Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Praram 9 Hospital
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
11 ส.ค. เวลา 10:06 • สุขภาพ
อัมพาต คืออะไร? อาการเป็นแบบไหน? รวมข้อมูลที่ควรรู้
อัมพาต (Paralysis) โรคที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อในร่างกาย ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ตามปกติ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุและยังเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ อีกด้วย แต่ทั้งนี้สามารถทำความเข้าใจถึงสาเหตุของโรคอัมพาตได้ว่าเกิดจากอะไร และมีแนวทางการรักษาอย่างไรบ้างเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ในอนาคต
Key Takeaways
●
อัมพาต (Paralysis) คือ โรคที่มีสาเหตุมาจากหลอดเลือดตีบหรือเกิดความเสียหายต่อไขสันหลัง ทำให้ ระบบประสาทและสมองทำงานผิดปกติไม่สามารถสั่งการให้อวัยวะต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้ตามปกติ
●
อัมพาต อัมพฤกษ์มีความแตกต่างกันที่ อัมพาตจะไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้บางส่วนหรือทั้งหมด ขณะที่อัมพฤกษ์จะยังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ เพียงแต่จะเคลื่อนไหวได้ช้าลง มีอาการชาร่วมด้วย
●
ปัจจุบันไม่มีการรักษาอัมพาตได้โดยตรง เพียงแต่รักษาตามสาเหตุของโรคอัมพาตเพื่อให้อาการไม่รุนแรงไปกว่าเดิม หรือฟื้นฟูให้ร่างกายกลับมาเคลื่อนไหวได้เป็นปกติมากขึ้นได้
●
แนะนำสังเกตอาการอัมพาตจากสัญญาณเตือน BEFAST ว่าผู้ป่วยสูญเสียการทรงตัว (Balance) การมองเห็น (Eye) ใบหน้าบิดเบี้ยวมุมปากตก (Face) แขนหรือขาขยับไม่ได้ (Arm) สื่อสารไม่ได้ (Speech) และควรนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด (Time)
อัมพาต (Paralysis) คืออะไร?
อัมพาต หรือ Paralysis คือ โรคที่ทำให้เกิดอาการแขนขาอ่อนแรง ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ตามปกติ ส่งผลให้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้มากนัก ซึ่งกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทและสมองในส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณจากสมองไปยังกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และส่งให้กล้ามเนื้อเกิดอาการอัมพาตในบางจุดได้ในที่สุด
อัมพาตมีสาเหตุมาจากอะไร?
หากถามว่าโรคอัมพาต เกิดจากอะไรนั้น ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุหลักมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบประสาทและสมองที่ส่งผลให้สมองไม่สามารถสั่งการให้อวัยวะ เช่น แขน หรือ ขา สามารถขยับเขยื้อนได้ตามปกติ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อยของโรคอัมพาต มีดังนี้
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
ที่หลอดเลือดสมองมีลิ่มเลือดอุดตัน หรือมีลักษณะตีบแคบเนื่องจากไขมันเกาะผนังหลอดเลือดปริมาณมากรวมถึงมีปัญหาเส้นเลือดในสมองแตก หรือฉีกขาด ส่งผลให้สมองขาดเลือด ไม่สามารถทำงานได้ปกติและทำให้เกิดอาการอัมพาตตามมาในที่สุด•อาการบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จนทำให้เนื้อเยื่อสมอง เส้นเลือด และเส้นประสาทในสมองเกิดความเสียหาย
อาการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง หรือบริเวณกระดูกคอที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งถ้าเกิดอาการบาดเจ็บหรือเสียหายจากอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ อุบัติเหตุตกจากที่สูงก็มีโอกาสที่จะทำให้เป็นอัมพาตได้
- โรคอัมพาตตั้งแต่กำเนิด เนื่องจากเป็นโรคสไปนา ไบฟิดา (Spina Bifida) หรือโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy)
- โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมอง เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis) โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม (Motor Neuron Disease) โรคมะเร็งสมอง โรคมะเร็งไขสันหลัง เนื้องอกในสมอง เนื้องอกในไขสันหลัง
- โรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillan Barre Syndrome)
- โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคไลม์ (Lyme Disease) ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจนทำให้เส้นประสาทเสียหายและเป็นอัมพาต โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) โรคไข้สมองอักเสบ (Encephalitis) โรคไข้ไขสันหลังอักเสบ หรือโปลิโอ (Polio)
อาการของโรคอัมพาตเป็นอย่างไร?
