดาษปาปิรัส ซึ่งเป็นหลักฐานที่กล่าวถึงพระเยซู โดยระบุว่าพระเยซูมีภรรยา และแม้ว่าความน่าเชื่อถือของเอกสารชิ้นนี้จะเป็นที่ถกเถียง แต่ก็ได้จุดกระแสคำถามของโลกขึ้นมาอีกครั้งว่า พระเยซูอาจมีครอบครัวหรือไม่ และมีอำนาจใดที่กำลังสมคบคิดในการปกปิดความจริงนี้อยู่
อาจจะสรุปได้ว่า แนวคิดที่ว่าพระเยซูมีครอบครัว มีทายาทสืบสายพระโลหิต อาจจะถือว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอและเป็นเพียงสมมติฐานในสายตาของนักประวัติศาสตร์และนักเทววิทยากระแสหลัก เอกสารที่ใช้สนับสนุนทฤษฎีนี้ก็ล้วนแต่เป็นต้นฉบับที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ได้อยู่ในคัมภีร์มาตรฐานหรือเป็นเอกสารนอกคัมภีร์
สมาคมลับและเอกสารจำนวนมากที่ถูกอ้างถึงก็ถูกกล่าวหาว่าหลอกลวง มีการปลอมแปลงในภายหลัง
แต่อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ก็ยังไม่เลือนหายไป
เหตุใดแนวคิดนี้จึงคงอยู่?
อาจเพราะมันขัดต่อสถาบันศูนย์กลางที่ครอบงำวาทกรรมคริสต์ศาสนามานานกว่า 2,000 ปี และอาจเพราะมันนำเสนอภาพของพระเยซูที่เป็นมนุษย์มากขึ้น เป็นบุคคลที่เข้าถึงได้ มีความเปราะบาง และเชื่อมโยงกับกระแสประวัติศาสตร์อย่างไม่ขาดสาย
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ก็ยังคงน่าหลงใหล และทำให้ผู้คนสงสัยอยู่เสมอ
บางที ในซักวันเราอาจค้นพบความจริงนั้นจากตู้เอกสารโบราณที่ถูกลืม หรือจากใต้ชั้นศตวรรษของหลักคำสอนก็เป็นได้
โฆษณา