เนื่องจากอัมพาต คือโรคที่มีสาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบสมองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยอัมพาตส่วนใหญ่จึงมีลักษณะอาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวร่างกายโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณแขน ขา หรือร่างกายในจุดที่สามารถขยับได้ โดยอาการของโรคอัมพาตสามารถแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ดังนี้
อัมพาตเฉพาะส่วน (Localized Paralysis) ที่สูญเสียการเคลื่อนไหวหรือความรู้สึกของร่างกายเฉพาะส่วนของร่างกายเท่านั้น เช่น ใบหน้า นิ้ว มือ เท้า เส้นเสียง
อัมพาตทั่วร่างกาย (Generalized Paralysis) จะมีลักษณะอาการในบริเวณที่มากกว่าอาการอัมพาตเฉพาะส่วน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคของแต่ละบุคคล ทั้งนี้สามารถแบ่งลักษณะอาการของอัมพาตทั่วร่างกายได้หลายประเภท ได้แก่
๏ อาการอัมพาตที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณแขนหรือขาเพียงข้างเดียวเท่านั้น (Monoplegia)
๏ โรคอัมพาตครึ่งซีก (Hemiplegia) หรืออาการอัมพาตที่เกิดขึ้นบริเวณทั้งแขนและขาในด้านเดียวของร่างกาย
๏ อัมพาตเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย (Paraplegia) หรือบริเวณตั้งแต่ช่วงกลางลำตัวลงไปและขาทั้งสองข้าง
๏ อัมพาตแขนขาทั้งสองข้าง (Tetraplegia หรือ Quadriplegia)
๏ กลุ่มอาการอัมพาตแบบ LIS (Locked-in syndrome) หรืออัมพาตทุกส่วนของร่างกายเหลือแค่การกลอกลูกตา ถือเป็นลักษณะอาการอัมพาตที่มีความรุนแรง'ที่สุด
นอกจากนี้ อาการของโรคอัมพาตยังสามารถแบ่งตามลักษณะกล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาตได้ด้วย คือ อัมพาตแบบกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก (Flaccid Paralysis) ที่มีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บของระบบประสาทส่วนปลาย และอัมพาตแบบกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (Spastic Paralysis) มีลักษณะอาการกล้ามเนื้อตึงและแข็ง มีโอกาสเป็นตะคริว กล้ามเนื้อกระตุกบ่อยครั้ง มักมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บของประสาทไขสันหลังหรือสมอง
ทั้งนี้ อัมพาตถือเป็นภัยเงียบที่จำเป็นต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเองหรือคนใกล้ตัวอยู่เสมอ ซึ่งการสังเกตอาการของอัมพาตเบื้องต้นนั้น ได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ, สูญเสียการทรงตัว และการมองเห็น, สื่อสารได้ลำบาก, แขนหรือขามีอาการชา อ่อนแรง ขยับเขยื้อนได้ช้าลง รวมถึงในบางรายอาจรู้สึกว่าใบหน้าเบี้ยว, มุมปากตก, กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง หรือเป็นตะคริว เป็นต้น
โรคอัมพฤกษ์และโรคอัมพาตมีความแตกต่างกันอย่างไร?
อัมพาต อัมพฤกษ์ เป็นชื่อของโรคที่หลายคนมักเรียกติดกันเพราะอาจคิดว่าเป็นโรคเดียวกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วอัมพาตและอัมพฤกษ์ต่างก็เป็นอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง (Cerebrovascular Accident) เพียงแต่มีลักษณะอาการที่ไม่เหมือนกัน คือ อัมพาตหมายถึงโรคที่สูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นแบบเฉพาะจุดหรือทั้งหมดของร่างกาย ขณะที่อัมพฤกษ์จะมีเพียงอาการอ่อนแรง ชา หรือเคลื่อนไหวร่างกายเฉพาะส่วนได้เล็กน้อยเท่านั้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัมพาตมีอะไรบ้าง?
อัมพาตมีสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง สามารถพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่สามารถก่อให้เกิดโรคอัมพาตในช่วงวัยอื่นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
- ลักษณะทางพันธุกรรมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น หากมีประวัติของโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคทางระบบประสาทในครอบครัว จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและอัมพาตได้
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หรือเป็นโรคอ้วน เนื่องจากมีการสะสมของไขมันส่วนเกินในปริมาณมากและมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดหรือหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม
- ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ที่ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมแล้ว ยังมีส่วนทำให้ออกซิเจนในหลอดเลือดน้อยลงไม่สามารถเลี้ยงส่วนต่าง ๆ และเกิดเป็นปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองได้
จะเห็นได้ว่าปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคอัมพาตนั้นมีทั้งปัจจัยที่สามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ซึ่งปัจจัยที่สามารถควบคุมได้นั้นควรทำความเข้าใจและหาแนวทางในการควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัมพาตในอนาคต
รักษาอัมพาตได้อย่างไรบ้าง?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคอัมพาตได้โดยตรง เพียงแต่มีวิธีที่สามารถช่วยให้อาการดีขึ้น หรือผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวจากอาการอัมพาตเร็วขึ้นได้ ซึ่งแนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการอัมพาต ดังนี้
- การใช้ยาเพื่อควบคุมและป้องกันการเกิดอัมพาต เช่น การใช้ยาละลายลิ่มเลือดป้องกันลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อในผู้ป่วยอัมพาตที่มีอาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง
- การใช้สายสวนหลอดเลือดสมองเพื่อเกี่ยวลากลิ่มเลือดในกรณีที่มีหลอดเลือดใหญ่ในสมองอุดตัน หรือให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้วอาการไม่ดีขึ้น
- การผ่าตัด เช่น ในกรณีที่เกิดอาการอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองแตก จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันการเป็นอัมพาตหรืออันตรายถึงชีวิต
- การฝังเข็มเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานได้ปกติ
- การใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น เครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (Transcranial Magnetic Stimulation) เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ ทำให้กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงกลับมาเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น หรือลดการเกร็งของกล้ามเนื้อเนื่องจากอัมพาต
- การทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ เช่น บริเวณแขน ขา รวมถึงผู้ป่วยอัมพาตเส้นเสียงที่พูดไม่ได้ก็จำเป็นต้องทำการฝึกพูด ฝึกสนทนาเพิ่มมากขึ้น
- ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและอวัยวะที่เป็นอัมพาตด้วยการออกกำลังกาย ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการตึงหรือแข็งเกร็ง
- ควบคุมอาการของโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคอัมพาต เช่น ควบคุมระดับความดันโลหิตสูงให้เป็นปกติ รักษาระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ หรือหาแนวทางการรักษาไม่ให้โรคเบาหวานกำเริบ
ฉะนั้นแล้วการรักษาอัมพาตจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนร่วมกันกับแพทย์ที่มีความชำนาญการ เพื่อรับการวินิจฉัยถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคอัมพาตและสามารถหาแนวทางในการรักษาโรคนี้ได้อย่างตรงจุดมากที่สุดและสามารถช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากอาการดังกล่าวได้เร็วที่สุด
อัมพาต ไม่อยากเป็นตอนแก่ ต้องรีบดูแลตัวเอง
โรคอัมพาตเป็นภัยเงียบที่มีสาเหตุหลักมาจากโรคหลอดเลือดสมองและเกิดขึ้นได้จากปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรคอัมพาตในอนาคตควรดูแลสุขภาพร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด หรือน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็จะช่วยป้องกันการเกิดอัมพาตในอนาคตได้
นอกจากนี้อย่าลืมเข้ารับการตรวจสุขภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย และสำหรับใครที่สำรวจตัวเองแล้วมีอาการผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของโรคอัมพาต ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด หรือเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมได้ที่ศูนย์สมองและระบบประสาท ซึ่งให้การดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยได้มาตรฐาน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Facebook : Praram 9 hospital
Line : @Praram9Hospital
โทร. 1270
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอัมพาต
1. เราสามารถป้องกันอัมพาตได้อย่างไร?
ผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ แนะนำป้องกันโรคอัมพาตโดยการคุมระดับความดันโลหิตและน้ำตาลให้เป็นปกติ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมถึงควรงดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวม
2. สัญญาณเตือนอัมพาต BEFAST คืออะไร?
BEFAST หรือย่อมาจาก Balance สูญเสียการทรงตัว Eye ตาพร่ามัว F มีปัญหาปากเบี้ยว มุมปากตก Arm แขนหรือขาอ่อนแรง Speech สื่อสารไม่ได้ และ Time เวลาที่ต้องรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด โดยสัญญาณเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง หากรู้จักและสังเกตผู้ป่วยตามสัญญาณเหล่านี้ได้ก็จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันเวลาและลดความเสี่ยงจากการเป็นอัมพาตได้
References
Paralysis: What it is, causes, symptoms, management & types. (2024, October 22). Cleveland Clinic.
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15345-paralysis
Slivinski, N., & Painter, K. (2024). Paralysis - Types of paralysis & their causes. WebMD.
https://www.webmd.com/brain/paralysis-types
Eske, J. (2020). Paralysis: Types, symptoms, and treatment. Medical News Today.
https://www.medicalnewstoday.com/articles/paralysis
ไลฟ์สไตล์
ข่าวรอบโลก
ความรู้รอบตัว
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย